เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 224 เจ้ารอยแผลเป็นหลี่แห่งจงไห่
- Home
- All Mangas
- เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง
- ตอนที่ 224 เจ้ารอยแผลเป็นหลี่แห่งจงไห่
ตอนที่ 224 เจ้ารอยแผลเป็นหลี่แห่งจงไห่
ความจริงตอนที่ซ่งจื่อเซวียนอยู่ที่ต้าสือไต้ ก็ได้เงินหลายแสนแล้ว บวกกับเงินที่ได้รับมาจากร้านอาหารร่ำรวย รวมๆ กันแล้วก็เจ็ดแสนแปดแสน
เงินจำนวนนี้อาจไม่พอซื้อบ้านสักหลังในตู้เหมิน แต่ต้องไม่มีปัญหาสำหรับเงินดาวน์แน่
อีกทั้งหานหรงอยู่บ้านชั้นเดียวจนชินแล้ว ซ่งจื่อเซวียนใคร่ครวญ ถ้ามีโอกาส ที่จริงก็ลองดูบ้านชั้นเดียวสักหลังได้
หลายปีมานี้ การรื้อถอนระดับชาติก็ทำให้บ้านชั้นเดียวกลายเป็นสมบัติล้ำค่า บ้านชั้นเดียวบางแห่งขนาดไม่กี่ตารางเมตร แต่ราคาก็สูงเสียดฟ้าแล้ว
ตอนที่ซ่งจื่อเซวียนซื้อจะต้องหลีกเลี่ยงบ้านพวกนี้ อย่างไรเขาก็ซื้อมาเพื่ออยู่ ไม่ได้รอการรื้อถอนแล้วลงทุนทีหลัง
เพิ่มเรื่องพวกนี้ไว้ในกำหนดการ ซ่งจื่อเซวียนก็หลับตาทำสมาธิบนเตียงต่อ
จู่ๆ เขาก็ค้นพบว่า การทำสมาธิแบบนี้แปลกประหลากมาก ถึงจะเป็นการหลับตา แต่ไม่รู้สึกง่วงแม้แต่น้อย
ปกติพอซ่งจื่อเซวียนล้มตัวลงนอน ไม่นานก็หลับไป แต่วันนี้แตกต่าง เขารู้สึกว่าสมาธิดีขึ้นมาก ไม่ใช่แค่นั้น ยังมีความรู้สึกสงบอย่างหาได้ยากบางอย่างอยู่ด้วย
จนฟ้าสาง นกเริ่มร้องขับขานยามเช้า ซ่งจื่อเซวียนรับรู้อย่างชัดแจ้ง เห็นได้ชัดว่า เขาไม่ได้นอนหลับสนิท
จากนั้น หานหรงก็ลุกขึ้นมาปลุกให้ตื่นนอน ซ่งจื่อเซวียนถึงเลิกทำสมาธิ
ถึงเมื่อครู่จะได้ยินเสียงนกร้อง แต่ตอนนี้ลืมตาแล้วเห็นฟ้าสว่าง ซ่งจื่อเซวียนยังค่อนข้างแปลกใจ
ฉันไม่ได้หลับเลยทั้งคืนเหรอเนี่ย
ที่แปลกใจไม่ใช่แค่นี้ คิดไม่ถึงว่าเขายังไม่รู้สึกง่วงนอน กลับรู้สึกปลอดโปร่งไปทั้งร่าง
หนึ่งคืนนี้ ถึงซ่งจื่อเซวียนจะไม่ได้ตระหนักว่าจะปล่อยกำลังภายในออกมาด้านนอกอย่างไร แต่กลับรู้สึกถึงการมีอยู่ของพลังด้านในร่างกายได้อย่างแท้จริง
เขาเชื่อว่า ทำสมาธิอีกหลายๆ ครั้ง อาจจะสามารถควบคุมได้
จากนั้น เขาก็กินข้าวเช้าง่ายๆ ห่อไปให้ฟางรุ่ยและซางเทียนซั่วด้วยชุดหนึ่ง แล้วก็ออกจากบ้าน
ช่วงนี้ หานหรงก็ชินแล้ว ตอนที่ทำอาหารเช้าทุกวันก็จะทำให้มากหน่อย เจ้าสามคนนี้เป็นเด็กหนุ่มตัวโต โดยเฉพาะฟางรุ่ยที่เคยเรียนศิลปะการต่อสู้มา ปริมาณอาหารก็มากตาม
แต่เรื่องนี้กลับไม่ได้ส่งผลกระทบกับการเงินในบ้านเลย เพราะตอนนี้ซ่งจื่อเซวียนก็ค้ำจุนค่าใช้จ่ายในบ้าน ค่าใช่จ่ายทั่วไปยังสามารถจับจ่ายตามใจได้
ขับรถมาถึงร้านอาหารร่ำรวย เห็นคนที่ต่อคิวอยู่หน้าประตู พวกซ่งจื่อเซวียนก็คุ้นเคยมานานแล้ว
