เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 225 ต้องปลีกตัว
ตอนที่ 225 ต้องปลีกตัว
เห็นโจวเผิง พวกซ่งจื่อเซวียนก็แปลกใจกันหมด อย่างไรก็นับว่าเป็นเพื่อนร่วมงานเก่า แต่เพื่อนร่วมงานเก่าท่านนี้…ตอนแรกก็เข้ากับพวกเขาไม่ได้เท่าไร
“เหอะๆ เถ้าแก่ซ่ง ไม่เจอกันนานเลยเนอะ” โจวเผิงเดินยิ้มแย้มเข้ามา
ซ่งจื่อเซวียนอดสบตากับซางเทียนซั่วไม่ได้ คนหลังพูดว่า “ให้ตาย แขกที่คาดไม่ถึง ผู้จัดการโจวมาทำอะไรที่นี่ครับเนี่ย”
โจวเผิงยิ้มฝืด “เหอะๆ จะว่าไปก็น่าละอาย หลังจากต้าสือไต้ปิดกิจการ ฉันก็หางานอยู่ตลอด แต่ไม่มีที่เหมาะๆ เลย เพราะงั้น…”
ซางเทียนซั่วแค่นหัวเราะ “เพราะงั้น? เพราะงั้นก็เลยมาหาพวกเราเหรอ พี่ชาย คิดว่าอาจารย์ฉันจะเอานายเหรอ”
“เรื่องนี้…เถ้าแก่ซ่ง ตอนนี้เศรษฐกิจก็ค่อนข้างฝืดเคือง เมื่อก่อนตอนที่อยู่ต้าสือไต้ ฉันเป็นคนผิดเอง เถ้าแก่คิดว่า…ให้ข้าวสักมื้อได้ไหม”
พูดจบ โจวเผิงก็ก้มหน้าน้อยๆ
อย่างไรชายรุ่นใหญ่คนหนึ่งพูดประโยคนี้ออกมาได้ไม่ง่ายเลย แต่ตอนนี้กำลังเอาศักดิ์ศรีมาแลกกับความอยู่รอด
ซ่งจื่อเซวียนคิดในใจว่าฆ่าคนคนนี้ไปก็ไม่ต่างอะไรกับเอาหัวโหม่งพื้น ตอนนี้โจวเผิงถ่อมตนขนาดนี้ ที่จริงจะปฏิเสธก็ไม่ดีเท่าไร
อีกทั้งตอนที่อยู่ที่ต้าสือไต้ถึงความสัมพันธ์จะค่อนข้างมึนตึง แต่อย่างไรก็ไม่ได้บาดหมาง ซ่งจื่อเซวียนคิดว่าในสถานการณ์ที่หลิงเข่อเอ๋อร์ออกจากร้านอาหารไป ก็เท่ากับขาดคนในโถงใหญ่คนหนึ่งพอดี จึงพยักหน้า
“งั้นก็ได้ เอาอย่างนี้แล้วกันนะโจวเผิง คุณอาวุโสแล้ว ผมก็ไม่ต้องประเมินอะไรคุณ รับหน้าที่ตรงโถงใหญ่ไปโอเคไหม”
โจวเผิงได้ยินก็รีบพยักหน้า “ได้สิ ได้เงินก็พอแล้ว ตามที่เถ้าแก่ซ่งว่าเลย”
“อาจารย์ตกลงแล้วเหรอเนี่ย อาจารย์ลืมไปแล้วเหรอว่าเมื่อก่อนไอ้เวรนี่ทำอะไรกับอาจารย์ตอนอยู่ที่ต้าสือไต้ไว้บ้างน่ะ” ซางเทียนซั่วอดพูดไม่ได้
ซ่งจื่อเซวียนถอนหายใจ “ชีวิตมันไม่ง่ายนี่นา เข่อเอ๋อร์ก็ไม่อยู่พอดี”
“เรารับสมัครหมามาก็ยังดีกว่าเขา” ซางเทียนซั่วพูด
ได้ยินดังนั้น โจวเผิงก็หน้าแดง แต่ไม่ได้พูดอะไร เพราะตอนที่มนุษย์กำลังดิ้นรนหาเลี้ยงชีพ แค่นี้ไม่นับว่าเป็นอะไรเลย
ซ่งจื่อเซวียนได้ยินก็ยิ้มน้อยๆ “เอาล่ะ ผ่านไปแล้วน่า เราไปกันเถอะ”
พูดจบ ซ่งจื่อเซวียนก็พาซางเทียนซั่วกับฟางรุ่ยเดินออกไปจากร้าน
“เถ้าแก่ นี่เถ้าแก่…” โจวเผิงเห็นสถานการณ์ก็ถามขึ้นมา
