เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 227 ยกเลิกสัญญากับพวกเขา!
ตอนที่ 227 ยกเลิกสัญญากับพวกเขา!
ซ่งจื่อเซวียนไม่ได้พูดอะไรอีก เพราะเขายังต้องการให้ซ่งอีหนานค่อยๆ ทำความเข้าใจงาน
ต่อให้เป็นเขาเอง แต่ตอนนั้นก็ต้องอ่านเอกสารและรายงานนานกว่าหนึ่งสัปดาห์ถึงจะมีความเข้าใจพื้นฐานเกี่ยวกับบริษัท
หลังจากนั้นก็เริ่มจัดการกับฉินจ้งและเฮ่อเหว่ย
ซ่งอีหนานต้องการเวลาอย่างแน่นอน ดังนั้นซ่งจื่อเซวียนจึงให้ซ่งอีหนานมาที่ห้องประชุมทุกวัน ข้อแรกเพื่อให้คุ้นเคยกับธุรกิจ ข้อสองเพื่อทำความคุ้นเคยกับเพื่อนร่วมงานในบริษัท ต่อไปหากให้เธอมาดูแล สิ่งเหล่านี้คือเรื่องพื้นฐาน
สองสามวันหลังจากนั้น ซ่งจื่อเซวียนดูแลทั้งร้านอาหารและบริษัทเหมือนอย่างเคย แต่โดยรวมแล้วทุกอย่างยังดำเนินไปอย่างราบรื่น
ร้านอาหารร่ำรวยยังคงมีออร์เดอร์จำนวนมากในทุกเช้า และซ่งจื่อเซวียนสามารถไปที่บริษัทได้หลังจากช่วงเที่ยง
ในส่วนของบริษัทนั้นยังไม่มีสถานการณ์พิเศษอะไร ยังคงดำเนินกิจการได้ตามปกติ
ซ่งอีหนานอ่านข้อมูลของบริษัททุกวัน ซ่งจื่อเซวียนยังพาเธอไปที่ตลาดหลายแห่งเพื่อดูสถานการณ์จริงอีกด้วย ส่วนซ่งอีหนานก็จดบันทึกอย่างตั้งใจทุกครั้ง
ซ่งจื่อเซวียนรู้สึกว่าท่าทางที่จริงจังเช่นนี้ของพี่สาว แปลว่าการรับช่วงต่อบริษัทอยู่ไม่ไกลแล้ว
หลังจากทานมื้อเที่ยงอย่างเร่งรีบ ซ่งจื่อเซวียนก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรหาเจิ้งอวี่
“คุณซ่ง วันนี้เร็วจังครับ คุณจะไปบริษัทตอนนี้ใช่ไหมครับ” เจิ้งอวี่กล่าว
“ไม่ครับอาเจิ้ง ผมคิดแบบนี้ครับ ถ้าวันนี้บริษัทมีปัญหาอะไร คุณบอกพี่สาวผมได้โดยตรงแล้วให้เธอตัดสินใจได้เลยครับ” ซ่งจื่อเซวียนพูด
“หืม เอ่อ…มันไม่เร็วไปหน่อยเหรอครับ ไม่กี่วันนี้พี่สาวของคุณซ่งยังทำความคุ้นเคยกับธุรกิจอยู่เลยนะครับ”
ซ่งจื่อเซวียนคลี่ยิ้ม “ถ้าไม่ได้ลงมือปฏิบัติ ไม่ว่าจะมีทฤษฎีเยอะแค่ไหนก็ไร้ประโยชน์ครับ ต้องผ่านบททดสอบที่เหมาะสมเท่านั้นถึงจะได้รู้ผลลัพธ์”
เจิ้งอวี่ชะงักไปพักหนึ่งก่อนเอ่ยว่า “เอาแบบนี้เถอะครับ ถ้ามีเรื่องด่วน ผมจะติดต่อคุณโดยตรงนะครับ”
