เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 228 จับเธอไว้ต่อไป
ตอนที่ 228 จับเธอไว้ต่อไป
ทุกคนตกตะลึงเมื่อได้ยินคำพูดของซ่งอีหนาน
อันที่จริงคนก่อเรื่องเหล่านี้เป็นพ่อค้าหัวหมอที่สุดในตลาด ชายอกสามศอกไม่เคยคิดว่าเจิ้งอวี่ยังไม่ทันทำอะไร แต่หญิงสาวตัวเล็กๆ คนนี้ก็ออกตัวก่อนแล้ว
แถมพอเปิดปากก็จะยกเลิกสัญญาเลย ไม่คิดจะแก้ไขปัญหาด้วยซ้ำ
“เธอ…เธอยกเลิกสัญญาทำไม แม่งเอ๊ย นี่คือวิธีแก้ไขปัญหาของเธอเหรอ”
ซ่งอีหนานหัวเราะเยาะ “ใช่แล้วค่ะ แต่ฉันมีนิสัยอยู่อย่างหนึ่ง สำหรับปัญหาที่แก้ไขไม่ได้ก็ตัดออกให้หมด พวกคุณอยากก่อเรื่องนักใช่ไหมคะ ได้ ฉันจะไม่ให้พวกคุณทำงานในตลาดแล้วค่ะ!”
“ให้ตายสิ เธอมีสิทธิ์อะไร เธอมันนังบ้า เจิ้งอวี่คุณไม่พูดไม่จาแล้วปล่อยให้ผู้หญิงคนหนึ่งมาพูดนี่หมายความว่ายังไงน่ะ”
เจิ้งอวี่แอบขำ การจัดการเรื่องต่างๆ ของซ่งอีหนานค่อนข้างคล้ายกับน้องชายของเธอ วิธีโหดเหี้ยมจริงๆ
เจิ้งอวี่ไม่ได้ตอบกลับชายคนนั้น จู่ๆ เขาก็รู้สึกว่าบางทีซ่งจื่อเซวียนอาจพูดถูก ซ่งอีหนาน…มีความสามารถในการแก้ปัญหาจริงๆ
“ฉันมีสิทธิ์อะไรน่ะเหรอ หึ ต่อไปนี้ฉันจะบริหารตลาดอาหารทะเลเขตหงเหอเอง คุณถามว่าฉันมีสิทธิ์อะไรงั้นเหรอ ฉันจะบอกพวกคุณให้นะคะ อยากทำก็ทำ ไม่ทำก็ช่างมันไปซะ!”
ซ่งอีหนานยิ่งพูดก็ยิ่งโกรธมากขึ้นเรื่อยๆ “ฉันขอบอกพวกคุณว่าในเมืองตู้เหมินมีตลาดเยอะแยะ พวกคุณชอบที่ไหนก็ไปที่นั่นได้เลยค่ะ แต่ฉันจะไม่ปล่อยพวกคุณไว้ที่ตลาดนี้เด็ดขาด!”
ได้ยินประโยคนี้ พ่อค้าหลายคนก็รู้สึกมึนงงไปเล็กน้อย
อันที่จริงที่พวกเขาก่อเรื่องมีอยู่สองเหตุผล หากฉินจ้งกลับมา พวกเขาจะได้รับการดูแลอย่างดีแน่นอน หรืออาจจะให้นโยบายเอื้อเฟื้อกับพวกเขาได้
แต่คาดไม่ถึงว่าซ่งอีหนานจะไม่ฟังเรื่องพวกนี้เลยแม้แต่น้อยและแก้ไขปัญหาในทันที ทิ่มแทงจุดอ่อนของพวกเขาจริงๆ
“เธอ…”
“มาธงมาเธออะไร จะทำต่อหรือไม่ทำต่อพวกคุณก็ตัดสินใจเอาเอง!” ซ่งอีหนานกล่าว