แต่ตอนที่ซ่งจื่อเซวียนเห็นคนที่ต่อแถวอยู่คนแรก ก็อดอึ้งไม่ได้ เป็นผู้ชายผมยาวคนที่มาที่ร้านหลายวันมานี้
“อาจารย์ดูสิ คนคนนั้นอีกแล้ว ถ้าเขาไม่ได้กินข้าวผัดก็จะไม่ยอมแพ้ใช่ไหม” ซางเทียนซั่วพูด
ซ่งจื่อเซวียนขมวดคิ้วเล็กน้อย “เกรงว่า…จะไม่ได้ง่ายขนาดนั้นน่ะสิ ฉันรู้สึกว่าคนคนนี้มีจุดประสงค์อื่น”
“จุดประสงค์อื่นเหรอ อาจารย์ เขาคงไม่คิดจะขโมยวิชาใช่ไหม แม่งเอ๊ย ถ้าจะเข้าสำนัก เขาก็ต้องเป็นศิษย์น้องนะ!”
ซ่งจื่อเซวียนกลอกตามองเขา “หยุดพูดเพ้อเจ้อได้แล้ว ยังไงก็ผิดปกติ ทุกคนระวังตัวหน่อยก็ดี”
“นายท่านรอง เป็นไปได้ไหมครับว่านี่จะเป็นคนที่คู่แข่งส่งมา” ฟางรุ่ยถาม
“ฟางรุ่ย แกบ้าไปแล้วหรือไง อ่านนิยายมากไปมั้ง อาจารย์ไม่ได้มีศัตรู จะเอาคู่แข่งอะไรมาจากไหน”
ฟางรุ่ยเย้ยหยัน “จะไม่มีได้ยังไง อย่างหวงฟา อย่างเคอซานไง แล้วก็…จริงสิ เฮ่อเหว่ยนั่น”
“เฮ่อเหว่ยเรอะ เขายังกล้าต่อต้านอีกเหรอ แม่งน่าหงุดหงิดจริงๆ!” ซางเทียนซั่วพูดด้วยดวงตาแข็งกร้าว
“รุ่ยจื่อก็แค่ยกตัวอย่างเฉยๆ ฉันก็คิดว่าเป็นไปได้ พวกนายลงจากรถไปก่อนเถอะ มีเรื่องอะไรก็พลิกแพลงไปตามสถานการณ์พอ!”
พูดจบ ซ่งจื่อเซวียนก็เปิดประตูลงจากรถ ตรงเข้าไปในร้านอาหารร่ำรวย
และเนื่องจากการแข่งขันกับท่านเป้ยเล่อเมื่อวันก่อน ซ่งจื่อเซวียนจึงโด่งดังในโลกอินเทอร์เน็ตเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเป็นแค่เชฟหลังม่าน แต่ตอนนี้ก็นับว่ามีชื่อเสียงในโลกออนไลน์อยู่บ้างแล้ว
ตอนที่เขาเดินเข้าร้าน คนไม่น้อยทักทายเขา ส่วนซ่งจื่อเซวียนหลังจากที่กระอักกระอ่วนอยู่หลายวินาที ก็ยังพยักหน้าหน้ายิ้มบางๆ ทักทายกับทุกคน
แต่ตอนที่เขาเดินมาตรงหน้าชายผมยาวคนนั้น ระหว่างที่ทั้งสองสบตากัน ซ่งจื่อเซวียนกลับรู้สึกแปลกๆ บางอย่าง
ใบหน้าของชายคนนั้นไร้อารมณ์ ไม่ได้โหดเหี้ยม แต่เย็นชามาก
ผมยาวปรกลงมา ปิดบังรอยแผลเป็นบนใบหน้าเขา เผยดวงตาออกมาอีกข้างหนึ่ง สายตาคมกริบ
สุดท้าย ซ่งจื่อเซซียนก็ไม่ได้พูดอะไร เดินตรงเข้าไป
กลับเป็นซางเทียนซั่วที่เผยความโหดเหี้ยมออกมาหลายส่วนตอนสบตากับผู้ชายคนนั้น แต่ชายคนนั้นไม่ได้ตอบโต้ เพียงแค่มองเขาต่อไปเท่านั้น
เดินเข้าไปในร้าน ซางเทียนซั่วพูดว่า “ให้ตาย หมอนั่นเป็นบ้าหรือไง อาจารย์เห็นหรือยัง สายตาของเขาเหมือนเป็นโรคจิตเลย”
ซ่งจื่อเซวียนยิ้ม “อาจจะนิสัยแบบนั้นแหละมั้ง อย่าสนใจเขาเลย ทำอะไรที่สมควรทำไปเถอะ”
“แม่งเอ๊ย ใส่ปาโต้วเข้าไปในอาหารของเขาสักหน่อย เอาให้ตายไปเลย พอท้องเสียแล้วฉันไม่เชื่อหรอกนะว่าสายตาเขาจะยังแข็งทื่อแบบนั้นอีก!”