ซ่งจื่อเซวียนได้ยินก็หันหลังกลับไปมองเขา “เหอะๆ เหมือนเมื่อก่อนเลยครับ เลิกงานก็กลับบ้าน”
พูดจบ พวกเขาก็เดินออกไป
เห็นด้านหลังของพวกเขา โจวเผิงขมวดคิ้วเล็กน้อย เลิกงานกลับบ้านเหรอ
ถ้าเป็นเมื่อก่อนเขาย่อมเชื่อ เพราะคนอย่างซ่งจื่อเซวียนทำงานเสร็จก็สามารถเลิกงานได้เลย
แต่ตอนนี้ไม่ค่อยเหมือนตอนนั้นแล้ว คุณเป็นเถ้าแก่ก็สะบัดตูดหนีไปอย่างนี้ได้เหรอ
แต่คิดดูอีกครั้ง รายได้หลักของร้านอาหารร่ำรวยขึ้นอยู่กับข้าวผัดจักรพรรดิ ขายข้าวผัดจักรพรรดิหมดทุกวัน ที่จริงก็ถือว่าได้รับเงินเรียบร้อยแล้ว
เวลาที่เหลืออยู่นี้ร้านอาหารก็ขายได้เรื่อยๆ มากสุดนับว่าเพิ่มรายรับได้นิดหน่อยเท่านั้น
คิดถึงตรงนี้ เขาก็เดินไปที่เคาน์เตอร์บาร์
ปกติทุกวันหลังจากซ่งจื่อเซวียนจากไป ก็เป็นหลิงเข่อเอ๋อร์เฝ้าเคาน์เตอร์บาร์ อตนนี้หลิงเข่อเอ๋อร์ไม่อยู่ จึงเป็นงานของหยางกัง
“อะแฮ่ม พี่ๆ ฉันเป็นผู้จัดการโถงใหญ่คนใหม่ ชื่อโจวเผิง”
ได้ยินดังนั้น หยางกังมองเขาแวบหนึ่ง “อ้อ”
ร้านอาหารร่ำรวยเปิดทำการมาระยะหนึ่งแล้ว ที่จริงในร้านก็ไม่มีผู้จัดกงผู้จัดการอะไร
ต่อให้หลิงเข่อเอ๋อร์เป็นผู้จัดการ แต่ก็ไม่เคยพูดออกมาจากปากว่าเป็นมาก่อน เห็นได้ชัดว่าพอได้ยินอีกฝ่ายพูดแบบนี้ หยางกังก็รู้สึกไม่ค่อยชอบใจเขาเท่าไร
“เหอะๆ หลังจากนี้ทุกคนก็ทำงานด้วยกัน หวังว่าจะช่วยดูแลฉันมากๆ หน่อยนะ”
ได้ยินประโยคนี้ของโจวเผิง หยางกังถึงรู้สึกสบายใจขึ้นหน่อย เขาพยักหน้า “ปกติผู้จัดการโถงใหญ่จะดูแลเคาน์เตอร์บาร์ แต่นายท่านรองยังไม่ได้มอบหมายงาน รอเขากลับมาจัดการแล้วกัน คุณค่อยเข้ามา”
ได้ยินดังนั้น โจวเผิงรู้สึกโกรธอยู่บ้างจริงๆ ฉันก็เป็นผู้จัดการโถงใหญ่ นายเป็นแค่พนักงานคนหนึ่ง มาพูดกับฉันแบบนี้ได้ยังไง
แต่เขาก็ไม่ได้แสดงออกไป เขารู้ว่านายท่านรองที่ออกมาจากปากหยางกังหมายถึงซ่งจื่อเซวียน จึงได้แต่พูดไปว่า “ได้ เอาตามที่นายท่านรองจัดการเลย”
………………………………..
บนถนน ซางเทียนซั่วขับรถไปพลางพูดแขวะไปพลาง เห็นได้ชัดว่าความประทับใจในตัวโจวเผิงของเขาแย่กว่าพวกซ่งจื่อเซวียนมาก
“อาจารย์ ผมไม่เห็นเข้าใจเลย ทำไมไอ้หมอนี่ถึงหน้าด้านขนาดนี้ ตอนนี้กล้ามาทำงานที่ร้านเราแล้วเหรอ”
ซ่งจื่อเซวียนที่นั่งอยู่ด้านหลังยิ้ม “เพื่อมีชีวิตอยู่ต่อนั่นแหละ เทียนซั่ว นายเกลียดโจวเผิงขนาดนั้นเลยเหรอ”
“เกลียดเหรอ นี่ยังเบาๆ นะ อาจารย์ ผมอดเหยียบเขาให้ตายไม่ไหวจริงๆ อาจารย์ลืมคุณธรรมอันสูงส่งของเขาเมื่อก่อนไปแล้วเหรอ แม่งเอ๊ย คนอะไร!”
