เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 223 ปล่อยกำลังภายในออกไปด้านนอก
- Home
- All Mangas
- เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง
- ตอนที่ 223 ปล่อยกำลังภายในออกไปด้านนอก
ตอนที่ 223 ปล่อยกำลังภายในออกไปด้านนอก
ถึงซ่งจื่อเซวียนจะไม่ได้พูดจาคลุมเครือ แต่กลับเต็มไปด้วยความเอ็นดู
ส่วนถังหย่าฉีก็อายุสิบแปดสิบเก้าแล้ว มีหัวใจของสาวน้อยอยู่ จะทนกับความเอ็นดูแบบนี้ได้ที่ไหนกัน
ชั่วขณะหนึ่ง ซ่งจื่อเซวียนที่สูงใหญ่กว่าหลายส่วนในสายตาของเธอ ชวนให้รู้สึกน่าไว้วางใจและน่าพึ่งพา
ส่วนซ่งจื่อเซวียนก็ถูกรัศมีองค์หญิงน้อยของถังหย่าฉีทำให้หลงใหล เขาที่ได้เห็นก็นิ่งค้างไม่พูดไม่จา ในใจเหมือนโยนก้อนหินลงน้ำแล้วเกิดคลื่นโหมซัด
“อะแฮ่ม…เธอ…จมูกเลอะน่ะ”
ไม่รู้ว่านานแค่ไหน ซ่งจื่อเซวียนกระแอมไอเสียงเบาแล้วพูดขึ้นมา
ถังหย่าฉีถึงได้มีปฏิกิริยาตอบสนอง “ฮะ อ้อ…”
เธอยกมือขึ้นเช็ดจมูก แต่เช็ดไม่โดนรอยสีขาว ซ่งจื่อเซวียนยิ้ม ยกมือขึ้นเช็ดรอยสีขาวบนจมูกของเธอออกไปแทน
ถังหย่าฉีรู้สึกแค่ว่าแก้มร้อนผ่าว หน้าแดงลามไปถึงคอ เธอหันหน้าหนีแล้วเดินไปทางบันได
“ฉันไปดูข้างล่างหน่อย…”
“อืม”
มองการออกแบบบันไดอีกครั้ง ซ่งจื่อเซวียนก็เดินลงไปด้านล่าง
ตอนนี้ชั้นหนึ่งเกือบจะเสร็จแล้ว พวกคนงานกำลังทำความสะอาดอยู่ ถังหย่าฉีนั่งกดเครื่องคิดเลขคำนวณค่าตกแต่งอยู่ที่โต๊ะ
“เป็นไงบ้างครับคุณหนูใหญ่ ใช้เงินไปเท่าไร” ซ่งจื่อเซวียนนั่งลงที่โต๊ะพลางเอ่ยถาม
“ฮิๆ นายเดาสิ ฉันเป็นคนช่างประหยัดจริงๆ นะ!”
ซ่งจื่อเซวียนครุ่นคิด มองการเปลี่ยนแปลงของด้านบนและด้านล่าง “ประมาณแสนห้าหรือเปล่า”
“ฮ่าๆๆ ทั้งหมดแค่สี่หมื่นเท่านั้นเอง สุดยอดเลยใช่ไหมล่ะ เร็วเข้า อวยฉันอีก!”
