เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 230 จงเทียนอวี่
ตอนที่ 230 จงเทียนอวี่
ระหว่างทางซ่งจื่อเซวียนโทรหาหลิงเจิ้นด้วยตัวเอง เมื่ออีกฝ่ายได้ยินว่าเข่อเอ๋อร์จะกลับมา ท่านผู้เฒ่าก็ดีใจมาก
ในตอนนั้นจึงตัดสินใจว่าคืนนี้จะไม่นอนและรอจนกว่าทุกคนจะมาถึง
หลิงเข่อเอ๋อร์ก็เชื่อฟังซ่งจื่อเซวียน และขอโทษปู่ของเธอผ่านทางโทรศัพท์ หลิงเจิ้นไม่มีทางตำหนิเธออยู่แล้ว กลับมาได้ก็ดียิ่งกว่าสิ่งอื่นใด
หลังจากวางสาย ซ่งจื่อเซวียนยิ้มให้ “เป็นไงล่ะ ฉันไม่ได้โกหกเธอเลย ปู่ของเธอไม่มีทางถือโทษโกรธเธอหรอก แต่ยัยสาวน้อยอย่างเธอนี่แค้นฝังใจจริงๆ”
หลิงเข่อเอ๋อร์มุ่ยปากและยิ้มอย่างกระอักกระอ่วน “โธ่ นายท่านรอง หยุดพูดถึงฉันได้แล้วค่ะ ฉันอายนะ”
ได้ยินดังนั้น ซ่งจื่อเซวียนและฟางรุ่ยต่างก็หัวเราะ
ไม่กี่ชั่วโมงหลังจากนั้น ฟางรุ่ยรับหน้าที่ขับรถมาโดยตลอด ส่วนหลิงเข่อเอ๋อร์ง่วงจึงนอนหลับไป
ซ่งจื่อเซวียนใช้โอกาสนี้นั่งสมาธิต่อไป
เป็นอย่างที่เขาคิดไว้ หลังจากพักผ่อนไปเมื่อคืน การนั่งสมาธิในวันนี้จึงไม่เหนื่อยมาก
เขาเชื่อว่าในอนาคตเมื่อร่างกายของเขาค่อยๆ แข็งแรงขึ้น เวลาในการนั่งสมาธิก็จะเพิ่มขึ้นได้ ประสิทธิภาพก็จะเพิ่มขึ้นเช่นกัน
ระหว่างทางฟางรุ่ยขับรถเร็วมาก ยกเว้นจุดที่มีการจำกัดความเร็ว ปกติแล้วเขาจะขับมากกว่าหนึ่งร้อยหกสิบกิโลเมตรต่อชั่วโมง
ดังนั้นจึงย่นระยะเวลาได้มาก ก่อนรุ่งสางก็เข้าสู่เขตมณฑลตงไห่แล้ว
บ้านของตระกูลหลิงอยู่ห่างจากเมืองหนานไถไม่ถึงยี่สิบกิโลเมตร
ณ วิลล่าแถบชานเมืองหนานไถ
บ้านในเมืองหนานไถราคาไม่สูงนัก แต่วิลล่าใหญ่ๆ มีราคาเกินสิบล้าน
เมื่อพิจารณาดู ภายในเมืองนี้มีคนส่วนน้อยที่สามารถอาศัยอยู่ในวิลล่าแบบนี้ได้
วิลล่าแห่งนี้ใหญ่ที่สุดในบรรดาวิลล่าทั้งหมด ไม่ใช่แค่อาคารสไตล์ตะวันตกเล็กๆ เท่านั้น แต่เป็นอาคารสไตล์ตะวันตกสามชั้นสี่หลังในลานกว้างขนาดใหญ่
มองจากภายนอกก็ดูเหมือนคฤหาสน์ที่อยู่ชานเมือง
