เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 226 มีความคืบหน้า
ตอนที่ 226 มีความคืบหน้า
อันที่จริงด้วยวัยของซ่งอีหนาน เธอไม่อยากเสียเวลาอยู่ที่บ้านทั้งวันกับช่วงวัยแบบนี้
แม้ว่าเธอจะเป็นผู้หญิง แต่สมัยนี้มีผู้หญิงมากมายที่จัดการอาชีพการงานของตัวเองอย่างดี
ซ่งอีหนานก็โหยหาชีวิตแบบนั้นเช่นกัน
แต่เพราะประสบการณ์เหล่านั้นที่เมืองหลานหยวน เธอจึงไม่มีความกล้าหาญอีกและค่อนข้างจะหวาดผวา
ตอนนี้คำพูดของซ่งจื่อเซวียนทำให้เธอตื่นเต้นขึ้นมาจริงๆ คงจะดีมากถ้าเธอสามารถออกไปทำงานได้แทนที่จะนั่งอยู่บ้านเฉยๆ
“เจ้ารอง นายพูดจริงหรือเปล่า นายคิดจะให้ฉันไปทำงานที่บริษัทจริงๆ เหรอ”
ซ่งจื่อเซวียนคลี่ยิ้ม “แน่นอน ผมไม่ล้อเล่นกับพี่หรอก”
“ได้ นับว่านายจิตใจดี” ขณะที่ซ่งอีหนานพูดก็มองหานหรงอย่างมีความสุข “แม่ งั้นพรุ่งนี้เช้าหนูจะไปที่บริษัทกับเจ้ารองนะ!”
หานหรงยิ้มแล้วกล่าว “ไปเถอะ ฉันอยู่บ้านคนเดียวได้ อายุุแบบแกไม่ต้องเสียเวลาอยู่บ้านกับฉันหรอก แต่เราต้องตกลงกันว่าพอถึงที่นั่นแกจะเพิ่มความวุ่นวายให้เจ้ารองไม่ได้ เวลาอยู่ที่บ้านแกเป็นพี่สาวแต่เวลาอยู่ที่นั่นเขาเป็นเจ้านายนะ”
“หนูรู้น่า หนูจะกล้าไม่เชื่อฟังลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของแม่ได้ยังไง รู้อยู่แล้วว่าแม่ลำเอียง!” ซ่งอีหนานพูดติดตลก
“ก็แค่ลำเอียง ตอนอยู่ที่บริษัทแกต้องไว้หน้าน้อง ไม่อย่างนั้นคนอื่นจะเคารพเขาได้ยังไงล่ะ” หานหรงพูด
เมื่อซ่งจื่อเซวียนได้ยินก็แอบพยักหน้า แม้ว่าหานหรงจะเป็นแม่บ้าน แต่เธอยังมีความรู้ด้านวิชาการด้วย เธอจึงเข้าใจหลักความเป็นจริง
จากนั้น ซ่งจื่อเซวียนก็โทรหาเจิ้งอวี่ให้มารับซ่งอีหนานเช้าวันพรุ่งนี้ เพื่อให้ซ่งอีหนานไปทำความคุ้นเคยกับงานที่บริษัทก่อน
อย่างไรเขาก็ยังต้องไปที่ร้านอาหารร่ำรวยอีก ช่วงเช้าเขาไม่ได้ให้พี่สาวพักผ่อนแต่ให้อยากอ่านข้อมูลและทำความรู้จักกับเพื่อนร่วมงานเสียหน่อย
ตอนกลางคืน ซ่งจื่อเซวียนแสร้งทำเป็นนอนหลับไปก่อน จนกระทั่งแน่ใจว่าแม่และพี่สาวหลับแล้ว เขาก็เริ่มนั่งสมาธิเหมือนเมื่อคืน
ความรู้สึกที่คุ้นเคยก็ปรากฏขึ้นในไม่ช้า
สภาพในวันนี้ดีขึ้นกว่าเมื่อคืนอย่างเห็นได้ชัด แน่นอนว่าจุดนี้มาจากการนั่งสมาธิเมื่อวานเช่นกัน
เขารู้สึกถึงลมปราณในร่างกายของเขาอย่างรวดเร็ว จากนั้นจิตวิญญาณของเขาก็เริ่มไล่ตามวิธีที่ลมปราณไหลผ่านในร่างกายของเขา