“ไม่ต้องครับ ปล่อยให้เธอจัดการปัญหาทั้งหมดไป ถ้าเธอจัดการไม่ได้ เธอจะติดต่อผมอยู่แล้ว” ซ่งจื่อเซวียนยิ้ม
เมื่อได้ยินซ่งจื่อเซวียนยืนกรานเช่นนี้ เจิ้งอวี่ก็ทำได้เพียงเห็นด้วย แต่เขาก็มีความสงสัยจริงๆ เพราะอย่างไรซ่งอีหนานก็ยังไม่เคยลงมือทำอะไรมาก่อน
ในมุมมองของเขา ซ่งจื่อเซวียนเป็นอัจฉริยะ ทันทีที่มาถึงบริษัทก็ได้ทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่หลายอย่างซึ่งแม้แต่ซ่งอวิ๋นฮั่นก็ไม่เคยทำมาก่อน
เขาแก้ไขปัญหาที่ใหญ่ที่สุดของบริษัทและนำโครงการสำคัญๆ ทั้งหมดมาไว้ในมือของตัวเอง
แต่ไม่ใช่ทุกคนที่เป็นอัจฉริยะ ดังนั้นการให้ซ่งอีหนานเข้ารับช่วงต่อบริษัทขนาดใหญ่เช่นนี้จึงดูเร่งรีบไปเล็กน้อย
ซ่งจื่อเซวียนคิดจะอาศัยช่วงว่างนี้กลับบ้านไปพักผ่อนกับแม่ แต่ก่อนจะออกไปก็ได้รับโทรศัพท์จากถังหย่าฉี
เธอบอกว่าจัดการทุกอย่างในร้านเสร็จแล้ว และประกาศรับสมัครพนักงานเสิร์ฟเสร็จเรียบร้อย รอเพียงเชฟในครัวด้านหลังเท่านั้น
ซ่งจื่อเซวียนจึงรีบโทรหาเจิ้งฮุยทันที
อย่างไรเงินเดือนก็เพิ่มขึ้นสามเท่า เจิ้งฮุยจึงตอบตกลงทันทีและตรงไปที่สวนสวินเฟิงในบ่ายวันนั้น
แต่เขายังไม่ได้ลาออกทันที ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติ อย่างน้อยที่สุดต้องรู้ว่าทางนี้ต้องการคุณจริงๆ ถึงค่อยลาออก ใครๆ ก็ไม่อยากตกงานอย่างโง่เขลากันทั้งนั้น
บ่ายวันนั้น ซ่งจื่อเซวียนและถังหย่าฉีได้พบกับพนักงานทุกคน แต่ตามความเห็นของซ่งจื่อเซวียน เจ้านายในนามคือถังหย่าฉี
ดังนั้นนอกจากเจิ้งฮุย ก็ไม่มีใครรู้ว่าซ่งจื่อเซวียนเป็นเจ้านาย คิดเพียงว่าเขาเป็นเชฟคนหนึ่ง…
“จื่อเซวียน นายชอบเก็บตัวเงียบขนาดนี้ ทำให้คนอื่นรู้ว่านายเป็นเจ้านายมันจะเป็นไรไปล่ะ อายคนเหรอ” ถังหย่าฉียิ้มอย่างจนใจ
ซ่งจื่อเซวียนพิงกำแพงด้านหลังแล้วไขว่ห้าง “ฉันไม่ชอบถูกยกย่องให้สูงส่งตั้งแต่เกิดแล้ว มันไม่สบายใจ!”
“ทำตัวเป็นคนดีนะนายเนี่ย จริงสิ ฉันทำห้องผู้จัดการให้นายไว้แล้ว อย่าหาว่าฉันไม่ดีพอล่ะ”
“ยังมีห้องผู้จัดการด้วยเหรอ”
”ฉันจะพานายไปดูเอง!”