ซางเทียนซั่วพูดถ่มถุย
“แต่ว่า…นายท่านรอง ถึงคำพูดของเทียนซั่วจะเกินไปบ้าง แต่ระวังหน่อยก็ดีนะครับ!” ฟางรุ่ยพูด
ซ่งจื่อเซวียนมองฟางรุ่ย “นายก็คิดอย่างนี้เหรอ”
“ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกครับ แต่ตอนอยู่ที่ต้าสือไต้เมื่อก่อนผมก็เคยเจอเขา เป็นคนที่ค่อนข้างอวดดีเลย ก้มหน้าลดทิฐิมาที่ร้านอาหารร่ำรวยได้ จะมากจะน้อยก็ค่อนข้างแปลกอยู่”
ได้ยินดังนั้น ซ่งจื่อเซวียนก็ครุ่นคิด “ฉันจะระวัง น่าเสียดายที่เข่อเอ๋อร์ไม่อยู่ ไม่อย่างนั้นฉันคงไม่ต้องห่วงอะไร”
“ฮ่าๆ อาจารย์พูดถูก ถ้าเข่อเอ๋อร์อยู่ ไอ้เวรโจวเผิงนั้นคงทนไม่ไหวหรอก”
มาถึงบริษัท ซ่งจื่อเซวียนก็ดูบัญชีของทุกตลาดกับเจิ้งอวี่ก่อน เนื่องจากตอนนี้ฉินจ้งกับเฮ่อเหว่ยออกจากบริษัทไปแล้ว ครึ่งหนึ่งของตลาดเฉิงเป่ยในส่วนของซ่งอวิ๋นหล่างก็มีเจิ้งอวี่ดูแล ดังนั้นบัญชีจึงโปร่งใสกว่าเมื่อก่อนไม่น้อย
“คุณซ่ง ปัจจุบันบัญชีพวกนี้น่าจะเป็นข้อมูลจริงๆ แล้วนะครับ”
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้า “ดูแลเองทั้งหมดก็ต้องจริงแท้แน่นอนอยู่แล้วล่ะ รบกวนอาเจิ้งมากเลยนะครับเนี่ย”
“เหอะๆ ไม่เป็นไรครับ ขอแค่ตาแก่อย่างผมคนนี้มีประโยชน์ คุณซ่งก็ใช้ผมได้เลยครับ เป็นคุณต่างหากที่ลำบาก ทั้งร้านอาหารทั้งบริษัท”
คำพูดนี้โดนใจซ่งจื่อเซวียน ช่วงนี้เขาก็กำลังพยายามเพื่อเรื่องนี้อยู่
ปล่อยกำลังภายในออกมาด้านนอกไม่ได้ ตนก็ปลีกตัวออกมาจากตำแหน่งเชฟไม่ได้ ถึงอย่างไรเขาก็เดินมาแล้ว หากไม่มีข้าวผัด รายได้ของร้านอาหารร่ำรวยคงตกต่ำลงแน่
ใช่ ต้องปลีกตัว!