ลานบ้านส่วนตัวขนาดแบบนี้หาได้ยากในตัวเมืองและชานเมืองอื่นๆ ในสาธารณรัฐจีน นอกเสียจากอาคารที่เป็นมรดกทางวัฒนธรรมของปักกิ่ง
ในลานบ้านมีวัยรุ่นสองคนกำลังนั่งคุยกันที่ศาลาริมน้ำ ทั้งคู่สวมชุดฝึกสีขาว
เมื่อเทียบกันแล้ว นอกจากนักแสดงคิวบู๊แล้วก็มีวัยรุ่นไม่มากนักที่สวมเสื้อผ้าแบบนี้ พวกเขาดูหนักแน่นน้อยกว่าผู้อาวุโส แต่มีความเก๋ไก๋กว่าเล็กน้อย
วัยรุ่นทั้งสองคน คนหนึ่งไว้ผมสกินเฮด มีรูปร่างเตี้ยเล็กน้อย ส่วนอีกคนหนึ่งมีรูปร่างสูง ไว้ผมยาวและเป็นระเบียบกว่าเล็กน้อย
“ศิษย์พี่ ได้ยินว่าเข่อเอ๋อร์จะกลับมาแล้ว ตอนนี้อาจารย์ก็เลยดีอกดีใจมาก” ชายหนุ่มผมสกินเฮดกล่าว
“ใช่แล้ว ฉันก็ได้ยินมาเหมือนกัน อาจารย์มีหลานสาวแค่คนเดียว พอยัยเด็กนั่นหนีไป อาจารย์ก็เลยร้อนใจมาก” ชายร่างสูงกล่าว
ทั้งสองคนเป็นลูกศิษย์ของหลิงเจิ้น ชายผมสกินเฮดชื่อว่าหลี่เฉิงเป็นศิษย์น้องเล็ก ส่วนชายร่างสูงคือจงเทียนอวี่เป็นศิษย์พี่รอง
ในบรรดาลูกศิษย์ทั้งสามของหลิงเจิ้นนั้น จงเทียนอวี่นับว่าเป็นผู้ที่มีพรสวรรค์มากที่สุด เขาไม่เพียงแต่เชี่ยวชาญในเมนูอาหารที่หลิงเจิ้นสอนเท่านั้น เขายังได้เรียนรู้การฝึกตนผ่านทักษะการทำอาหารและเข้าใจกำลังภายในในการควบคุมไฟอีกด้วย
ศิษย์น้องเล็กอย่างหลี่เฉิงมีพรสวรรค์น้อยกว่าและไม่ค่อยแตกฉานในเรื่องการทำอาหารเท่าไร แต่เนื่องจากหลิงเจิ้นไม่ได้มีลูกศิษย์มากนัก เขาจึงไม่ถูกไล่ออกจากสำนัก
ในบรรดาลูกศิษย์ทั้งสามคนนี้ จงเทียนอวี่และหลี่เฉิงมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ปกติศิษย์พี่ใหญ่ตู้ปั๋วมักจะติดตามอาจารย์จึงพูดคุยกับพวกเขาค่อนข้างน้อย
“ศิษย์พี่ อาจารย์พาศิษย์พี่ใหญ่ไปตู้เหมินครั้งนี้ ฉันได้ยินมาว่าตอนนี้ตู้เหมินมีเมนูหนึ่งที่เรียกว่าข้าวผัดจักรพรรดิ โด่งดังเป็นพลุแตกเชียวนะ” หลี่เฉิงกล่าว
จงเทียนอวี่หัวเราะเยาะ “ก็แค่เมนูข้างทาง ถึงตู้เหมินจะเป็นเมืองใหญ่แต่ก็ไม่มีเมนูอาหารเป็นของตัวเองหรอก ถ้าพูดถึงต้นตำรับก็ยังต้องเป็นอาหารซานตง”