ซ่งจื่อเซวียนรู้สึกตกใจอยู่บ้างจริงๆ เขามองรอบๆ อีกรอบ “สี่หมื่นหยวนเหรอ ไม่ได้ล้อเล่นใช่ไหมเนี่ย หย่าฉี นี่…จะไม่มีปัญหาอะไรเรื่องคุณภาพใช่ไหม”
“มีปัญหาก็แย่แล้ว ฉันจะบอกนายนะ ของพวกนี้ไปหาซื้อจากเพื่อนฉันน่ะ บ้านเธอเปิดร้านขายของตกแต่ง ทุกอย่างให้ราคาทุนฉันหมดเลย พวกเขาได้กำไรจากการตกแต่งเยอะมากเลยล่ะ” ถังหย่าฉีคำนวณไปพูดไป
ซ่งจื่อเซวียนยิ้ม “เธอนี่เก่งจริงๆ นะ ลดค่าใช้จ่ายของเราได้อย่างน้อยหลายหมื่นเลย”
“ยังไงภารกิจของฉันก็เสร็จสิ้นแล้ว เถ้าแก่ซ่ง ต่อไปก็ต้องฝากเถ้าแก่แล้ว!” ถังหย่าฉียิ้มพูด
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้า “วางใจได้ ฉันจะโทรไปหาหัวหน้าเชฟต้าสือไต้เมื่อก่อน ลองดูว่าเขาจะมาได้ไหม ถ้าได้ก็ลดเรื่องการรับสมัครไปได้แล้ว”
“โอเค แล้วฉันค่อยเปิดรับสมัครพนักงานอีกที แต่ว่า…จื่อเซวียน นายวิ่งไปวิ่งมาสองที่แบบนี้จะไม่เหนื่อยเกินไปเหรอ ยังไงทางร้านอาหารร่ำรวยก็ออร์เดอร์หลั่งไหลมาทุกวัน” ถังหย่าฉีพูด
ซ่งจื่อเซวียนลองคิดดู “น่าจะได้อยู่นะ ทางร้านอาหารร่ำรวยค่อนข้างมั่นคงแล้ว เน้นเสิร์ฟข้าวผัดจักรพรรดิ ส่วนสวนสวินเฟิงของเรา…ฉันคิดจะเปิดตัวเมนูใหม่น่ะ”
“เมนูใหม่? คือ…น้ำแกงเกล็ดปลาทองห้าสายเหรอ”
“ถูกต้อง เก็บเงียบมานานขนาดนี้ น้ำแกงห้าสายก็ควรวางขายได้แล้ว ถึงตอนนั้นฉันคงใช้เวลาไปวิจัยอาหารใหม่มากขึ้น”
สิ่งที่ซ่งจื่อเซวียนนึกถึงก็คือเมนูที่สามในหนังสือสูตรอาหารวังราชวงศ์ชิง โต้วหลงเหมิน
ก่อนหน้านี้ตาเฒ่าฟางเคยพูดถึงเมนูนี้มาก่อน แต่ซ่งจื่อเซวียนทำสำเร็จไม่ได้มาโดยตลอด กระทั่งประตูก็ยังคลำหาไม่เจอ
สำหรับเขาแล้ว อาจจะต้องพยายามพัฒนาฝีมือให้มาก ถึงจะเข้าใจเมนูโต้วหลงเหมินนี้ได้ดีขึ้น
และการทำน้ำแกงเกล็ดปลาทองห้าสายให้มากขึ้น ก็เป็นวิธีที่จะพัฒนาฝีมือได้ดีที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย
“วิจัยเมนูใหม่เหรอ จื่อเซวียน ฉันคิดว่าแบบนั้นนายจะยุ่งมากกว่าเดิมน่ะสิ ไม่มีทางอื่นแล้วเหรอ”
“หืม จะมีได้ทางอื่นด้วยเหรอ” ซ่งจื่อเซวียนถาม
ถังหย่าฉีครุ่นคิด “อย่างเช่น…ก็เหมือนกับอาหารฟาสต์ฟูดไง ตระกูลฉันเริ่มจากร้านอาหารฟาสต์ฟูดนี่แหละ จนหลังจากนั้นก็ทำเป็นอาหารสำเร็จรูป อาหารจานด่วนคือต้นแบบใหม่ของวงการอาหารยุคนี้เลยนะ”
“อาหารจานด่วน? เหมือนกับพวกบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปน่ะเหรอ” ซ่งจื่อเซวียนไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้มาก่อน
ซ่งจื่อเซวียนคิดครู่หนึ่ง พูดว่า “แต่ว่าถ้าผัด…ไม่รู้ว่าจะได้หรือเปล่าน่ะสิ”