เมื่อมั่นใจวิธีการเคลื่อนไหวอย่างอิสระของลมปราณแล้ว เขาก็เริ่มลองใช้จิตวิญญาณเพื่อเปลี่ยนแปลงมันตามวิธีที่ชายชราได้กล่าวไว้
ทว่าขั้นตอนนี้ยากเกินไปจริงๆ ไม่ว่าเขาจะพยายามแค่ไหน สุดท้ายก็ยากที่จะทำได้สำเร็จ
ซ่งจื่อเซวียนคิดไตร่ตรอง เขายืนอยู่หน้าเตาและใช้คำแนะนำในหนังสือสูตรอาหารเพื่อให้ลมปราณมารวมกันที่ข้อมือของเขา นี่คือพลังแห่งจิตวิญญาณหรือเปล่านะ
เมื่อนึกถึงสิ่งนี้เขาก็พยักหน้า ต้องเป็นเช่นนี้แน่นอน ไม่ต้องมีบทเรียนที่สำเร็จรูป ต้องคิดพิจารณาด้วยตัวเอง คลำหาทางที่ไม่มีจุดหมายอยู่บ้างจริงๆ
อีกทั้งความจริงแล้วเป้าหมายของเขานั้นง่ายมาก นั่นคือการปลดปล่อยกำลังภายในสู่ภายนอก ส่วนจะปลดปล่อยไปตรงไหนนั้นไม่สำคัญ
ทุกครั้งที่ผัดข้าว กำลังภายในทั้งหมดจะถูกส่งจากข้อมือไปยังวัตถุดิบในกระทะ ตอนนี้เพียงแค่ต้องการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย ในตอนที่ไม่มีกระทะก็ต้องปลดปล่อยกำลังภายในออกมาได้!
จากนั้นเขาก็เริ่มทดลอง
เป็นจริงตามที่คิดไว้ จากคำแนะนำในหนังสือสูตรอาหาร แม้ว่าไม่มีกระทะ กำลังภายในก็สามารถส่งถึงข้อมือได้
แต่ถ้าไม่ใช้กระทะแล้วนำออกมาสู่ภายนอกโดยตรง…เขายังทำไม่ได้จริงๆ
ในไม่ช้า ซ่งจื่อเซวียนก็เหนื่อยล้าอย่างชัดเจนและเริ่มง่วงนอน
สิ่งนี้ทำให้เขาประหลาดใจ เมื่อคืนนี้เขานั่งสมาธิและไม่ได้นอนทั้งคืน แต่ตอนเช้ากลับไม่ได้ง่วงเลยสักนิด
แต่วันนี้เพิ่งจะนั่งสมาธิไปประมาณสองชั่วโมง ทำไมถึงได้ง่วงขนาดนี้
ซ่งจื่อเซวียนคาดเดาว่าสิ่งนี้เกี่ยวข้องกับร่างกายของตัวเอง เหมือนกับที่ชายชราได้กล่าวไว้ เมื่อปลดปล่อยกำลังภายในสู่ภายนอกได้ชำนาญ ร่างกายของเขาก็จะเปลี่ยนไปด้วย
“ดูเหมือนว่าร่างกายตอนนี้ยังอ่อนแออยู่”
แต่ไม่ว่าจะเป็นอย่างไรก็ถือว่าเป็นความคืบหน้า
เมื่อพักผ่อนเพียงพอแล้วก็ค่อยนั่งสมาธิต่อไป เมื่อลองทำเช่นนี้หลายๆ ครั้ง บางทีอาจเห็นการเปลี่ยนแปลง
หลังจากนั้น ซ่งจื่อเซวียนก็แทบจะหลับในเสี้ยววินาที
นี่ก็เป็นผลของการนั่งสมาธิเช่นกัน สามารถบำรุงสภาพร่างกาย รวมถึงการพักผ่อนร่างกาย สงบจิตใจและนอนหลับสนิท
แน่นอนว่าจะต้องเป็นวิธีการนั่งสมาธิที่ถูกต้อง แม้ว่าเมื่อคืนนี้ซ่งจื่อเซวียนจะนั่งสมาธิเช่นกัน แต่ผลที่ได้กลับไม่ดีเท่าวันนี้