“ทำสิ ทำไมจะไม่ทำต่อล่ะ เราเปิดร้านมาสิบกว่าปีแล้ว ทำไมเราต้องหยุดเพียงเพราะคำพูดเดียวของเธอด้วย”
“ใช่แล้ว เธอบอกว่าจะยกเลิกสัญญาก็ยกเลิกเลยงั้นเหรอ”
ซ่งอีหนานพยักหน้า “ใช่ค่ะ ตามระเบียบการบริหาร พวกคุณได้ละเมิดกฎ ฉันสามารถยกเลิกสัญญาของพวกคุณได้เลย เข้าใจไหมคะ”
“เราละเมิดกฎอะไร”
“เหอะๆ ขัดขวางความสงบเรียบร้อยของตลาด กระทบต่อระเบียบของตลาด นี่ไม่ใช่การละเมิดเหรอคะ”
ประโยคเดียวทำให้หลายคนพูดไม่ออกกันหมด
ซ่งอีหนานมองทุกคนก่อนเอ่ย “ถ้ามีปัญหาที่อยากจะแก้ไขก็ย่อมได้ค่ะ จะไปหาแผนกบริหารหรือเจิ้งอวี่ หรือจะมาหาฉันโดยตรงก็ย่อมได้ พวกคุณก่อเรื่องแบบนี้ไปเพื่ออะไรกันคะ”
เจิ้งอวี่ยิ้มและพยักหน้า เห็นได้ชัดว่าพ่อค้าเหล่านี้โดนปราบแล้ว ซ่งอีหนาน…เก่งมากทีเดียว
เมื่อเห็นคนเหล่านั้นไม่พูดอะไร ซ่งอีหนานก็เอ่ยต่อ “เอาล่ะ รถใครคะ ควรขับออกไปได้แล้ว ถ้าพวกคุณมีข้อเรียกร้องก็มาคุยกับฉันที่ห้องทำงาน แต่ถ้าไม่มีก็ทำงานดีๆ ไปค่ะ ถ้าใครไม่อยากทำงานแล้วก็ออกไปได้ทุกเมื่อ!”
ซ่งอีหนานพูดจบก็เดินไปที่แผนกบริหาร
ระหว่างทาง ซ่งอีหนานยังบอกกับคนในแผนกบริหารว่าต่อไปถ้าเจอปัญหาให้รายงานเธอในทันที แต่ก็ควรพยายามจัดการให้สุดความสามารถ การยืนอยู่ข้างๆ เฉยๆ ไม่ใช่ทางออก
คนในแผนกบริหารบอกว่าคนเหล่านี้นับว่าเป็นพวกชอบข่มเหงรังแก พวกเขาจึงไม่กล้ายุ่ง
ซ่งอีหนานกล่าว “ไม่กล้ายุ่งงั้นเหรอคะ ไม่งั้นจะยังจะต้องมีพวกคุณไปทำไมล่ะ กลับบ้านแล้วก็ปล่อยไปแบบนี้เหรอ สิ่งที่เราทำในตลาดคือเรื่องของข้อบังคับและกฎระเบียบ ทำตามกฎก็พอค่ะ ไม่ใช่พวกนักเลงสักหน่อย ถือดีอะไรมาทำตัวเลวทราม!”
“ใช่ๆ คุณพูดถูกครับ ว่าแต่คุณเจิ้ง ท่านนี้คือ…”
หลังจากพูดคุยกันมานาน คนอื่นๆ ก็ยังไม่รู้ว่าซ่งอีหนานเป็นใคร…
เจิ้งอวี่ยิ้มและกล่าว “ท่านนี้คือผู้จัดการทั่วไปซ่งที่เพิ่งมาใหม่ของบริษัท เธอมีหน้าที่ดูแลตลาดครับ”
“โอ้ ที่แท้ก็เป็นผู้จัดการซ่งนี่เอง มาเถอะ เชิญข้างในครับ เสี่ยวหลี่ชงชา!”