“จื่อเซวียน ที่จริงตอนนี้มีข้าวผัดสำเร็จรูปแล้วนะ ผัดเสร็จแล้วก็ฟรีซไว้ ถึงเวลาก็ใช้ไมโครเวฟอุ่นร้อนเอาก็พอแล้ว ฉันคิดว่า…ที่จริงเราลองสักหน่อยได้นะ”
ซ่งจื่อเซวียนได้ยินก็พยักหน้าน้อยๆ “ถึงข้าวผัดจักรพรรดิจะไม่เหมือนข้าวผัดอื่น แต่ฉันคิดว่า…ลองปรึกษากับตาเฒ่าได้ ถ้าทำได้ ฉันก็จะลดภาระใหญ่ไปได้จริงๆ”
“ใช่แล้ว ถ้าเป็นแบบนี้ ทางร้านอาหารร่ำรวยนายยกให้เชฟอื่นเป็นคนทำก็ได้ ไม่อย่างนั้นมันจะซับซ้อนเกินไป”
ซ่งจื่อเซวียนยิ้มขื่น ถังหย่าฉีรู้แค่ว่าเขาวนไปวนมาระหว่างร้านอาหารร่ำรวยและสวนสวินเฟิงสองที่ แต่กลับไม่รู้ว่ายังมีบริษัทชิงอวี่ด้วย
เขาต้องคิดหาทางให้คนอื่นทำแทนเขาแล้วจริงๆ นอกจากส่วนที่สำคัญในการทำอาหาร เขาต้องปลดภาระอื่นออก
ตอนค่ำ ก่อนที่เขาจะกลับบ้านก็ยังไปที่บ้านของฟางจิ่งจือตามเคย
ถึงช่วงนี้เขาจะไม่ได้มาทุกวัน แต่ปกติก็จะมาสามวันครั้ง อีกทั้งยังซื้ออาหารปรุงสุกแล้วให้ตาเฒ่าด้วย บ้างก็เอาไปใส่ในตู้เย็น
แน่นอนว่าเขาไม่ลืมเอาสุราไปให้ด้วย
นับตั้งแต่มีเงินเพิ่มขึ้น ซ่งจื่อเซวียนก็รับปากตาเฒ่าว่าจะซื่อสุราเหมาไถให้สามวันหนึ่งขวด ดังนั้นถ้าตาเฒ่าแอบกินสุราเขาก็จะรับรู้ได้ อย่างไรถ้าฟางจิ่งจือซื้อเองก็จะเป็นเอ้อร์กัวโถวขวดใสทั้งนั้น
โชคดีที่วันนี้กลับเร็ว ตาเฒ่ายังไม่ได้พักผ่อน ได้ยินเสียงงิ้วของวิทยุทรานซิสเตอร์ดังในลานบ้าน
เดินเข้าบ้านไป ก็เห็นมีสุราและอาหารที่เหลืออยู่วางไว้บนโต๊ะ ซ่งจื่อเซวียนยิ้ม “โอเคเลยปู่ วันนี้กินไม่ได้น้อยลงเลยนะ”
ฟางจิ่งจือหันหน้ามามองซ่งจื่อเซวียนช้าๆ แวบหนึ่ง ไม่ได้พูดอะไร หันหน้ากลับไปฟังงิ้วต่อ
ซ่งจื่อเซวียนยกขวดขึ้นเขย่า สุราเหลืออยู่ก้นขวดแล้ว แต่ก็เพิ่งสามวันพอดี เขาพยักหน้า
จากนั้นเขาก็เก็บกวาดในห้องรอบหนึ่ง แล้วนั่งที่ข้างเตียงก่อนพูดว่า “ตาเฒ่า ผมมีเรื่องอยากถามนิดหน่อย”
ฟางจิ่งจือลืมตามองเขา “เสร็จแล้วก็รีบไสหัวไปซะ ตอนนี้คือซือคงจ่าน…อย่ามากวนฉัน”
“แหะๆ ก็ได้ งั้นปู่ฟังไปก่อน เดี๋ยวผมค่อยถาม”
พูดจบ เขาก็ลุกขึ้นไปหยิบหนังสือจากชั้นของตาเฒ่ามาอ่านตามใจ จนเรื่องซือคงจ่านจบ เขาถึงวางหนังสือลง
“ปู่ ฟังก็ฟังจบแล้ว เราจะคุยกันสองประโยคหรือไง”
“ยังมีท่อนคดีประหารราชบุตรเขยอีกท่อนหนึ่ง วันนี้แกน่าจะไม่ได้ถามแล้ว” ฟางจิ่งจือพูด
“อย่ามาเลี่ยงสิ เราอย่าบิดไปบิดมาเลย นี่ผมก็ไม่ได้กวนปู่ตอนที่ฟังซือคงจ่านเลยนะ” ซ่งจื่อเซวียนพูด
ฟางจิ่งจือได้ยินก็ยักไหล่หัวเราะร่า “ก็ได้ๆ เราไม่ได้มีประสบการณ์เหมือนกัน แกพูดมาเถอะ”
“ตาเฒ่า ช่วงนี้ผมยุ่งอยู่กับเรื่องที่ร้านอาหารตลอด ผมก็เลยคิดว่า…มีวิธีอะไรที่จะทำข้าวผัดจักรพรรดิมากขึ้นได้ไหมนะ”