“แน่นอนอยู่แล้ว สิ่งที่เราทำเป็นคืออาหารซานตงที่เป็นต้นตำรับที่สุดในประเทศ แต่…ศิษย์พี่ ผมก็ยังอยากออกไปเปิดหูเปิดตาบ้างจัง”
จงเทียนอวี่ได้ยินก็เหลือบมองเขา “ทนไปก่อนเถอะ ในสายตาของอาจารย์มีแค่ศิษย์พี่ใหญ่ ไม่เห็นพวกเราเป็นอะไรเลย เตรียมวัตถุดิบอาหารให้ดีก่อนแล้วค่อยมาพูดเถอะ ดูนายสิ ยังทอดเนื้อสันในได้ไม่ดีเลยแล้วยังคิดจะออกไปเปิดหูเปิดตางั้นเหรอ”
ขณะที่ทั้งสองกำลังคุยกันก็ได้ยินเสียงเอะอะจากอีกด้านหนึ่ง
ข้างหลังพวกเขาคือศิษย์พี่ใหญ่ตู้ปั๋ว หลิงเข่อเอ๋อร์และคนรับใช้หลายคนของตระกูลหลิง นอกจากนี้ยังมีชายหนุ่มแปลกหน้าอีกหนึ่งคน
“ศิษย์พี่ดูนั่นสิ พวกอาจารย์กับเข่อเอ๋อร์กลับมาแล้ว!” หลี่เฉิงกล่าว
จงเทียนอวี่ขมวดคิ้วเล็กน้อย “ศิษย์พี่ใหญ่เอาหน้าจริงๆ เขาติดตามทุกเรื่องเกี่ยวกับตระกูลหลิงเลย ฮึ่ม ฉันสงสัยจริงๆ ว่าหลังจากอาจารย์ไม่อยู่แล้ว เขาจะได้นั่งตำแหน่งผู้นำหรือเปล่า!”
ขณะที่พูด แววตาของจงเทียนอวี่ก็ฉายแววรังเกียจ
“ศิษย์พี่ อย่าพูดซี้ซั้วแบบนี้สิ ถ้าอาจารย์ได้ยินเข้า…”
“เหอะๆ ถ้าอาจารย์ได้ยินก็คงเป็นนายที่เผยความลับ!” จงเทียนอวี่ยิ้มเยาะ
“หา จะเป็นไปได้ยังไง ฉันอยู่ข้างศิษย์พี่นะ”
ปกติแล้วหลี่เฉิงไม่รู้ความชอบของอาจารย์ และเขาแทบไม่ได้พูดคุยกับตู้ปั๋ว ดังนั้นเขาจึงจงใจสนิทสนมกับจงเทียนอวี่
เพราะจงเทียนอวี่มีพรสวรรค์มากและอาจได้รับบทเรียนครั้งใหญ่จากอาจารย์ในอนาคต การติดตามเขาทำให้หลี่เฉิงมีความหวัง
กลางลานบ้าน หลิงเจิ้นและซ่งจื่อเซวียนเดินคล้องแขนกันเข้ามา
ย่อมไม่ได้เป็นเพราะสถานะ ในวงการอาหารจีน คนที่สามารถคล้องแขนกับหลิงเจิ้นได้เมื่อแบ่งตามความอาวุโสเกรงว่าคงมีไม่เกินสามคน
นี่เป็นเพราะเขาไม่สามารถซ่อนความชื่นชอบที่มีต่อซ่งจื่อเซวียนได้ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาเขารับลูกศิษย์เพียงสามคนเท่านั้น เพราะเขาไม่อาจหาคนมีพรสวรรค์ที่ทำให้เขาประหลาดใจได้
และซ่งจื่อเซวียนก็ย่อมเป็นคนประเภทนั้น แต่น่าเสียดาย…เดิมข้าฝากใจไว้ที่จันทรา แต่จนใจจันทราทอแสงส่องคูน้ำ[1]