ซ่งจื่อเซวียนยิ้มพูด “เอาน่า ทำงานเถอะ จริงสิเทียนซั่ว มองลี่ลี่เอาไว้หน่อย อ้อ ไม่สิ หลิงเข่อเอ๋อร์ต่างหาก”
“หา? มีอะไรให้มองอีกเล่า เธอไม่มาอยู่แล้ว เฮ้อ ทำไมรู้สึกเหมือนอกหักเลย…”
“พอเถอะน่า คนเขาก็ไม่เกี่ยวอะไรกับนายมาตั้งแต่แรกนี่ เทียนซั่ว รุ่ยจื่อ พวกนายสองคนมองไว้หน่อย ทางท่านผู้เฒ่าหลิงร้อนใจอยู่นะ ถ้าเด็กคนนั้นปรากฏตัว ต่อให้จะโผล่หัวมาที่ประตู ก็ต้องจับเธอไว้ให้ได้”
“จับเหรอ เกินไปหรือเปล่า…”
“ไม่เกินไปหรอก ปู่ของเธอร้อนใจจะเป็นบ้าแล้ว เด็กคนนี้ดื้อดึงเกินไป ต่อให้มัดก็ต้องมัดเธอไปส่งที่เบื้องหน้าท่านผู้เฒ่าหลิงให้ได้!”
ถึงจะมีดวงได้เจอกับหลิงเจิ้นแค่ครั้งเดียว แต่ซ่งจื่อเซวียนยังค่อนข้างเคารพ อีกทั้งยังปฏิเสธเจตนาดีที่จะรับเป็นลูกศิษย์ของอีกฝ่าย อย่างไรก็ต้องทำอะไรสักอย่าง
และเรื่องที่น่าไว้ใจที่สุดที่ทำได้ตอนนี้ ก็คือหาหลิงเข่อเอ๋อร์ให้เจอ
คนมาทำงานทยอยเดินเข้ามาในร้านอาหารร่ำรวยเรื่อยๆ ทุกคนล้วนยุ่งอยู่กับงานที่ต้องเริ่มตระเตรียมในเช้าวันใหม่ แต่ว่า…หลิงเข่อเอ๋อร์ยังไม่มาปรากฏตัวตามเดิม
เรื่องนี้กลับทำให้ซ่งจื่อเซวียนร้อนรนอยู่บ้าง เขากลัวจริงๆ ว่าหลังจากนี้เด็กคนนี้จะไม่มาแล้ว เบาะแสที่ท่านผู้เฒ่าหลิงตามหาหลานสาวก็จะถูกตัดขาดไป
ทว่าสิ่งที่เขากลัวยิ่งกว่าก็คือเกิดเรื่องกับหลิงเข่อเอ๋อร์ เพราะอีกฝ่ายก็เป็นเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง แถมยังสาวยังสวย ถ้าเกิดเรื่องอะไรขึ้นมาจริงๆ เกรงว่าพวกเขาคงรู้สึกไม่ดีแน่
วันนี้ ซ่งจื่อเซวียนไม่ได้เหมือนกับวันอื่นๆ ที่รอลูกค้าเข้ามาสั่งอาหารก่อน
ข้าวผัดจักรพรรดิยี่สิบที่ถูกจองไว้อย่างมั่นคงตามปกติ ดังนั้นเขาจึงเริ่มทำก่อน
ก็เหมือนกับที่ถังหย่าฉีกับฟางจิ่งจือพูดไว้ เขาคิดว่าจะเริ่มจากการทำในปริมาณมากก่อน แบบนี้ต่อให้ลดคุณภาพลงหน่อย แต่ก็เสิร์ฟได้ไว
อีกทั้งจุดที่ลดคุณภาพลง น่าจะน้อยถึงน้อยมาก หากไม่ใช่ร้านอาหารเกรดสูง เดิมทีก็ยากที่จะรู้ได้อยู่แล้ว