เหตุผลก็คือหนังสือสูตรอาหารวังราชวงศ์ชิง ซ่งจื่อเซวียนไม่รู้ว่าการกำหนดลมหายใจที่เขาเห็นก่อนหน้านี้ในหนังสือสูตรอาหารเป็นส่วนหนึ่งของการฝึกร่างกายเช่นกัน
เช้าวันรุ่งขึ้น ซ่งจื่อเซวียนไปร้านอาหารร่ำรวยตามปกติ
แต่วันนี้มีบางอย่างแตกต่างออกไป หลังจากที่เขาสั่งการไปเมื่อวานนี้ หูเจิ้นก็ไปหากระทะใบใหญ่มาให้เขา
เส้นผ่านศูนย์กลางของกระทะใบนี้คือหกสิบเซนติเมตร ไม่ต้องพูดถึงการเสิร์ฟสามที่ในเวลาเดียวกัน แม้จะเสิร์ฟหกที่ก็เกรงว่าจะไม่มีปัญหา
แต่ซ่งจื่อเซวียนไม่คิดจะเร่งรีบและยังทำทีละขั้นตอน
เมื่อประตูใกล้จะเปิด เขาลองใช้กระทะทำสี่ที่ก่อน
หลังจากมั่นใจว่ารสชาติที่ผัดคุณภาพไม่ได้ลดลงอย่างชัดเจน เขาก็เปลี่ยนมาเป็นห้าที่
หลัวจากนั้นเขาก็ไม่ได้เพิ่มจำนวนขึ้นอีก เพราะยิ่งมีจำนวนมากขึ้นเท่าไร เขาก็จะสูญเสียกำลังภายในไปมากขึ้นเท่านั้น ทั้งยังมากกว่าที่เขาผัดทีละจานด้วยซ้ำ
ประหยัดเวลาได้ แต่ลมปราณถูกใช้ไปอย่างหนัก หลังเที่ยงซ่งจื่อเซวียนก็รู้สึกทนไม่ไหวเล็กน้อย
เสื้อผ้าทั้งเนื้อทั้งตัวเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ นอกจากช่วงแรกที่เขาคลุกคลีกับข้าวผัดจักรพรรดิ เรื่องแบบนี้ยังไม่เคยเกิดขึ้นกับเขามาก่อน
“ดูเหมือนว่าต้องทำทีละขั้นตอนสินะ”
ซ่งจื่อเซวียนตัดสินว่าทำทีละสี่ที่กำลังพอดี แม้ว่าจะสิ้นเปลืองลมปราณไปบ้าง แต่ก็ยังทนไหว ห้าที่…คงทนไม่ไหว
จากนั้นเขาก็พักผ่อนเกือบหนึ่งชั่วโมงจึงค่อยรู้สึกดีขึ้น
แต่ซ่งจื่อเซวียนพบว่าโจวเผิงเปลี่ยนไปมากจริงๆ อีกฝ่ายไม่หยิ่งเหมือนเมื่อก่อนแล้ว และยังพูดคุยอย่างเป็นมิตรกับพวกหยางกัง
เช้านี้ ซางเทียนซั่วนินทาและแขวะใส่อยู่ไม่น้อย แต่โจวเผิงกลับไม่ได้ตอบกลับอะไรมากนัก
ซ่งจื่อเซวียนยิ้ม ดูเหมือนว่ามรสุมชีวิตจะเปลี่ยนคนคนหนึ่งได้อย่างแน่นอน
หลังจากพักผ่อนได้สักพัก เขาก็ตรงไปที่บริษัทชิงอวี่ ระหว่างทางเขาก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดเบอร์โทร
เป็นเบอร์โทรศัพท์ของเจิ้งฮุย อดีตหัวหน้าเชฟต้าสือไต้
เมื่อพูดถึงเจิ้งฮุย แม้ว่าอีกฝ่ายจะมีความขัดแย้งกับซ่งจื่อเซวียนอยู่บ้าง แต่เมื่อเทียบกับโจวเผิงก็ยังดีกว่ามาก
ในช่วงหลังๆ นั้น อันที่จริงเจิ้งฮุยทำดีกับซ่งจื่อเซวียนไม่น้อย และบางครั้งซ่งจื่อเซวียนก็มองเห็นความชื่นชมของอีกฝ่าย
“หัวหน้าเชฟเจิ้ง ไม่เจอกันนานเลยนะ!”