“ฮ่าๆๆ จื่อเซวียนเอ๊ย คาดไม่ถึงจริงๆ ว่านายจะเจอยัยเด็กนี่เร็วขนาดนี้ ขอบใจนายมากนะ”
“ท่านผู้เฒ่าหลิง นี่เป็นสิ่งที่คนรุ่นหลังควรทำครับ” ซ่งจื่อเซวียนยิ้มและพยักหน้า
หลิงเจิ้นได้ยินก็ส่ายหัวและยิ้ม “ไม่ใช่แค่นั้น จื่อเซวียน นายไม่รู้นิสัยหลานสาวฉัน นึกไม่ถึงว่าเธอจะขอโทษตาแก่อย่างฉันจริงๆ นี่เป็นสิ่งที่เมื่อก่อนฉันไม่กล้าจะคิดด้วยซ้ำ”
ซ่งจื่อเซวียนได้ยินก็เข้าใจทันทีว่าปกติแล้วท่านผู้เฒ่าหลิงมักจะตามใจหลานสาวมากเกินไป จึงทำให้หลิงเข่อเอ๋อร์เอาแต่ใจเช่นนี้
ระหว่างทางมาที่นี่ หลิงเข่อเอ๋อร์ยังพูดเกี่ยวกับเรื่องที่บ้าน ทักษะการทำอาหารของท่านผู้เฒ่าหลิงถือว่าเป็นระดับสูงของทางเหนือ แต่ธุรกิจของตระกูลหลิงกลับไม่ใช่ธุรกิจด้านอาหาร
นอกจากนี้ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาธุรกิจของบริษัทของตระกูลหลิงก็วุ่นวาย หลิงเข่อเอ๋อร์แทบจะถูกเลี้ยงดูโดยหลิงเจิ้น การถูกเลี้ยงดูจากคนรุ่นปู่ย่าตายายก็ย่อมถูกตามใจจนเหลิงอย่างเห็นได้ชัด
“ท่านผู้เฒ่าหลิง ประเด็นหลักคือคุณตามใจเข่อเอ๋อร์มากเกินไปครับ ความจริงเด็กคนนี้เป็นคนรู้เรื่องรู้ราวมาก บางครั้งคุณก็ต้องอบรมเธออย่างเหมาะสม”
หลิงเจิ้นได้ยินก็พยักหน้าและยิ้มให้ “ใช่แล้ว บางครั้งก็รู้สึกว่าเส้นผมบังภูเขา ในฐานะปู่ก็คงถึงเวลาแล้วที่ฉันจะต้องหาจุดยืนของตัวเองใหม่อีกครั้ง”
กลุ่มคนเดินผ่านทางเดินหลักของลานบ้านและเข้าไปในอาคารด้านหน้า ซึ่งเป็นอาคารที่หันหน้าตรงไปที่ทางเข้าหลักของลานบ้าน
ภายในอาคาร ชั้นหนึ่งเป็นห้องโถงขนาดใหญ่ ด้านหนึ่งมีโซฟาไม้และโต๊ะชา อีกด้านหนึ่งเป็นโต๊ะไม้หมุน
ซ่งจื่อเซวียนมองแวบเดียวก็รู้ทันทีว่าเฟอร์นิเจอร์เหล่านี้เป็นไม้พะยูงเก่าแก่ แม้ว่าจะเทียบไม่ได้กับจันทน์แดงที่มีมูลค่าสูง แต่เฟอร์นิเจอร์ทั้งชุดเช่นนี้หากไม่มีเงินแปดแสนถึงหนึ่งล้านหยวนก็ซื้อไม่ได้
สำหรับโครงสร้างโดยรวม การตกแต่งที่นี่ให้นิยามได้สองคำว่า ‘หรูหรา ดูแพง’!