ดังนั้น เขาจึงลองทำสามที่ในหนึ่งกระทะก่อน เนื่องจากข้าวสวยและไข่ไก่เพิ่มขึ้น ตอนที่ผัดจึงใช้แรงเพิ่มมากขึ้น แต่มีกำลังภายในช่วยเสริม ปริมาณนี้ก็ไม่นับเป็นอะไรเลย
ข้าวสวยสามจานพร้อมแล้ว ซ่งจื่อเซวียนก็ทำกระทะถัดไปต่อ เนื่องจากความจุของกระทะ ข้าวสวยสามจานก็แทบจะล้นแล้ว ถ้าสี่ที่เกรงว่าคงจะหกเลอะเทอะออกมา
ซ่งจื่อเซวียนตัดสินใจ ลองซื้อกระทะใบใหญ่มาอีกใบ ถ้าสามารถทำได้ปริมาณมากจริงๆ ต่อให้เสิร์ฟทีละสิบที่ ก็ทำให้ตนตระหนักถึงย่างก้าวก่อนหน้าที่จะปล่อยกำลังภายในออกมาด้านนอกได้
เนื่องจากชายคนนั้นมาต่อแถวเป็นคนแรก จึงย่อมได้ลิ้มรสข้าวผัดจักรพรรดิเป็นคนแรก
ตอนที่เห็นหยางกังยกข้าวมาเสิร์ฟ ซางเทียนซั่วก็จดจ้องผู้ชายคนนั้นอย่างเอาเป็นเอาตาย เขาตัดสินใจเงียบๆ ว่า ถ้าหมอนี้กล้าก่อเรื่อง จะไม่อ่อนข้อให้แน่นอน ต้องได้สั่งสอนสักรอบ
แต่ตอนนั้นเอง ซ่งจื่อเซวียนก็ยืนอยู่ที่หน้าประตูครัวด้านหลัง มองปฏิกิริยาของชายคนนั้นที่กินข้าวผัดเช่นกัน
สิ่งที่เขากลัวที่สุดก็คือคนที่แสร้งทำเป็นว่ามีปัญหากับข้าวผัดแล้วจะเอาเงิน เหมือนกับคนของหวงฟาคราวก่อน ตั้งใจมาหาเรื่องที่ร้าน แบบนั้นจะส่งผลกับธุรกิจแน่นอน
แต่เห็นชายคนนั้นกินข้าวผัดเข้าไปคำหนึ่ง ก็ไม่เกิดเรื่องอย่างที่พวกซ่งจื่อเซวียนและซางเทียนซั่วกังวล
เห็นแค่ชายคนนั้นชิมไปหนึ่งคำ ขมวดคิ้วเล็กน้อย แล้วกินเข้าไปอีกคำทันที เคี้ยวพลางส่ายหน้าน้อยๆ
“เหอะๆ ข้าวผัดจักรพรรดิก็แค่นี้ เดิมคิดว่ามาเปิดหูเปิดตาอาหารที่มีชื่อเสียงที่สุดของตู้เหมิน ใครจะไปคิดว่าเป็นอาหารธรรมดา”
พูดจบ เขาก็ลุกขึ้นเดินไปที่เคาน์เตอร์บาร์
“น้องชาย ฝากคำพูดไปให้เชฟข้าวผัดจักรพรรดิหน่อยได้ไหม”
ได้ยินดังนั้น ซางเทียนซั่วก็เงยหน้าขึ้นเหลือบมองชายผมยาว “ขอโทษด้วยนะครับ พวกเราไม่ได้มีบริการส่งข้อความ”
ชายผมยาวพูดว่า “นายไปบอกเขาว่า คุณภาพของข้าวผัดจักรพรรดิแบบนี้ ไม่เหมาะจะเป็นอาหารชื่อดังของเมืองเมืองหนึ่งหรอก”
ซ่งเทียนซั่วเย้ยหยัน “ข้าวผัดจักรพรรดิไม่เหมาะสม ถ้างั้นนายเหมาะสมเหรอ นายเป็นใครล่ะ!”
