เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 229 ไปส่งที่ตงไห่ด้วยตัวเอง
ตอนที่ 229 ไปส่งที่ตงไห่ด้วยตัวเอง
วางสายโทรศัพท์เรียบร้อย ซ่งจื่อเซวียนก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก
หลังจากพบกับหลิงเจิ้นในครั้งนี้ เรื่องที่รู้สึกผิดที่สุดไม่ใช่การปฏิเสธที่จะเป็นลูกศิษย์ของเขา แต่คือการที่ไม่ได้ช่วยเขาตามหาหลิงเข่อเอ๋อร์
อย่างไรท่านผู้เฒ่าก็มาไกล ทันทีที่พบกันก็ช่วยเหลือซ่งจื่อเซวียนอย่างใหญ่หลวง
หลานสาวของเขาก็อยู่ในร้านของตน แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้นก็ช่วยอะไรไม่ได้เลย เขาจึงอดรู้สึกเสียใจไม่ได้จริงๆ
แต่นี่เป็นเรื่องดี ถ้าส่งหลิงเข่อเอ๋อร์กลับไปได้ก็ถือว่าเป็นการตอบแทนน้ำใจท่านผู้เฒ่าหลิง
“จื่อเซวียน มีอะไร นายจะไปอีกแล้วเหรอ” ถังหย่าฉีไม่ชอบใจเล็กน้อย เดิมทีคิดจะทานมื้อเย็นกับซ่งจื่อเซวียนสักหน่อย
นี่เป็นโอกาสแรกที่จะได้ทานมื้อเย็นในร้านอาหารของตัวเอง
“ใช่ เกิดเรื่องขึ้นที่ร้านนิดหน่อยน่ะ ฉันต้องไปที่นั่น”
“ร้านไหนกัน แล้วที่นี่ไม่ใช่ร้านของนายเหรอ เชอะ ในสายตานายมีแค่ร้านอาหารร่ำรวยเท่านั้นแหละ!”
“แม่ทูนหัว เรายังไม่เปิดร้านกันเลยไม่ใช่เหรอ” ซ่งจื่อเซวียนพูด
ถังหย่าฉีมุ่ยปาก “ฉันแค่อยากถือโอกาสตอนที่ร้านยังไม่เปิดกินมื้อเย็นกับนายสักครั้ง แต่เห็นว่านายยุ่งจนไม่มีเวลาหลายครั้ง…”
ซ่งจื่อเซวียนได้ยินก็รู้สึกขมขื่นเล็กน้อย เขาไม่รู้จริงๆ ว่าถังหย่าฉีอยากทานมื้อเย็นกับเขาที่นี่หลายครั้งแล้ว
แต่เรื่องคราวนี้ค่อนข้างพิเศษ เขาไม่มีทางเลือกจริงๆ
“หย่าฉี ฟังฉันอธิบายนะ เรื่องคราวนี้ค่อนข้างสำคัญ…”
จากนั้น ซ่งจื่อเซวียนเล่าเรื่องหลิงเจิ้นให้ถังหย่าฉีฟัง
“อะไรนะ หลิงเจิ้นพ่อครัวขั้นเทพแห่งทางเหนืองั้นเหรอ ฉันเคยได้ยินชื่อเสียงของท่านผู้เฒ่าคนนั้นอยู่ คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าไม่กี่วันก่อนจะเกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้”
“ใช่ ฉันก็ไม่คิดเหมือนกัน ความจริงตอนที่ท่านผู้เฒ่าหลิงปรากฏตัวในวันนั้น ฉันก็รู้สึกว่าคนคนนี้มีกลิ่นอายที่ไม่ธรรมดา แต่ใครจะรู้ว่าเป็นคนที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้” ซ่งจื่อเซวียนกล่าว
“งั้นก็เจอตัวหลิงเข่อเอ๋อร์แล้วเหรอ”
“เหอะๆ ใช่แล้ว แถมเธอเคยเจอหลิงเข่อเอ๋อร์ด้วยนะ!”