“จื่อเซวียนเอ๊ย ฉันเดาว่าพวกนายจะมาถึงช่วงเวลาประมาณนี้ ฉันเลยให้ในครัวเตรียมอาหารเช้าง่ายๆ ไว้ พวกนายก็เหนื่อยกันมากแล้ว มากินอาหารเช้าแล้วค่อยไปพักเถอะ”
ซ่งจื่อเซวียนมองไปที่โต๊ะอาหารเลิศรส นี่มันไม่ใช่อาหารเช้าธรรมดาแล้ว แต่นี่มันหลากหลายกว่าน้ำชายามเช้าแบบกวางตุ้งเสียอีก
มณฑลตงไห่อุดมไปด้วยอาหารทะเล กุ้งมังกร หอยเป๋าฮื้อและปลิงทะเลเป็นอาหารสามอย่างที่ขาดไม่ได้บนโต๊ะ นอกจากนี้ยังมีอาหารซานตงแบบต้นตำรับอีกหลายอย่าง
อาหารจานหลักคือซาลาเปา บะหมี่ พายฟักทอง ข้าวผัด สิ่งเหล่านี้ที่ควรมีก็มีครบหมดทุกอย่าง โดยพื้นฐานแล้วเพียงพอที่จะรองรับคนได้มากกว่าสิบคน
“ท่านผู้เฒ่าหลิงเกรงใจกันเกินไปแล้วครับ อันที่จริงอาหารง่ายๆ ก็พอแล้ว พวกผมไม่ต้องพักหรอกครับ อีกเดี๋ยวเราก็จะออกไปแล้วครับ”
หลิงเจิ้นโบกมือ “จะได้ยังไงกันเล่า จื่อเซวียนนายลำบากมาบ้านฉัน ถ้ากลับไปที่ตู้เหมินก็อาจจะไม่ได้เจอกันนานอีก ฉันยอมไม่ได้หรอกนะ”
ซ่งจื่อเซวียนยิ้ม “ท่านผู้เฒ่าหลิงกังวลไปแล้วครับ จากตู้เหมินมาถึงเมืองหนานไถใช้เวลาเดินทางแค่ไม่กี่ชั่วโมงเอง แล้วเราก็ยังติดต่อกันทางโทรศัพท์ได้ คงไม่ขาดการติดต่อกันแน่นอนครับ”
“เอาล่ะ อย่าเพิ่งพูดเรื่องนี้กันเลย เข้าไปนั่งก่อนเถอะ พวกนายคงจะหิวกันแล้ว”
ในไม่ช้า หลิงเจิ้นก็ให้คนไปเรียกจงเทียนอวี่และหลี่เฉิงมาด้วย
หลิงเจิ้นกล่าวแนะนำ “เหอะๆ จื่อเซวียน เมื่อกี้นายเจอตู้ปั๋วแล้ว สองคนนี้คือจงเทียนอวี่กับหลี่เฉิง ศิษย์โง่ทั้งสองของฉัน”
ซ่งจื่อเซวียนยิ้มและพยักหน้าไปทางสองคนนั้น “ศิษย์ของท่านผู้เฒ่าหลิงย่อมต้องได้ชื่อว่าเป็นเชฟที่มีชื่อเสียง”
หลิงเจิ้นยิ้มก่อนเอ่ยว่า “พวกนายสองคนทักทายสิ คนคนนี้คือคุณซ่งจากตู้เหมิน เขาเป็นคนทำข้าวผัดจักรพรรดิที่โด่งดังมากในช่วงนี้ล่ะ!”