แต่ก็เป็นเพราะประโยคนี้ของเจิ้งอวี่ ทำให้ซ่งจื่อเซวียนมีไอเดียใหม่อีกแล้ว
“อาเจิ้งครับ ที่จริง…ผมมีไอเดียใหม่ คุณคิดว่ายังไงครับถ้าผมให้พี่สาวผมมาบริหารบริษัท”
“หืม” เจิ้งอวี่กระอักกระอ่วน “อีหนานเธอ…ที่จริงเรื่องสถานะไม่มีปัญหาเลยครับ แต่เธอจะทำได้จริงๆ เหรอ”
ซ่งจื่อเซวียนครุ่นคิด “ถึงพี่สาวผมจะไม่ได้เรียนสูงอะไร แต่ทำอะไรก็ค่อนข้างมีเหตุมีผลนะครับ อีกทั้งจบไปทำงานตั้งนานแล้ว ผมคิดว่าลองดูได้นะ”
ที่จริงสำหรับซ่งจื่อเซวียน ซ่งอีหนานยังเชื่อถือได้ โดยเฉพาะเรื่องที่จะทำอะไรก็ค่อนข้างมีหลักการ
ต่อให้เป็นเรื่องเซินซวี่คนนั้น ก็เป็นเพราะเธอไม่รู้ว่าถูกอีกฝ่ายหลอก สำหรับเธอแล้วนั่นคือความรักปกติ
หลังจากรู้ความจริง เธอก็รีบต่อต้านเซินซวี่ทันทีและยืนอยู่ข้างซ่งจื่อเซวียน
อย่างน้อยจุดนี้ก็บ่งบอกได้ว่าเธอยังมีหลักการอยู่
ไอเดียกะทันหันแบบนี้กลับทำให้ซ่งจื่อเซวียนรู้สึกตื่นเต้น ถ้ามีซ่งอีหนานมาช่วยเรื่องทางบริษัท เขาก็หายใจหายคอได้
ขอแค่หลังจากนี้ไม่เจอปัญหาที่ยุ่งยากเกินไป พี่สาวก็สามารถจัดการได้ อีกทั้งนี่เป็นสิ่งที่พ่อเหลือทิ้งไว้ พี่สาวเป็นคนรับผิดชอบก็สมเหตุสมผลมาก
คิดถึงตรงนี้ ซ่งจื่อเซวียนก็ตัดสินใจว่าคืนนี้จะไปคุยกับซ่งอีหนาน
ขณะที่ทั้งสองพูดคุยกัน โทรศัพท์ของซ่งจื่อเซวียนก็ดังขึ้น
“ท่านเป้ยเล่อ มีเรื่องอะไรครับ”
“จื่อเซวียน ท่านผู้เฒ่าหลิงคงต้องกลับตงไห่แล้ว” ท่านเป้ยเล่อพูด
“อะไรนะ กลับตอนนี้เลยเหรอครับ แต่ว่าเข่อเอ๋อร์…ยังไม่มีข่าวเลยนะครับ” ซ่งจื่อเซวียนพูด
ท่านเป้ยเล่อพูดว่า “ก็ไม่มีทางเลือกนี่ มีธุระทางตงไห่เยอะมากที่ท่านผู้เฒ่าหลิงต้องไปสะสางด้วยตัวเอง จื่อเซวียน เรื่องเข่อเอ๋อร์ ท่านผู้เฒ่าหลิงขอไหว้วานนายแล้ว ถ้ามีข่าวคราว ให้รีบติดต่อท่านผู้เฒ่าหลิงทันทีเลยนะ”
“เฮ้อ อย่างนั้นก็ได้ครับ จะว่าไปผมช่วยอะไรไม่ได้เลย เธออยู่ที่ร้านผมแท้ๆ แต่ จู่ๆ ก็หนีไป”
“เหอะๆ ท่านผู้เฒ่าหลิงไม่ได้โทษนายเลย ถึงยังไงนี่ก็ไม่ใช่ความผิดของนาย แถมเขายังบอกว่าเสียดายที่ไม่ได้นายเป็นลูกศิษย์” ท่านเป้ยเล่อยิ้มพูด
ซ่งจื่อเซวียนก็ยิ้ม “ถ้าพูดแบบนี้ผมก็ยิ่งรู้สึกผิดเลย”
“เอาน่า เราไม่ต้องพูดเรื่องไร้สาระแล้ว เดี๋ยวฉันก็ต้องกลับปักกิ่งก่อนเหมือนกัน รอรายการอาหารของพวกนายกลับมาอัดอีกรอบฉันค่อยมาใหม่”
“ท่านเป้ยเล่อก็จะกลับเหรอครับ ผมเปลี่ยนอุปกรณ์เรียบร้อยแล้ว คาดว่าเร็วๆ นี้ก็จะอัดรายการใหม่แล้วครับ” ซ่งจื่อเซวียนพูด
“ฮ่าๆ ฉันรู้ว่านายทำอะไรน่าเชื่อถือ อย่างน้อยที่สุดก็น่าเชื่อถือมากกว่าอารองของนาย ไม่เป็นไร เดี๋ยวฉันขับรถกลับมาก็ได้แล้ว ปักกิ่งกับตู้เหมินใกล้ขนาดนี้ มีเรื่องอะไรนายก็โทรมาได้ตลอดนะ”
“อย่างนั้นก็ได้ครับ เหอะๆ ผมมีเรื่องต้องสะสางพอดี ไม่อย่างนั้นก็ว่าจะไปเที่ยวที่ปักกิ่งกับท่านเป้ยเล่อสักสองสามวัน”
“โอกาสน่ะมีเยอะแยะ ตอนนี้เราเป็นเพื่อนกันแล้ว ยังกลัวไม่มีโอกาสอีกเหรอ”
ได้ยินประโยคนี้ ซ่งจื่อเซวียนก็ยิ้มอย่างรู้ใจ รู้สึกอบอุ่นมาก
ถึงท่านเป้ยเล่อจะดูเย่อหยิ่งมาก แต่พอพูดคุยแล้วความจริงเป็นผู้ชายอบอุ่น อย่างน้อยกับเพื่อนกับฝูงก็ไม่มีที่ติเลย
………………….