“หืม ฉันเคยเจอด้วยเหรอ” ถังหย่าฉีถามด้วยความประหลาดใจ
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้า “ก็คือหลัวลี่ลี่ที่อยู่ในร้านฉัน คนที่ทะเลาะกับโต้วซานชานบ่อยๆ น่ะ…”
“เอ๋ เธอเหรอ เธอเป็นหลานสาวของท่านผู้เฒ่าหลิงงั้นเหรอ”
“เหอะๆ พวกเราก็คิดไม่ถึงว่าหลัวลี่ลี่คนนี้จะเป็นหลิงเข่อเอ๋อร์จริงๆ สาวน้อยคนนี้…หลอกลวงทุกคนซะอยู่หมัด”
ถังหย่าฉีพูดด้วยความลังเลเล็กน้อย “งั้นก็รีบไปเถอะ รีบส่งเธอกลับไปให้ท่านผู้เฒ่าหลิง!”
ซ่งจื่อเซวียนคลี่ยิ้ม “โอเค ฉันจะติดต่อท่านเป้ยเล่อหน่อยให้ทางนั้นวางใจ”
เมื่อถึงร้านอาหารร่ำรวย ซ่งจื่อเซวียนเดินเข้าไปในห้องโถง แต่กลับไม่เห็นหลิงเข่อเอ๋อร์
“เอ๋ รุ่ยจื่อ เข่อเอ๋อร์ล่ะ”
“นายท่านรอง ผมรั้งเธอไว้แล้ว แต่สาวน้อยคนนั้นร้ายกาจจริงๆ เธอกัดมือผม เทียนซั่วก็เลยมัดเธอไว้!”
ได้ยินดังนั้น ซ่งจื่อเซวียนก็ตกใจ “หา ให้ตายสิล้อเล่นหรือเปล่า เธออยู่ไหน”
“อยู่ในห้องส่วนตัวชั้นบนครับ”
ซ่งจื่อเซวียนคิดว่าไม่ได้การแล้ว อย่าทำเรื่องไม่ดีเพราะความหวังดีเลย การตามหาหลานสาวให้คนอื่นเป็นเรื่องดี แต่ถ้าจับมัดเอาไว้…เกรงว่าท่านผู้เฒ่าหลิงจะโกรธเอา
เมื่อนึกถึงจุดนี้ เขาก็รีบวิ่งขึ้นไปที่ชั้นสอง
ในห้องส่วนตัว หลิงเข่อเอ๋อร์ถูกมัดมือมัดเท้านอนอยู่บนโซฟา ใบหน้าเหนื่อยล้าและกำลังหายใจกระหืดกระหอบ
เห็นได้ว่าสาวน้อยดิ้นรนมานานและกำลังจะหมดแรง ในเวลานี้เธอจึงกลิ้งตัวลงมาจากโซฟา
ส่วนซางเทียนซั่วก็เหงื่อโชกไปทั้งตัว นั่งอยู่ที่มุมด้านหนึ่ง ท่าทางอึดอัดราวกับว่าเขาถูกมัดไว้ด้วย
“ฉันงงไปหมดแล้ว เกิดอะไรขึ้น” ซ่งจื่อเซวียนถามด้วยสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก
ซางเทียนซั่วหอบและเงยหน้าขึ้น “อาจารย์ ยัยคนนี้บ้าไปแล้ว เมื่อกี้เธอกัดรุ่ยจื่อ ตอนนี้ผมก็ต้านไม่ได้แล้ว”
“หา หมายความว่าไง”
เรื่องนี้เกินความคาดหมายของซ่งจื่อเซวียน เขาคาดไม่ถึงว่าหลิงเข่อเอ๋อร์จะเป็นผู้ฝึกวรยุทธ์
แต่เมื่อใคร่ครวญดูแล้วก็ไม่น่าแปลกใจ อย่างไรลูกชายและลูกสาวในครอบครัวที่ร่ำรวยก็ล้วนมีครูฝึกประจำตระกูล การฝึกกังฟูเพื่อป้องกันตัวนั้นถือเป็นเรื่องปกติมาก
เขาเดินไปหาหลิงเข่อเอ๋อร์ เห็นใบหน้าเล็กๆ เต็มไปด้วยเหงื่อ เขาก็กังวลเล็กน้อย
เมื่อสักครู่หลิงเข่อเอ๋อร์ยังอยู่ในสภาพคลุ้มคลั่ง แต่พอเห็นซ่งจื่อเซวียนก็สงบลงทันที