ซ่งอีหนานป้องปากแล้วพูดว่า “อาเจิ้ง ฉันกลายมาเป็นผู้จัดการทั่วไปซ่งตั้งแต่เมื่อไรคะ ฉันแค่มาช่วยจื่อเซวียนเท่านั้น”
เจิ้งอวี่ยิ้มและไม่พูดอะไร
เมื่อมาถึงแผนกบริหาร พ่อค้าทั้งสามคน เจ้ากัง เฉินซานหูและหลี่หมิงก็เข้ามา อย่างไรพวกเขาก็ยังคงมีข้อเรียกร้อง
ซ่งอีหนานจิบชาแล้วเอ่ย “ว่ายังไงคะ ยินดีพูดคุยกันอย่างสงบหรือยัง”
เจ้ากังพยักหน้า “ผู้จัดการซ่ง คุณอย่าถือสาเลยนะครับ เราไม่รู้ตัวตนของคุณ แต่หลังจากที่นายท่านลิ่วจากไป เราก็ทำงานกันอย่างยากลำบาก ยอดขายของเราลดลงไปหนึ่งส่วนสาม หาเงินไม่ได้เลย”
ซ่งอีหนานกระตุกยิ้ม “หาเงินไม่ได้เหรอคะ หาเงินไม่ได้หรือหาได้น้อยกันแน่”
“เอ่อ…”
“ฉันรู้ว่าพวกคุณไม่พอใจ เมื่อก่อนฉินจ้งเอื้อผลประโยชน์ให้พวกคุณไม่น้อย แต่บริษัทเพิ่งปรับเปลี่ยน เพราะงั้นทุกอย่างก็ต้องค่อยเป็นค่อยไปถูกไหมคะ การก่อเรื่องก็ย่อมไม่ถูกต้องอยู่แล้ว”
น้ำเสียงของซ่งอีหนานไม่ได้แข็งกร้าวมากนัก เนื่องจากตอนนี้เธอต้องพูดให้ชัดเจน เมื่อสักครู่เธอจำเป็นต้องจัดการคนเหล่านั้นเป็นตัวอย่างและแสดงให้คนอื่นๆ ในตลาดได้เห็น
เธอต้องแน่ใจว่าปัญหาเช่นนี้จะไม่เกิดขึ้นอีก
“ใช่ครับ เรารู้” เฉินซานหูกล่าว “แต่ผู้จัดการซ่ง เงินน้อยแบบนี้ไม่ได้จริงๆ นะ ร้านพวกเราเป็นร้านใหญ่ ต้นทุนสูง รายได้ยังสู้พ่อค้ารายย่อยไม่ได้เลย”
ซ่งอีหนานพยักหน้า อันที่จริงนี่ต่างหากที่เป็นปัญหา นโยบายเอื้อเฟื้อสามารถยกเลิกได้ แต่ควรส่งเสริมอย่างเหมาะสมด้วย
“ฉันรู้ว่าพวกคุณมีนโยบายลดค่าเช่ามาก่อน แล้วก็เคยมีโปรโมชั่นสำหรับการสั่งซื้อออนไลน์ด้วย เอาอย่างนี้แล้วกัน ฉันจะเพิ่มสิทธิประโยชน์พวกนี้ให้กับพวกคุณ แต่เพิ่มให้ทั้งหมดไม่ได้นะคะ”
“หืม นี่คุณหมายความว่ายังไง”
“การลดค่าเช่าจะเปลี่ยนจากสี่สิบเปอร์เซ็นต์เป็นยี่สิบเปอร์เซ็นต์ นโยบายโปรโมชั่นจากสัปดาห์ละครั้งเป็นทุกครึ่งเดือน โอเคไหมคะ” ซ่งอีหนานเอ่ยถาม
“แต่ว่า…แค่นี้ยังไม่พอ”
ซ่งอีหนานยิ้มให้ “ฉันทำให้เยอะเท่าที่จะทำได้แล้วค่ะ ยังไงเหล่าพ่อค้าก็ต้องดีขึ้นด้วยกันหมด พวกคุณจะกินอิ่มกันสามคนแล้วคนอื่นหิวโหยงั้นเหรอคะ”
หลี่หมิงเอ่ยขึ้น “ผู้จัดการซ่ง จริงๆ แล้วเราไม่ได้เปรียบเรื่องราคาเลยนะ พ่อค้ารายย่อยบางรายต้นทุนต่ำและมักจะกดราคาแข่งกับพวกเรา นี่มันไม่ยุติธรรมเหมือนกัน”
“ไม่มีปัญหาค่ะ ฉันจะเพิ่มกฎระเบียบของตลาดอีกหนึ่งข้อ คนที่จงใจกดราคาจะโดนปรับ แบบนี้พวกคุณพอใจหรือยังคะ”
พวกเขาทั้งสามมองหน้ากันและพยักหน้า
ซ่งอีหนานกล่าว “แม้ว่าสิทธิประโยชน์นี้จะไม่ดีเหมือนเดิม แต่ถ้าฉันเดาไม่ผิด เมื่อก่อนพวกคุณให้สินบนกับฉินจ้งทุกเดือนหรือทุกไตรมาสใช่ไหมคะ”
พวกเขาทั้งสามลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่ก็ยังพยักหน้า
“ถูกแล้วสินะ ฉันจะไม่ขอให้พวกคุณยอมเสียกำไร ความจริงผลกำไรก็แทบจะเท่าเดิม และพวกคุณต้องรับปากกับฉันอย่างหนึ่ง”
“หืม ผู้จัดการซ่ง เรื่องอะไรเหรอ”
ซ่งอีหนานกล่าว “จากนี้ไปไม่อนุญาตให้ใครสร้างปัญหาในตลาดเขตหงเหออีกค่ะ ไม่ใช่แค่พวกคุณ แต่รวมถึงคนอื่นด้วย ฉันรู้ว่าพวกคุณสามคนมีความสามารถ และฉันหวังว่าพี่ๆ สามคนจะช่วยเรื่องนี้ด้วย ยังไงสภาพแวดล้อมและความสงบเรียบร้อยก็เป็นเรื่องของทุกคน”
“ง่ายนิดเดียว ผู้จัดการซ่ง ให้ผมจัดการเอง!”