เมื่อได้ยินดังนั้นทั้งสองคนก็อึ้งไป แต่ไม่ใช่เพราะไม่เคยเจอเชฟชื่อดังมาก่อน เพราะในตระกูลหลิงนั้นมีเชฟชื่อดังมาเยี่ยมเยียนจากทั่วทุกสารทิศ เรียกได้ว่าหัวกระไดไม่แห้ง
ประเด็นหลักคือเมื่อครู่นี้สองพี่น้องยังคุยกันเรื่องข้าวผัดจักรพรรดิอยู่ ตอนนี้เชฟก็มาเลยงั้นเหรอ
แต่เมื่อใคร่ครวญดูก็ไม่น่าแปลกใจ เชฟคนไหนบ้างที่ไม่อยากประจบท่านผู้เฒ่าหลิง ถ้ามีโอกาสจะไม่ประจบได้อย่างไร
ดีไม่ดีเขาอาจจะต้องการชิงดีชิงเด่นมามอบตัวเป็นศิษย์
จงเทียนอวี่คลี่ยิ้ม “ที่แท้ก็เชฟข้าวผัดจักรพรรดินี่เอง ช่วงนี้ได้ยินพูดถึงบ่อยจนหูชาเลยล่ะ”
เดิมทีคำพูดนี้ไม่ได้ไม่น่าฟังอะไร แต่เมื่อออกมาจากปากของจงเทียนอวี่ กลับทำให้ซ่งจื่อเซวียนรับรู้ถึงความเป็นศัตรูเล็กน้อยอย่างชัดเจน
เขาทำเพียงแค่ยิ้มและไม่ได้พูดอะไรอีก อย่างไรที่นี่ก็คือตระกูลหลิง เขาไม่จำเป็นต้องเสวนากับคนที่ไม่รู้จัก และไม่จำเป็นต้องเสียมารยาท
ตู้ปั๋วศิษย์พี่ใหญ่ที่นั่งอยู่ข้างๆ ก็หัวเราะแล้วกล่าว “เหอะๆ คุณซ่งอย่าถือสาเลย ศิษย์น้องของผมใช้คำพูดไม่ถูกต้อง แต่ชื่อเสียงของข้าวผัดของจักรพรรดิโด่งดังมาถึงตงไห่แล้วนะ”
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้าและยิ้มเล็กน้อย “ข่าวลือทั้งนั้น มันเป็นแค่อาหารเมนูหนึ่งเท่านั้นเองครับ”
“จื่อเซวียน พวกนายรีบกินเร็วเข้าแล้วไปพักผ่อนสักหน่อย ฉันไม่กล้ารั้งนายไว้นานหรอก แต่ถ้าสักหนึ่งวันคงไม่เป็นไรนะ รอนายหลับสักตื่นแล้วมาคุยกับตาแก่อย่างฉันได้ไหม”
เมื่อเจอคำร้องขอของท่านผู้เฒ่าหลิงอีกครั้ง ซ่งจื่อเซวียนก็รู้สึกว่ายากที่จะปฏิเสธการต้อนรับนี้ สุดท้ายเขาก็พยักหน้าเบาๆ “ถ้าผมปฏิเสธอีกก็คงจะเสียมารยาท ขอบคุณท่านผู้เฒ่าหลิงสำหรับการต้อนรับนะครับ”
“ฮ่าๆๆ ประเด็นคือฉันชื่นชอบพ่อหนุ่มอย่างนาย แล้วก็มีความสุขมากที่ได้พูดคุยด้วย!”
เมื่อได้ยินดังนั้น จงเทียนอวี่ก็มีสีหน้าขึงขัง
กล่าวกันว่าในบรรดาลูกศิษย์ทั้งสามของอาจารย์ เขาเป็นคนที่มีพรสวรรค์มากที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ปกติแล้วหลิงเจิ้นจะพาตู้ปั๋วไปไหนมาไหนด้วยมากกว่า
เรื่องนี้ทำให้เขารู้สึกไม่ยุติธรรม ตอนนี้ก็มีคนแซ่ซ่งเข้ามาอีก เขาจึงรู้สึกถึงวิกฤติมากยิ่งขึ้น
…………………………………………………….
[1] เดิมข้าฝากใจไว้ที่จันทรา แต่จนใจจันทราทอแสงส่องคูน้ำ เป็นวลีจากบทกวีจากสมัยราชวงศ์หยวน สื่อในแง่ว่าพยายามทำทุกอย่างเพื่อคนที่ตนหมายปอง แต่อีกฝ่ายกลับไม่สนใจ