“นะ นายท่านรอง…”
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้า จากนั้นโน้มตัวลงแก้เชือกออกจากตัวของเธอ
“อาจารย์ อย่านะ ยัยผู้หญิงคนนี้เหมือนสุนัขบ้าไปแล้ว…”
ซ่งจื่อเซวียนหันมากลอกตาใส่เขา “เอาล่ะ นายออกไปได้แล้ว”
ซางเทียนซั่วพยักหน้าอย่างจำใจ ยืนขึ้นและเดินออกไปจากห้องส่วนตัว
แต่เขาไม่ได้เดินไปไหนไกล เพราะซ่งจื่อเซวียนก็ไม่เก่งเรื่องการต่อสู้ ดังนั้นหากเกิดอะไรขึ้นเขาจะเข้ามาช่วยเหลือได้
หลังจากแก้เชือกออกแล้ว หลิงเข่อเอ๋อร์ก็ไม่ได้คลุ้มคลั่งอีก เธอยังสนใจความรู้สึกของซ่งจื่อเซวียนอยู่
“เข่อเอ๋อร์ เธอหลอกพวกเราทุกคนซะอยู่หมัดเลยนะ” ซ่งจื่อเซวียนยิ้มอย่างจำใจ
“นายท่านรอง ฉัน…”
ซ่งจื่อเซวียนโบกมือ “เอาเถอะ ฉันก็รู้ว่าเธอคิดอะไร อันที่จริงเราอายุพอๆ กัน แต่…ฉันเห็นต่างกับเธอในเรื่องนี้นะ”
“เอ๋”
“เข่อเอ๋อร์ เธอเกิดในตระกูลหลิง ถือได้ว่าถูกเลี้ยงมาอย่างเอาอกเอาใจ ฉันดูออกว่าท่านผู้เฒ่าหลิงรักและเอ็นดูเธอมาก”
หลิงเข่อเอ๋อร์พยักหน้า
“แล้วก็เป็นเพราะรักและเอ็นดูแบบนี้ ทันทีที่เขาทำให้เธอพอใจเรื่องไหนไม่ได้ เธอก็จะอารมณ์เสีย
แต่ฉันไม่เหมือนเธอ ตอนเด็กๆ ฉันอยู่กับแม่และพี่สาว ความปรารถนาของฉันแทบจะไม่สมหวังเลย ขณะเดียวกันยังทำให้ฉันเข้าใจความจริงหนึ่ง ไม่ใช่ว่าความปราถนาของฉันจะต้องสมหวังทุกเรื่อง”
หลิงเข่อเอ๋อร์ได้ยินดังนั้นก็ก้มหน้าลง
“เพราะงั้นเธอน่ะคิดว่าเรื่องทุกอย่างควรจะเป็นไปตามที่เธอต้องการ แต่ฉันกลับคิดว่าฉันควรเปลี่ยนแปลงบางอย่างมากกว่า”
“นายท่านรอง ฉันรู้ แต่…”
“แต่เธอทนไม่ได้ เพราะท่านผู้เฒ่าหลิงไม่ได้ส่งต่อทักษะการทำอาหารให้เธอ”
หลิงเข่อเอ๋อร์มุ่ยปากและพยักหน้า
“แต่เธอเคยคิดบ้างไหมว่าทำไมท่านผู้เฒ่าหลิงต้องส่งต่อให้เธอ เพราะเธอเป็นหลานสาวของเขาเหรอ เขาถึงจำเป็นต้องยอม เขาไม่มีสิทธิ์ตัดสินใจด้วยตัวเองเลยเหรอ” ซ่งจื่อเซวียนเอ่ยถาม
“ฉัน…” หลิงเข่อเอ๋อร์ไม่รู้จะตอบอย่างไรไปสักพัก
ซ่งจื่อเซวียนกล่าวต่อ “เข่อเอ๋อร์ นี่เป็นเรื่องของท่านผู้เฒ่าหลิง เขาควรเป็นคนตัดสินใจ เธอใช้ชีวิตอย่างมีความสุขในตระกูลหลิงมาตั้งแต่เด็ก เธอควรขอบคุณ ไม่ใช่ไม่พอใจก็หนีออกจากบ้าน”
หลิงเข่อเอ๋อร์ไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่พยักหน้า