“โห นายท่านรองเหรอ ฮ่าๆๆ ไม่เจอกันนานแล้วนะ!” เจิ้งฮุยกล่าว
“เหอะๆ ช่วงนี้ยุ่งอะไรอยู่หรือเปล่าครับ” ซ่งจื่อเซวียนยกยิ้ม
เจิ้งฮุยได้ยินก็ชะงักไปชั่วคราว “เฮ้อ นายท่านรอง พูดตรงๆ นะ หลังจากที่ต้าสือไต้ปิดตัวลงก็หาอะไรทำดีๆ ไม่ได้เลย ตอนนี้เป็นเชฟในร้านอาหารหนึ่งทางเขตเฉิงเป่ย เงินเดือนก็น้อยมาก”
“ได้ยินมาว่าตอนนี้ข้างนอกหางานยาก แต่มีงานทำก็ไม่เลวแล้วนะครับ ตอนนี้เงินเดือนเท่าไรเหรอครับ”
เจิ้งฮุยตอบ “ห้าพันหยวนน่ะ เฮ้อ เดิมทีที่ต้าสือไต้ได้หนึ่งหมื่นห้าพันหยวน ถือว่าดี แต่ตอนนี้เงินขาดไปตั้งหนึ่งหมื่นหยวน”
ซ่งจื่อเซวียนคลี่ยิ้ม “หนึ่งหมื่นห้าพัน…ผมให้คุณได้นะ สนใจไหมครับ”
“อะไรนะ นายท่านรอง อย่าล้อเล่นนะ ฉันรู้ว่านายร่ำรวยที่เขตเฉิงตง แต่…ฉันก็รู้ด้วยว่าในอดีตฉันทำเรื่องไม่เหมาะสมไป ฉันไม่มีหน้าไปเจอนายแล้วล่ะ”
“เหอะๆ ไม่ต้องเอ่ยถึงเรื่องในอดีตแล้วครับ เจิ้งฮุย ผมวางแผนจะเปิดร้านอาหารทางเขตเฉิงหนาน คุณสนใจจะช่วยผมดูแลครัวไหมครับ” ซ่งจื่อเซวียนกล่าว
“สนใจสิ สนใจแน่นอน นายท่านรองให้ ฉันขอบอกบางอย่างจากใจนะ ความจริงแล้วตอนที่อยู่ต้าสือไต้ ถึงฉันจะเป็นหัวหน้าเชฟ แต่ฉันก็รู้อยู่แก่ใจว่าทำไมต้าสือไต้ถึงโด่งดังมาก ฉันยินดีร่วมงานกับนาย!”
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้าและยิ้ม “โอเคครับ คุณไปทำงานที่ร้านนั่นก่อนเถอะ รอรับสายจากผมด้วยนะ ลาออกแล้วไปทำงานที่ร้านผมได้เลย!”
“ไม่มีปัญหานายท่านรอง ฉันได้ยินมาว่านายเชื่อถือได้แล้วก็ไว้ใจได้ ไม่เหมือนโจวเผิงนั่น พูดมาตั้งนาน…แต่เชื่อถือไม่ได้”
ได้ยินประโยคนี้ ซ่งจื่อเซวียนก็ชะงักไป “หืม คุณติดต่อกับโจวเผิงด้วยเหรอครับ”
“ติดต่อสิ เขาบอกว่าเขาลงทุนไปมหาศาลเพราะต้องการทำธุรกิจอาหารขนาดใหญ่ เขาจะเป็นผู้จัดการและให้ฉันเป็นหัวหน้าเชฟ แต่ไอ้หมอนี่เชื่อถือไม่ได้เลย หลังจากนั้นก็ไม่มีข่าวคราวอะไร”
ซ่งจื่อเซวียนได้ยินเช่นนี้ก็มีบางอย่างปรากฏขึ้นมาในหัวอย่างรวดเร็ว เขาพยักหน้า “โอเคครับ ผมเข้าใจแล้ว ผมจะโทรหาคุณอย่างช้าที่สุดภายในหนึ่งสัปดาห์ เตรียมตัวไปทำงานได้เลยนะครับ!”
“ได้เลย งั้นฉันจะรอสายจากนายนะ!”