คืนนั้น ซ่งจื่อเซวียนตั้งใจกลับบ้านเร็วเป็นพิเศษ ทำอาหารมื้อค่ำกับหานหรงและซ่งอีหนาน
“เจ้ารอง วันนี้เกิดอะไรขึ้น กลับมาซะไวเชียว งานบริษัทไม่ทำแล้วมั้ง” ซ่งอีหนานพูด
ไม่แปลกที่ซ่งอีหนานถามจะแบบนี้ ช่วงนี้ซ่งจื่อเซวียนบริหารจัดการเองทั้งหมด ตั้งแต่ทำความคุ้นเคยกับงานบริษัท ข้อมูล ไปดูตลาดสองสามแห่ง บริษัทภาพยนตร์และโทรทัศน์ รวมถึงคลับเฮาส์ กลับมาดึกดื่นแทบทุกวัน
พวกหานหรงก็ชินกันแล้ว หานหรงยังหัวโบราณอยู่ ผู้ชายทำงานนอกบ้าน กลับมาดึกบ่งบอกว่าเขายุ่ง ผู้หญิงก็ทำงานบ้านอยู่ด้านหลังให้ดีก็พอแล้ว
“นั่นสิเจ้ารอง วันนี้เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า”
ซ่งจื่อเซวียนยิ้ม “เหอะๆ จะยุ่งทุกวันไม่ได้สิ ต้องทิ้งๆ ไปบ้าง”
ซ่งอีหนานชำเลืองมองเขา “ยอดเยี่ยม รู้จักขี้เกียจเสียด้วย”
“ปัดโธ่ พี่สาวคนดีของผม ผมจะก้าวหน้าเท่าพี่ได้ที่ไหนล่ะ วันนี้ผมยังพูดที่บริษัทอยู่เลยว่าพี่สาวผม…ไม่ใช่คนธรรมดาแบบนั้น ความสามารถในการทำงานยอดเยี่ยมสุดๆ!”
ซ่งอีหนานขำพรืดออกมา “น้อยๆ หน่อย นายไม่ว่าร้ายฉันก็ดีแล้ว”
“ได้ที่ไหน แต่ว่านะพี่ อยู่แต่บ้านไม่เบื่อเหรอ” ซ่งจื่อเซวียนเอ่ยถาม
“จะไม่เบื่อได้เหรอ แต่ตอนนี้งานนอกบ้านหายากจะตาย” ซ่งอีหนานคีบอาหารใส่ปาก
หานหรงพยักหน้า “ใช่ สองวันก่อนเราสองแม่ลูกยังคุยกันอยู่เลยว่าฉันอยากจะให้อีหนานออกไปทำงาน แต่เศรษฐกิจฝืดเคือง งานก็หาทำยาก
เจ้ารอง แกต้องดูแลบริษัทดีๆ นะ อย่าทำให้พนักงานตกงานล่ะ” หานหรงไม่ลืมกำชับประโยคหนึ่ง
“ลูกรู้แล้วน่าแม่ ที่จริงก็ไม่จำเป็นต้องหางานทำหรอก บ้านเรามีบริษัทเป็นของตัวเอง พี่มาทำงานเลยดีไหมล่ะ”
ได้ยินดังนั้น ซ่งอีหนานก็อึ้งไป หานหรงก็หยุดชะงักเช่นกัน สองสาวมองหน้ากันอย่างงุนงง
“เจ้ารอง นายหมายถึง…ฉันเหรอ ฉันไปทำได้เหรอ”
“นั่นสิเจ้ารอง พี่สาวแกใช้ได้ไหม คงจะไม่เพิ่มเรื่องวุ่นวายให้แกหรอกนะ”
ซ่งจื่อเซวียนยิ้ม “ทำไมจะไม่ได้ล่ะ ถ้าพี่สาวของลูกไม่ใช้ไม่ได้ก็ไม่มีใครใช้ได้แล้ว พี่ เอาอย่างนี้ พรุ่งนี้พี่ไปดูบริษัทกับผมดีกว่า พี่ยังไม่เคยไปเลยนี่!”
ได้ยินดังนั้น ใบหน้าของซ่งอีหนานก็เผยความตื่นเต้นออกมาเล็กน้อย
…………………………………………..