“ใช่ครับ ผู้จัดการซ่งไม่ต้องกังวล คุณดีกับพวกเรา พวกเรารู้ว่าควรทำยังไง!”
ซ่งอีหนานคลี่ยิ้ม “เอาล่ะค่ะ พวกคุณไปกันได้แล้ว!”
หลังจากทั้งสามคนจากไป เจิ้งอวี่ก็ยกนิ้วให้ซ่งอีหนาน
“หา อาเจิ้งนี่คืออะไร”
“เหอะๆ คุณซ่งมองคนไม่ผิด อีหนาน คุณเยี่ยมมาก ฝีมือร้ายกาจ…เป็นเหมือนกับซ่งจื่อเซวียนอีกคนเลยครับ!”
ซ่งอีหนานยิ้มอย่างเขินอาย “อาเจิ้งหยุดชมฉันได้แล้วค่ะ ถ้าไม่มีเรื่องอะไรเราก็กลับไปบริษัทกัน ฉันจะไปอ่านเอกสารต่อ”
“โอเค เชิญเลยครับ!”
…………………..
ณ สวนสวินเฟิง
ซ่งจื่อเซวียนและเจิ้งฮุยพูดคุยเกี่ยวกับงานเชฟในอนาคต เพราะต่อจากนี้เขาและเจิ้งฮุยอาจต้องทำงานร่วมกันไปอีกนาน
“นายท่านรองวางใจเถอะ ฉันจะไม่ทำตัวแบบเมื่อก่อนแน่นอน ถึงตอนนั้นนายก็แค่ต้องตรวจและรับผลคะแนน” เจิ้งฮุยกล่าว
ซ่งจื่อเซวียนคลี่ยิ้ม “พูดดีมากครับ เมนูต้องออกมาภายในสองวัน และคุณต้องรีบไปลาออกจากที่เดิมด้วยจะได้ทำงานที่นี่ได้ในทันที”
“เข้าใจแล้ว นายท่านรอง ฉันจะจัดการทั้งหมดนี้เอง ต่อไปนายจะได้ไม่ต้องกังวลเรื่องอื่นนอกจากข้าวผัดจักรพรรดิ” เจิ้งฮุยตบหน้าอกแล้วกล่าว
“เหอะๆ ข้าวผัดจักรพรรดิจะไม่ได้ทำที่นี่ครับ เมนูซิกเนเชอร์ของสวนสวินเฟิงต่อจากนี้ไปคือน้ำแกงเกล็ดปลาทองห้าสาย ผมจะดูแลการทำอาหารเมนูนี้เองด้วย”
“น้ำแกงเกล็ดปลาทองห้าสายเหรอ เป็นเมนูใหม่ที่นายท่านรองพัฒนาเองเหรอ นายจะตั้งราคาเท่าไรล่ะ”
ซ่งจื่อเซวียนใคร่ครวญ เมื่อไม่รวมพวกค่าต้นทุนและหากจะให้ได้กำไรเท่ากับข้าวผัดจักรพรรดิก็คงขายประมาณหนึ่งพันสองร้อยหยวน
“ระหว่างหนึ่งพันสี่ร้อยถึงหนึ่งพันห้าร้อยหยวนน่ะ”
“เป็นอีกเมนูที่แพงสินะ เหอะๆ แม้ว่าร้านเราจะไม่ใหญ่แต่ก็ดูมีระดับอยู่บ้าง ไม่น่าจะมีปัญหา”
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้า “ใช่ครับ ตอนแรกผมไม่ได้คิดแบบนั้นหรอก แต่พอหย่าฉีตกแต่งแบบนี้ก็มีความรู้สึกเหมือนร้านอาหารส่วนตัวอยู่บ้างจริงๆ”
“ใช่ๆๆ พอนายพูดแบบนั้นฉันก็รู้สึกจริงๆ เดิมทีฉันคิดว่าชื่อสวนสวินเฟิงนี้แปลกๆ แต่ถ้าเป็นร้านอาหารส่วนตัวก็คงเหมาะสมแล้ว”
ซ่งจื่อเซวียนยิ้ม “จริงสิเจิ้งฮุย หลังจากเปิดกิจการเราจะขายอาหารรัสเซียด้วยนะครับ หลักๆ เราจะใช้สินค้าสำเร็จรูป ถึงตอนนั้นคุณก็ต้องลองศึกษาด้วย ถ้าคุณศึกษาได้ เราก็ไม่ต้องใช้สินค้านำเข้าแล้ว”