จากนั้นทั้งสองคนก็เดินขึ้นไปชั้นบน ถังหย่าฉีพาซ่งจื่อเซวียนไปยังห้องส่วนตัวที่อยู่ในสุด
เมื่อเดินมาถึงหน้าห้อง ซ่งจื่อเซวียนก็รู้สึกได้ว่าห้องนี้แตกต่างจากห้องส่วนตัวอื่นๆ
ประตูห้องส่วนตัวอื่นๆ ดูเหมือนออกแบบเป็นสไตล์ร้านอาหาร แต่ห้องนี้ดูเป็นทางการธุรกิจมากกว่า
ประตูไม้เนื้อแข็งสีน้ำตาลอมดำ มือจับประตูทำจากทองแดงบริสุทธิ์ ดูดีมีสไตล์มาก
ถังหย่าฉีคลี่ยิ้ม “ผู้จัดการซ่ง เชิญค่ะ!”
ขณะที่พูดเธอก็เปิดประตู ซ่งจื่อเซวียนเห็นการออกแบบภายในที่เรียบง่ายมาก มีโต๊ะไม้เนื้อแข็ง เก้าอี้จีนแขนโค้งและโซฟาที่ทำจากไม้เช่นกัน โต๊ะชาขนาดใหญ่ที่อยู่ตรงหน้าถูกแกะสลักและเต็มไปด้วยสไตล์โบราณ
“ให้ตายสิๆ…ดีจังเลยหย่าฉี นี่มัน…เจ๋งสุดๆ ไปเลย!”
ซ่งจื่อเซวียนมองไปรอบๆ แม้ว่าห้องทำงานไม่ได้ใหญ่ แต่มีสไตล์ละมุนละไม ขับเน้นคำว่าสง่างามออกมา
“เป็นยังไงบ้าง เฮ้ รีบชมฉันเร็วสิ ช่วงนี้ฉันชอบฟังนายชมฉันนะ!”
ซ่งจื่อเซวียนคลี่ยิ้ม ”เก่งมากๆ เลย แต่…หย่าฉี ฉันเป็นแค่เชฟ เธอทำห้องทำงานแบบนี้ให้ฉันเหมือนกับห้องหนังสือเลย ทำเตาเดี่ยวให้ฉันไม่ดีกว่าเหรอ!“
“คนดีจริงๆ เลยนะ ทำมาเป็นพูดสวยหรู เจ้านายคนไหนบ้างที่ไม่มีห้องหนังสือ ในชีวิตนายคงอยู่หน้าเตาทุกวันไม่ได้หรอกใช่ไหม สหายเสี่ยวซ่ง นายควรเรียนรู้ที่จะเป็นเจ้านายนะ!”
เดิมทีธุรกิจครอบครัวถังหย่าฉีนั้นใหญ่โตอยู่แล้ว ในสายตาของเธอเจ้านายควรมีบุคลิกภาพที่เหมือนกับเจ้านาย
แม้ว่าซ่งจื่อเซวียนจะเป็นหัวหน้าเชฟด้วย แต่เมื่อไม่ได้ทำอาหารเขาก็ต้องนั่งสวมชุดสูท ผูกเนกไทในออฟฟิศเสมอ
นี่คือเหตุผลที่เธอเลือกชุดสูทให้ซ่งจื่อเซวียนตั้งแต่แรก
“ได้ เธอว่ายังไงก็เอาตามนั้น!” ซ่งจื่อเซวียนนั่งลงบนเก้าอี้จีนแขนโค้ง ทันใดนั้นก็มีความรู้สึกไม่เหมือนเดิม
เฮ้อ น่าเสียดายที่ไม่ใช่ของเก่า ไม่อย่างนั้นเวลานั่งแล้วจะมีความรู้สึกสูงส่งมากกว่านี้ ซ่งจื่อเซวียนใคร่ครวญกับตัวเอง แต่ไม่กล้าพูดออกมา
ถังหย่าฉีใช้เวลานานในการสร้างห้องทำงาน ถ้าเขาไม่ชอบมันอีก แม่ทูนหัวคนนี้คงจะบ้าเป็นแน่