ในเวลานี้หลิงเข่อเอ๋อร์เป็นเหมือนนักเรียนคนหนึ่งที่โดนอบรมสั่งสอน ส่วนซ่งจื่อเซวียนก็เป็นครูของเธอ
“ฟังฉันพูดหน่อย กลับตงไห่ไปขอโทษปู่ของเธอซะ เขาร้อนใจแล้ว”
“ฉันไม่ทำ!” หลิงเข่อเอ๋อร์ทำหน้ามุ่ย
“เธอไม่ทำงั้นเหรอ ทำไมล่ะ” ซ่งจื่อเซวียนขมวดคิ้ว ลุกขึ้นแล้วเอ่ย “หลิงเข่อเอ๋อร์ เธอคิดว่าเพราะหลิงเจิ้นเป็นปู่ของเธอ เธอก็เจ๋งแล้วเหรอ”
“ฉัน…นายท่านรอง ฉันเปล่า…”
“ปากเธอบอกว่าเปล่า แต่จริงๆ แล้วเธอก็คิดแบบนี้ หลิงเข่อเอ๋อร์ ถ้าเธอไม่ได้ตระกูลหลิงสนับสนุน เธอจะใช้ชีวิตแบบที่เป็นอยู่ตอนนี้หรือเปล่า เธอไม่ตอบแทนบุญคุณ แต่กลับเรียกร้องความสนใจแบบนี้เหรอ”
หลิงเข่อเอ๋อร์ตกใจ เธอคิดไม่ถึงว่าซ่งจื่อเซวียนจะพูดคำที่รุนแรงเช่นนี้
“อีกอย่าง ท่านผู้เฒ่าหลิงอายุเท่าไรแล้ว เธอไม่ใช่ลูกสาวเขา เป็นเพียงแค่หลานสาว ทำไมเธอถึงหนีออกจากบ้านด้วย ทำไมคนอื่นต้องมาเป็นห่วงเธอ”
“……”
เห็นหลิงเข่อเอ๋อร์ไม่พูดไม่จา ซ่งจื่อเซวียนจึงเอ่ยต่อ “ฉันขอถามเธออีกครั้ง เธอจะกลับไปขอโทษปู่เธอไหม”
หลิงเข่อเอ๋อร์ลังเลอยู่ครู่หนึ่งและพยักหน้าในที่สุด แต่นิสัยแบบเจ้าหญิงยังทำให้เธอเงียบไม่เปิดปาก
ซ่งจื่อเซวียนเหลือบมองเธอแล้วกดเบอร์โทรหาท่านเป้ยเล่อทันที
“ท่านเป้ยเล่อ เราเจอเข่อเอ๋อร์แล้วครับ ตอนนี้อยู่ที่ร้านของผม ช่วยหาเวลาพาเธอไปส่งที่ตงไห่หน่อยได้ไหมครับ”
“จื่อเซวียน ตอนนี้ฉันยังไปไม่ได้ ถ้างั้น…รบกวนนายช่วยไปส่งเธอหน่อยได้ไหม”
“เอ่อ…ทางร้านผมก็ยุ่งเหมือนกันนะครับ”
ซ่งจื่อเซวียนกัดริมฝีปากเบาๆ อันที่จริงถ้าให้เขาไปส่งเธอด้วยตัวเองนั้นไม่มีปัญหา แต่ร้านอาหารร่ำรวยมีออร์เดอร์เยอะทุกวัน บวกกับสวนสวินเฟิงก็เพิ่งเปิด…
“เฮ้อ ถ้าไม่ใช่เพราะติดธุระฉันก็ไปแล้ว คนในครอบครัวฉันป่วยน่ะ สองวันนี้ฉันต้องอยู่เฝ้าไข้ที่โรงพยาบาล ถ้าอย่างนั้น…ช้าไปอีกสองวันได้ไหม นายไปบอกกับท่านผู้เฒ่าหลิงไว้ก่อน”
ได้ยินคำตอบ ซ่งจื่อเซวียนก็พยักหน้า “โอเคครับ ธุระของคุณด่วนกว่า แล้วผมจะคิดหาทางอีกที”
หลังจากวางสาย ซ่งจื่อเซวียนก็มองหลิงเข่อเอ๋อร์ที่อยู่ตรงหน้าเขาด้วยสีหน้าอับจนหนทาง…
หลิงเข่อเอ๋อร์มุ่ยปาก “นายท่านรอง…จริงๆ แล้ว ฉันกลับเองก็ได้นะคะ”
“พอเถอะ เธอกล้าหนีออกจากบ้าน กว่าฉันจะจับเธอได้ก็ยากมาก…ช่างเถอะ ฉันจะไปส่งเธอเอง!”