“มีสิ ตอนนี้ไม่ใช่ว่าใช้บรรจุภัณฑ์ที่ทันสมัยกันหมดแล้วเหรอ แกก็ทำเป็นสุญญากาศก็ได้นี่”
“เรื่องนี้ผมรู้ แต่ผมคิดว่าจะมีวิธีที่ดีกว่านี้ไหม ถึงยังไงทำเป็นสุญญากาศแล้วไปอุ่นร้อนอีกก็ไม่ใช่รสชาตินั้นแล้ว ผมเลยคิดว่าผมสอนคนอื่นทำข้าวผัดได้ไหม คนอื่นจะได้ทำได้ด้วย” ซ่งจื่อเซวียนพูด
“กับผีน่ะสิ ไม่มีสูตรใครจะไปทำได้ล่ะ” ฟางจิ่งจือพูด
ซ่งจื่อเซวียนลองคิด “อย่างพวก…กึ่งสำเร็จรูปไง ผมจะทำถุงเครื่องปรุงออกมา คนอื่นแค่ใส่ถุงเครื่องปรุงเข้าไป ต่อให้เป็นข้าวผัดธรรมดา ก็ทำข้าวผัดจักรพรรดิได้”
ได้ยินประโยคนี้ ฟางจิ่งจือก็เงียบไป เหมือนกับกำลังครุ่นคิด ซ่งจื่อเซวียนก็ไม่ได้รบกวน
ครู่หนึ่ง ฟางจิ่งจือก็พูดออกมาว่า “งั้นก็ทำได้แค่…อาศัยกำลังภายในเท่านั้น!”
“กำลังภายใน? ตาเฒ่า เอ่อ…ผมจะใช้ได้แค่ตอนทำข้าวผัดไม่ใช่เหรอ”
“ตามหลักก็เป็นแบบนั้นแหละ แต่ที่จริงกำลังภายในสามารถปล่อยออกมาภายนอกได้ เมื่อแกควบรวมกำลังภายใน จากนั้นก็ผนึก ใส่กำลังภายในตอนที่กำลังทำข้าวผัด ผลลัพธ์ก็ออกมาเหมือนกัน”
ซ่งจื่อเซวียนได้ยินก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย “ฟังแล้วซับซ้อนจริงๆ แต่ว่า…ตาเฒ่า ผมจะทำแบบนี้ได้ยังไงล่ะ”
“ที่จริงเรื่องนี้ข้ามผ่านขอบเขตทักษะทำอาหารไปแล้ว ไม่เหมือนกับเทคนิคการทำอาหารที่สามารถถ่ายทอดได้ เกรงว่า…แกต้องลองเอง” ฟางจิ่งจือพูด
ซ่งจื่อเซวียนใคร่ครวญ “ลองเอง…แต่ผมไม่รู้จะไปทางไหนดีนี่สิ”
“ตอนที่แกควบคุมกำลังภายในทำข้าวผัด ก็คือการถ่ายโอนพลังและลมปราณในร่างกาย อันที่จริงก็เหมือนกัน แกต้องใช้สมาธิปล่อยมันออกมา จากนั้นก็เลือกปิดผนึก”
ซ่งจื่อเซวียนรู้สึกว่าฟังอย่างไรก็ไม่เข้าใจ นี่มันอะไร เหมือนจะเหนือกว่าวิทยาศาสตร์ที่เขาเข้าใจไปแล้ว
“ไม่เข้าใจเรอะ”
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้า
ฟางจิ่งจือยิ้ม “หลานเอ๊ย บนโลกใบนี้มีเรื่องที่เกินความเข้าใจของแกเยอะแยะ แต่ไม่ได้มีตัวตนอยู่ แกต้องลองถึงจะรู้ อีกทั้งถ้าใช้วิธีอย่างปล่อยพลังที่แท้จริงออกไปข้างนอกได้จริงๆ ก็จะเพิ่มความแข็งแกร่งให้ร่างกายมนุษย์อย่างมากมายมหาศาล”
“ปู่ นี่ก็คือการกำหนดลมหายใจที่ผมรู้สึกได้ตั้งแต่แรกเริ่มใช่ไหมครับ”
“ประมาณนั้นแหละมั้ง นี่ก็เป็นชื่อที่มนุษย์ตั้งให้มันล่ะนะ แต่ว่าศาสตร์พลังชี่มีมาตั้งแต่โบราณแล้ว”
หลังจากพูดคุยกับตาเฒ่าอีกสองสามประโยค ซ่งจื่อเซวียนถึงจากไป
ระหว่างที่กลับบ้าน เขาก็ยังสับสนเรื่องนี้อยู่ในใจตลอด
ปล่อยกำลังภายในออกไปด้านนอกเหรอ ลมปราณ…ผนึก…
เขาไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรให้เป็นแบบนั้น แต่ก็เหมือนที่ตาเฒ่าพูด ต้องลองดู!