“จริงสิจื่อเซวียน แล้วเรื่องที่ฉันคุยกับนายไปล่ะเป็นยังไงบ้าง ผู้เฒ่าฟางบอกหรือเปล่าว่าจะให้คนอื่นทำข้าวผัดได้ยังไง” ถังหย่าฉีพูดขณะที่ชงชาหนึ่งถ้วยแล้วถือมาให้ซ่งจื่อเซวียน
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้า “มีวิธี แต่…เกรงว่าจะต้องใช้ความพยายามและเวลาพอสมควร”
“หืม งั้นใช้เวลานานแค่ไหนล่ะ ยากจะจินตนาการว่านายต้องวิ่งไปวิ่งมาร้านอาหารสองที่ทุกวันนะ แล้วยังบริหารเวลายากด้วย”
เห็นได้ชัดว่าถังหย่าฉีสนใจรายได้ของสวนสวินเฟิงมากกว่า สิ่งที่เธอใส่ใจไม่ใช่เงินแต่เป็นผลลัพธ์
หากสวนสวินเฟิงมีผลตอบรับดีจริงๆ พ่อก็จะยอมรับเธอและจะไม่บังคับให้เธอไปต่างประเทศ
“ก็…พูดยาก แต่…”
ก่อนที่เขาจะพูดจบ โทรศัพท์ของซ่งจื่อเซวียนก็ดังขึ้น
เมื่อเห็นว่าเป็นสายจากซ่งอีหนาน เขาก็คลี่ยิ้ม ดูเหมือนจะเกิดเรื่องขึ้นที่บริษัทอย่างที่คิดไว้ พี่สาวก็เลยมาขอความช่วยเหลือ
“พี่ มีอะไรเหรอ…” ซ่งจื่อเซวียนแสร้งทำน้ำเสียงอ่อนแอ ขณะเดียวกันก็ทำท่าทางจุ๊ปากกับถังหย่าฉี
ถังหย่าฉีเห็นก็ปิดปากยิ้ม ครุ่นคิดในใจว่าตาบ้าคนนี้จะทำอะไร ฟังจากน้ำเสียงที่เสแสร้งของเขา ไม่ใช่ว่าแม้แต่พี่สาวของตัวเองก็คิดจะหลอกหรอกนะ
“เจ้ารองซ่งนายอยู่ไหนเนี่ย” ได้ยินเสียงของซ่งอีหนาน ก็ชัดเจนว่าเธอป้องปากและพูดเสียงเบา ท่าทางเหมือนกลัวว่าคนอื่นจะสังเกตเห็น
ซ่งจื่อเซวียนรู้สึกขำเมื่อนึกถึงท่าทางของพี่สาว แต่พยายามกลั้นขำอย่างเต็มที่
“ผมอยู่คลินิกหน้าร้านอาหาร ทำไมเหรอ” ซ่งจื่อเซวียนพูดด้วยน้ำเสียงทอดถอนใจ
“คลินิก? นายไปทำอะไร ไม่สบายเหรอ” ซ่งอีหนานถามด้วยความเป็นห่วง
“ไม่รู้สิ ปวดหัวตั้งแต่เช้าแล้ว ตอนนี้ก็ท้องเสีย มีอะไรเหรอพี่”
“โธ่เอ๊ย พวกเขาบอกว่าในตลาดมีบางร้านก่อเรื่อง บางร้านเป็นแกนนำจะถอนตัวเพราะมีปัญหาเรื่องการบริหารจัดการตลาด”
ได้ยินเช่นนั้น ซ่งจื่อเซวียนก็ครุ่นคิด “ตลาดไหนเหรอ”
“ตลาดอาหารทะเลในเขตหงเหอ เมื่อกี้เจิ้งอวี่มาบอกข่าวกับฉัน ฉันมึนไปหมด…ทำไมเขาถึงมาบอกฉันล่ะ”