จากนั้น ซ่งจื่อเซวียนก็จัดเตรียมเรื่องต่างๆ ในร้าน
เขาฝากให้หูเจิ้นเป็นหูเป็นตาให้ชั่วคราวสองสามวัน และซางเทียนซั่วก็อยู่ดูแลร้านด้วย เพราะโจวเผิงยังไม่น่าเชื่อถือพอ
ส่วนสวนสวินเฟิง…เขาทำได้เพียงกัดฟันแล้วโทรหาถังหย่าฉี
ถังหย่าฉีไม่พอใจแน่นอน เพราะร้านอาหารกำลังจะเปิด เขาซึ่งเป็นเถ้าแก่จะไม่อยู่ได้อย่างไร แต่เมื่อซ่งจื่อเซวียนพูดโน้มน้าวเธอหลายครั้ง เธอก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องเห็นด้วย
อันที่จริงเธอก็รู้ว่าเรื่องทางนี้ของท่านผู้เฒ่าหลิงสำคัญมาก ปล่อยเรื่องร้านอาหารไปไม่กี่วัน แต่สามารถสร้างความสัมพันธ์กับท่านผู้เฒ่าหลิงได้ถือเป็นความโชคดีสำหรับพ่อครัวคนหนึ่งแล้ว
แน่นอนว่าซ่งจื่อเซวียนไม่คิดเช่นนั้น ในความคิดของเขาเพียงแค่ตอบแทนน้ำใจของท่านผู้เฒ่าหลิงเท่านั้น
“นายท่านรอง งั้นผมไปจองตั๋วรถไฟแล้วกันนะครับ เราจะได้ออกเดินทางให้เร็วที่สุด” ฟางรุ่ยกล่าว
ซ่งจื่อเซวียนครุ่นคิด “ไม่ต้องแล้ว ขับรถไปดีกว่า จากเราถึงตงไห่ใช้เวลาหกถึงเจ็ดชั่วโมง ขับรถสะดวกกว่า เราจะได้รีบกลับมา”
“โอเคครับ งั้นผมจะไปขอกุญแจรถเทียนซั่วมา!”
พวกเขาเตรียมตัวพร้อมและกำลังจะออกไป โจวเผิงก็วิ่งเข้ามา “นายท่านรอง นี่…จะเดินทางไปไกลเหรอ”
ซ่งจื่อเซวียนหันกลับไปมองเขา “เหอะๆ ไม่ไกลหรอก ไปพักผ่อนหย่อนใจเดี๋ยวเดียวก็กลับมา”
“อ๋อ อย่างนี้นี่เอง งั้นข้าวผัดจักรพรรดิร้านเรา…”
ซ่งจื่อเซวียนยกยิ้ม “รอจนกว่าผมจะกลับมา อย่างช้าไม่เกินสองวัน”
โจวเผิงพยักหน้าเบาๆ ดวงตากลิ้งกลอกไปมา “โอเค ไม่ต้องกังวลนะ ร้านไม่มีปัญหาแน่นอน”
ซ่งจื่อเซวียนไม่สนใจเขาอีกและเดินออกจากร้านอาหารร่ำรวย
ทั้งสามคนขึ้นรถ ฟางรุ่ยเหยียบคันเร่งและขับตรงไปยังมณฑลตงไห่
อันที่จริงซ่งจื่อเซวียนไม่เคยไปที่ไหนมาก่อนเลย ตงไห่ที่ไปครั้งนี้นับเป็นสถานที่ที่ไกลที่สุดที่เขาเคยไปตั้งแต่เด็ก
เขารู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย แต่เขาไม่คิดจะไปที่นั่นนานเกินไป เกรงว่ายังไม่ทันได้ดื่มด่ำกับท้องถิ่นและทิวทัศน์งดงามของที่นั่นก็ต้องกลับแล้ว
เมื่อนึกถึงจุดนี้ ซ่งจื่อเซวียนก็อดรู้สึกจนใจเล็กน้อยไม่ได้ ดูเหมือนว่า…จำต้องสละหลายๆ เรื่องออกจากตัวของเขา ไม่อย่างนั้นแม้ว่าจะหาเงินจากบริษัทและร้านอาหารได้ ก็จะกลายเป็นบ่วงของเขาแทน
เหมือนอย่างตอนนี้ เขาไม่มีเวลาศึกษาเมนูอาหารใหม่อย่างโต้วหลงเหมินเลยด้วยซ้ำ…
เขาลอบพยักหน้า สิ่งแรกที่เขาต้องทำเมื่อกลับมาครั้งนี้คือให้ซ่งอีหนานดูแลบริษัท ส่วนเรื่องข้าวผัด…ต้องคิดหาทางให้คนอื่นเข้ามารับช่วงต่อ
…………………………………………………..