“อ้อ จริงสิ ถ้าเขาถามว่าใครเป็นคนพูด นายก็บอกเขาไปว่าเจ้ารอยแผลเป็นหลี่แห่งจงไห่มาแล้ว อยากจะเจอเขาสักหน่อย!”
ขณะที่ชายคนนั้นพูดสีหน้าท่าทางแทบจะไม่เปลี่ยนเลย พูดจบ เขาก็หันหลังจากไป
เห็นชายคนนั้นจากไป ซางเทียนซั่วถ่มน้ำลาย “อะไรของแม่งวะ…”
แต่ตอนนี้เอง ซ่งจื่อเซวียนก็เดินมาที่หน้าเคาน์เตอร์บาร์
“อาจารย์ เมื่อกี้หมอนั่น…”
“ฉันได้ยินหมดแล้ว คนคนนี้ไม่ได้มาอย่างเป็นมิตรจริงๆ ดูท่าจะมาท้าสู้อีกคนแล้ว”
“ท้าสู้? เขาอะนะ เขาเป็นเชฟเหรอ ผมแม่งยาวขนาดนี้ ทำอาหารจะสะอาดเหรอ ใครจะไปรู้ว่ามีเศษผมเศษรังแคร่วงเข้าไปไหม…” ซางเทียนซั่วพูดดูถูก
ไม่นานช่วงพีคตอนมื้อเที่ยงก็ผ่านพ้นไป คนที่สั่งข้าวผัดจักรพรรดิก็แทบจะกินจนเกลี้ยงจาน มีเพียงข้อยกเว้นเดียวก็คือจานของเจ้ารอยแผลเป็นหลี่แห่งจงไห่คนนั้น
ข้าวผัดจานนั้นแตะไปแค่สองคำ แทบจะเหมือนกับเพิ่งเสิร์ฟ
หยางกังเห็นข้าวผัดจานนั้น “นายท่านรอง เอ่อ…ไม่อย่างนั้นยกให้ผมก็ได้นะครับ”
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้า “ตามสบาย นายกินเถอะ!”
หยางกังดีใจ ทำงานที่ร้านอาหารร่ำรวยตั้งนานนม รู้แค่ว่าข้าวผัดที่นายท่านรองซ่งทำโด่งดังไปทั่วเมืองตู้เหมิน แต่ยังไม่เคยชิมกับปากเลยสักครั้ง
อย่างไรคนก็มาต่อคิวสั่งหน้าร้านทุกวัน ขายแค่ยี่สิบที่ พวกเขาไม่ได้กิน อีกทั้งต่อให้กินก็ต้องควักเงินออกมาแปดร้อยเก้าสิบเก้าหยวน คนทำงานทั่วไปที่ไหนจะกินได้
“ให้ตายเถอะนายท่านรอง เป็นอาหารที่อร่อยที่สุดในโลกไม่เกินจริง ทำไมตานั่นถึงเหลือไว้เยอะขนาดนี้ สมองมีปัญหา ไม่ก็มีเงินมากแล้วผลาญเล่นสินะ” หยางกังพูดไปกินไป
พูดตามตรง กินข้าวผัดก็มักจะสั่งอย่างอื่นด้วย เช่นพวกผักดองหรือเต้าหู้ยี้ แต่ข้าวผัดจานนี้ หยางกังไม่มีกะจิตกะใจกินอย่างอื่นจริงๆ
กลัวว่ารสชาติอื่นจะกลบรสชาติของข้าวผัดจานนี้ไป
นี่ก็เป็นเหตุผลว่าทำไมลูกค้าที่มากินข้าวผัดจักรพรรดิมากมาย ต่อให้รวยมากแค่ไหน ก็จะสั่งแค่ข้าวผัดอย่างเดียว ไม่สั่งอาหารอย่างอื่นเลย
จากนั้น ซ่งจื่อเซวียนก็กำชับหูเจิ้น ให้เขาไปซื้อกระทะใบใหญ่มา
ตอนบ่ายเขายังต้องไปบริษัทชิงอวี่ หลังจากนี้ถ้าสวนสวินเฟิงเปิดทำการแล้วก็ต้องไปที่ร้านด้วย ดังนั้นเขาต้องพยายามแก้ปัญหาเรื่องข้าวผัดโดยเร็ว
ตอนที่เขาคิดจะออกไปจากร้าน จู่ๆ ก็เห็นเงาร่างที่คุ้นเคยเดินเข้ามาในร้านอาหารร่ำรวย
โจวเผิง!
………………………………………….