หลังจากวางสาย ซ่งจื่อเซวียนก็อดหายใจเข้าไม่ได้
โจวเผิง…ลงทุนไปจริงๆ เหรอ แต่ถ้าเป็นแบบนี้แล้วเขายังมาที่ร้านอาหารร่ำรวยทำไม
แถมยังมีร้านอาหารมากมาย ทำไมเขาต้องมาที่ร้านอาหารร่ำรวยด้วย เขามาที่นี่ทั้งๆ ที่รู้ดีว่าเคยมีความหลังกับฉันมาก่อน…
ถ้าพูดว่าทำเพื่อใช้ชีวิตต่อไป ตอนนี้เมื่อใคร่ครวญดูแล้ว เรื่องนี้กลับมีลับลมคมในอยู่นิดหน่อย
แต่ซ่งจื่อเซวียนไม่ได้ทำให้เป็นเรื่องใหญ่ ไม่ได้บอกพวกซางเทียนซั่ว แต่เขากลับตัดสินใจว่า…จะต้องระวังโจวเผิงให้มากขึ้น
เมื่อถึงบริษัท ซ่งจื่อเซวียนก็ตรงไปที่ห้องประชุม ซึ่งเขาสามารถมองเห็นซ่งอีหนานที่อยู่ด้านในผ่านผนังกระจกได้
ตอนนี้ซ่งอีหนานกำลังพลิกดูเอกสารในกล่อง ตั้งใจอ่านและจดบันทึกเป็นครั้งคราว
ซ่งจื่อเซวียนยิ้มและพยักหน้า อย่างน้อยความตั้งใจของพี่สาวก็ทำให้เขาวางใจ
จากนั้น ซ่งจื่อเซวียนก็เปิดประตูเข้าไป “เป็นยังไงบ้างคุณผู้หญิงซ่ง เห็นรายงานการทำงานแล้วเป็นยังไงครับ”
เมื่อหันไปเห็นซ่งจื่อเซวียน ซ่งอีหนานก็ยิ้ม “ตกใจหมดเลย จื่อเซวียน ฉันกำลังดูรายงานของปีนี้อยู่ ซับซ้อนมากเลย”
“อ่านเข้าใจไหม”
“เข้าใจนะ ฉันเคยเรียนบัญชีมา อ่านให้เข้าใจน่ะไม่มีปัญหา แต่ไม่คิดว่าบริษัทของพ่อจะมีโครงการเยอะขนาดนี้ แถมยังยากมากด้วย” ซ่งอีหนานพูด
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้า “นี่เป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะงั้นพวกเราจะต้องตั้งใจทำงานถูกไหม!”
“อืม ต้องเป็นแบบนั้นอยู่แล้ว จื่อเซวียน ฉันเห็นว่ารายงานพวกนี้มันมีบางอย่างผิดปกติ เริ่มตั้งแต่เดือนที่แล้ว บัญชีกระแสรายวันมีการเปลี่ยนแปลงไปเยอะจากปีที่แล้ว นายดูนี่สิ…”
ซ่งจื่อเซวียนยิ้ม “ไม่ต้องดูแล้ว ผมอ่านรายงานพวกนี้มาเกือบเดือนแล้ว สาเหตุที่มีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ก็เพราะโครงการพวกนี้เดิมทีผู้ถือหุ้นของบริษัทเป็นคนดูแล แต่ตอนนี้ไม่ใช่แล้ว”
“หืม ไม่ใช่แล้วเหรอ ถ้าไม่ใช่ผู้ถือหุ้นแล้วใครดูแลล่ะ” ซ่งอีหนานถาม
“ผมไง เพราะจากนี้ไปผมจะดูแลโครงการพวกนี้โดยตรง ดังนั้นบัญชีจะโปร่งใสมากขึ้น แต่ก็ยุ่งยากมากเหมือนกัน ผมดูแลเองคนเดียวไม่ได้”
ได้ยินดังนั้น ซ่งอีหนานก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย “นั่นสิ เรื่องใหญ่แบบนี้นายจะจัดการเองคนเดียวได้ยังไง แล้วยังต้องไปที่ร้านอาหารอีก”
“ใช่แล้ว ผมเลยให้พี่มาช่วยผมไง”
“ฉัน? ฉันทำได้เหรอ ฉันทำงานพาร์ทไทม์ที่ชั้นหนึ่งได้เท่านั้นแหละ”
ซ่งจื่อเซวียนยิ้มพร้อมเข้ามาใกล้ “พี่นั่งในห้องของผมก็ได้นะ พี่ ความจริงแล้วมันก็เป็นบริษัทของพวกเราเอง เราทั้งคู่ใครจะดูแลก็เหมือนกันถูกไหม”
ซ่งอีหนานอึ้งไปแล้วตีซ่งจื่อเซวียนเข้าที่หน้าอก “อย่าไร้สาระ นี่ล้อฉันเล่นใช่ไหมเนี่ย ฉันบอกนายให้นะซ่งจื่อเซวียน ที่นี่คือบริษัท เล่นลิ้นให้มันน้อยๆ หน่อย!”
………………………………………