ซ่งจื่อเซวียนลอบยิ้ม ทั้งหมดนี้คือคำสั่งของเขา แน่นอนว่าเจิ้งอวี่ต้องมาหาพี่สาว
“พี่ ผมขอบอกนะว่าผมไม่สบายจริงๆ ไปไหนไม่ได้แล้ว ไม่อย่างนั้น…พี่ช่วยผมได้ไหมล่ะ” ซ่งจื่อเซวียนกล่าว
ซ่งอีหนานไม่มีทางเลือกอื่น แต่น้องชายไม่สบายและต้องการความช่วยเหลือ เธอจึงต้องทำตามหน้าที่ไปโดยปริยาย
บวกกับนี่เป็นธุรกิจของตระกูลซ่ง ถึงแม้เธอจะไม่ใช่เถ้าแก่ แต่ก็ยังมีสิทธิ์มีเสียง
“ก็ได้ เจ้ารอง นายคิดว่าเราควรทำยังไงกับเรื่องนี้ล่ะ”
“ผมไม่รู้รายละเอียดนี่นา พี่ลองจัดการดูเถอะ แต่เมื่อก่อนฉินจ้งเคยบริหารตลาดเขตหงเหอ คนพวกนี้อาจจะโวยวายเพราะชื่อเสียงของฉินจ้งก็ได้นะ” ซ่งจื่อเซวียนพูดและส่งเสียงแสร้งทำเป็นเจ็บปวด
พูดจบ ซ่งอีหนานก็วางสายโทรศัพท์ไป
ซ่งจื่อเซวียนคลี่ยิ้ม พี่อย่าโทษกันเลยนะ ตอนนี้น้องชายจำเป็นต้องฝึกฝนพี่
ถังหย่าฉีมองรอยยิ้มของซ่งจื่อเซวียนก็พูดขึ้นว่า “รอยยิ้มร้ายกาจ นายแย่มากเลยนะ แม้แต่พี่อีหนานก็ยังจะโกหก!”
“หืม เธอยังจำชื่อพี่สาวฉันได้อีกเหรอ”
“ทำไมจะจำไม่ได้ล่ะ ครั้งที่แล้วฉันดื่มเยอะไปไม่รู้ว่าอับอายแค่ไหน ต้องขอบคุณคุณป้ากับพี่อีหนานที่ดูแลฉัน” ถังหย่าฉีพูด
“แม่ฉันยังบอกด้วยว่าให้ชวนเธอไปกินข้าวที่บ้านน่ะ!” ซ่งจื่อเซวียนพูดด้วยรอยยิ้ม
ถังหย่าฉีได้ยินก็หน้าแดงระเรื่อ “หา? จะ…จริงเหรอ…”
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้า “แม่ฉันประทับใจเธอมาก เธอรู้ไหมว่าครั้งที่แล้วหลังดื่มเสร็จเธอเป็นยังไง”
“เป็นยังไงล่ะ อ๊ะไม่นะ ห้ามพูด ต้องอับอายขายขี้หน้าแน่นอน!”
ใบหน้าของถังหย่าฉีเปลี่ยนเป็นสีแดง เธอดื่มเหล้าบ่อย แต่แทบไม่เคยดื่มเยอะ มีเพียงครั้งนั้นครั้งเดียว แถมคนในครอบครัวซ่งจื่อเซวียนยังเห็นอีกด้วย เธอละอายใจจริงๆ
………………………………
ณ ตลาดอาหารทะเลเขตหงเหอ
พ่อค้าหลายคนนั่งอยู่ตรงทางเดิน ชูป้ายขึ้นมาและจอดรถไว้แทบจะปิดทางเดิน
บนป้ายเขียนไว้ว่า ‘การบริหารตลาดที่ไม่ดี ทำให้เกิดความเสียหายแก่พ่อค้า ต้องการค่าชดเชย!’