“ได้เลย นายท่านรองไม่ต้องกังวลเรื่องนี้ ฉันเจิ้งฮุยทำงานเป็นเชฟมาหลายสิบปีแล้ว เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องยากสำหรับฉันเลย อาหารรัสเซียยิ่งง่ายกว่าอีก ก็มีพวกเนื้ออบชีส ซุปบีทรูททำนองนี้” เจิ้งฮุยกล่าว
“ใช่ครับ เน้นพวกนี้เป็นหลัก จะเปิดให้รับประทานชั้นหนึ่ง ส่วนชั้นสองเป็นอาหารจีนทั้งหมด และมีแค่ห้องส่วนตัวเท่านั้นที่จะมีเอกลักษณ์เป็นแบบเชฟส์เทเบิ้ล[1]”
“โอเค ฉันเข้าใจแล้ว”
จากนั้นซ่งจื่อเซวียนและถังหย่าฉีก็ดูการจัดวางห้องโถง เรียกได้ว่าขอเพียงแค่มีเมนูอาหารส่งมา ร้านอาหารก็สามารถเปิดได้ทุกเมื่อ
“เป็นไงคุณผู้จัดการซ่ง ฉันทำงานส่วนแรกเสร็จแล้ว ที่เหลือก็ขึ้นอยู่กับนาย!” ถังหย่าฉีกล่าว
ซ่งจื่อเซวียนคลี่ยิ้ม “เจิ้งฮุยเป็นคนที่เชื่อถือได้ ครัวด้านหลังก็ไม่น่าจะมีปัญหาแน่นอน”
แม้ว่าเมื่อก่อนจะขัดแย้งกับเจิ้งฮุยอยู่บ้าง อีกทั้งเจิ้งฮุยยังช่วยหลินเทียนหนานสอดแนมวิธีการทำข้าวผัดจักรพรรดิไปด้วย
แต่ซ่งจื่อเซวียนยังคงเชื่อใจในอุปนิสัยของอีกฝ่าย เมื่อเทียบกับโจวเผิงแล้ว เจิ้งฮุยเป็นคนซื่อสัตย์มากกว่าและทำงานเพื่อหาเงินเลี้ยงครอบครัว
อาศัยเพียงแค่จุดนี้ เจิ้งฮุยก็ไม่ถึงขั้นช่วยเหลือคนอื่นจนมากระทบถึงตัวเขาเอง
ส่วนโจวเผิง…ก็ค่อยไม่แน่ใจเท่าไร
ขณะที่ทั้งสองกำลังพูดคุยกัน ซ่งจื่อเซวียนก็ได้รับสายจากซางเทียนซั่ว
“อาจารย์ ลี่ลี่มาแล้ว อ้อไม่สิ หลิงเข่อเอ๋อร์!”
ขณะเดียวกัน ซ่งจื่อเซวียนก็ได้ยินเสียงหญิงสาวดังออกมาจากโทรศัพท์ “ปล่อยฉันนะ พวกนายจะทำอะไร…”
เสียงนี้เป็นของหลิงเข่อเอ๋อร์อย่างเห็นได้ชัด
“เธอกลับมาทำงานแล้วเหรอ พวกนายทำอะไรกันอยู่”
“เปล่าหรอกครับ เธอแค่แอบมองอยู่หน้าร้านแล้วถูกรุ่ยจื่อจับได้ ผมเลยรีบโทรหาอาจารย์”
ซ่งจื่อเซวียนได้ยินก็ยิ้ม “เอาล่ะ งั้นจับเธอไว้ต่อ ฉันจะไปเดี๋ยวนี้ คราวนี้จะต้องส่งเธอให้ถึงตรงหน้าท่านผู้เฒ่าหลิง!”
………………………………………………….
[1] เชฟส์เทเบิ้ล คือ รูปแบบการรับประทานอาหารที่เสิร์ฟเมนูตามใจเชฟ โดยส่วนใหญ่มักจะนั่งรับประทานกันที่โต๊ะยาวหน้าครัวเปิด ทำให้ได้เห็นวิธีการทำต่างๆ ของเชฟกับตาตนเอง