มีคนมาดูไม่น้อย เพราะยังมีคนจำนวนมากที่สนใจชมความสนุกสนาน
“แม่งเอ๊ย ตลาดนี้ยิ่งบริหารก็ยิ่งแย่ลงเรื่อยๆ ยังจะให้คนทำมาหากินอยู่ไหม”
“ใช่ หลังจากนายท่านลิ่วออกไปก็ทำอะไรไม่ได้เลย ฝ่ายบริหารคืนเงินมานะ!”
คนจากแผนกบริหารยืนทำอะไรไม่ถูกอยู่ตรงนั้น พ่อค้าเหล่านี้มีพฤติกรรมรุนแรงและทำเรื่องหยาบคาย พวกเขาไม่กล้าจัดการเรื่องนี้จริงๆ ดังนั้นจึงโทรหาเจิ้งอวี่
ในตอนนี้เอง ซ่งอีหนานพาเจิ้งอวี่และลูกน้องสองคนเข้าไปในกลุ่มคน
วันนี้ซ่งอีหนานสวมชุดสูททำงานสีน้ำเงินเข้ม ปกเสื้อเชิ้ตอยู่นอกชุดสูทอย่างเรียบร้อย ท่าทางของเธอดูเป็นผู้หญิงที่ทำงานอย่างเป็นมืออาชีพ
ซ่งอีหนานถือแฟ้มในมือ มองดูคนเหล่านั้นแล้วเอ่ย “พวกคุณโวยวายอะไรกันตอนกลางวันแสกๆ คะ ปิดทางที่นี่แล้ว ตลาดจะเปิดได้ไหม”
“เฮ้ย มาจัดการเรื่องวุ่นวายที่นี่เหรอ เจิ้งอวี่ อย่าปล่อยให้สาวๆ พูดสิ คุณบอกหน่อยว่าเราควรทำยังไงกับเรื่องนี้”
เจิ้งอวี่พูดว่า “ได้สิครับ ตอนนี้พวกคุณกำลังพูดเรื่องอะไรกันอยู่ล่ะ”
“ไร้สาระ หลังจากคุณมาบริหารตลาด ยอดขายของเราลดลงไปหนึ่งในสี่ แม่งเอ๊ย แล้วจะทำยังไงกัน”
“ใช่ ไปเชิญนายท่านลิ่วกลับมาหาเราด้วย แม่เฒ่าแกสิ พวกคุณบริหารตลาดเป็นไหมเนี่ย”
เมื่อซ่งอีหนานได้ยินก็เอ่ยถาม “อาเจิ้ง เกิดอะไรขึ้นคะ”
“เดิมทีคนพวกนี้ใช้เส้นสายของฉินจ้ง ดังนั้นตำแหน่งร้านที่ให้พวกเขาเลยดีที่สุด และมีนโยบายการตลาดที่เอื้อเฟื้อ หลังจากคุณซ่งมาบริหารโดยตรงก็ยกเลิกนโยบายเหล่านี้ไป และแจกจ่ายผลประโยชน์ให้กับร้านค้าทุกร้านอย่างเท่าเทียมกันครับ”
ซ่งอีหนานพยักหน้า “ฉันเข้าใจแล้วค่ะ”
เธอเปิดแฟ้มดูแวบหนึ่ง “เจ้ากัง หลี่หมิง แล้วก็…เฉินซานหูใช่ไหมคะ”
“ใช่ ทำไมเรอะ” ชายที่สร้างปัญหากล่าว
ซ่งอีหนานคลี่ยิ้ม “ไม่มีอะไรค่ะ อาเจิ้ง ตามกฎระเบียบการบริหารจัดการตลาด เราจะยกเลิกสัญญากับพวกเขา มีผลวันนี้เลยค่ะ!”
……………………………………………………