เขานั่งบนเตียงหลับตาเริ่มทำสมาธิ ที่ทำสมาธิ เพราะเขาคิดว่าวิธีการแบบนี้น่าจะไม่ใช่แค่ทำได้ตอนที่อยู่หน้าเคาน์เตอร์เตาเท่านั้น
เขาจึงเลือกสงบจิต อยู่สภาวะที่สงบที่สุด เริ่มหากำลังภายในที่มีอยู่ในร่างกาย จากนั้นก็ทำเหมือนกับที่ฟางจิ่งจือพูด ใช้สมาธิบังคับพวกมันให้ปล่อยออกมาด้านนอก
แต่ลองอยู่หลายครั้ง อย่าพูดถึงปล่อยออกมาเลย แม้แต่กำลังภายในซ่งจื่อเซวียนยังหาไม่พบ
อาจจะเป็นความเคยชินที่ก่อขึ้นตอนที่ทำข้าวผัดแล้ว ทุกครั้งที่จับตะหลิว กำลังภายในสายนั้นก็หลั่งมาที่แขนและข้อมืออย่างเคยชิน
จากนั้น ซ่งจื่อเซวียนจึงตัดสินใจไปที่เคาน์เตอร์เตา จุดเตาจับความรู้สึก ขอแค่จับความรู้สึกแบบนั้นได้ บางทีเวลาอื่นก็สามารถลองหากำลังภายในได้เช่นกัน
เป็นอย่างที่คาดไว้ พอเปิดเตา ตอนที่ซ่งจื่อเซวียนจับตะหลิว กำลังภายในก็หลั่งไหลมาที่มือขวาเขาอย่างเห็นได้ชัด
“คนมีความคุ้นเคย กำลังภายในก็มี ตอนที่ก่อเป็นความคุ้นชิน ปล่อยออกมาด้านนอกก็ไม่ใช่ปัญหาแล้ว!” คิดถึงตรงนี้ ซ่งจื่อเซวียนก็พยักหน้า
เขาจุดไฟและปิดไฟไปมาหลายครั้งทันที ถึงจะจับสัมผัสการปล่อยกำลังภายในออกมาภายนอกอย่างตามใจไม่ได้ แต่ก็ค่อยๆ จับทิศทางกำลังภายในได้แล้ว
อย่างไรก็ขอแค่จับจุดนี้ได้ ก็จะจับพลังในร่างกายตนเองสายนี้โดยไม่ต้องอยู่ตรงหน้าเตาได้
“เจ้ารอง แกทำอะไรของแกกลางดึกเนี่ย หิวเหรอ”
จู่ๆ หานหรงก็เปิดประตูเดินเข้ามา ทำให้ซ่งจื่อเซวียนสะดุ้งตัวโยน ตะหลิวในมือตกลงไปในกระทะ
“แม่ ลูกตกใจเกือบตายแน่ะ”
มองเตาแก๊ส หานหรงก็ขมวดคิ้ว “แกล่กๆ อะไรน่ะ ในกระทะก็ไม่ได้ใส่อะไรนี่ จุดไฟทำไม”
“ลูก…ดูๆ อยู่ว่ากระทะบ้านเราดีไหมน่ะ อืม…ยังดีอยู่”
“ถ้าแกหิวฉันจะเจียวไข่ให้แกสักสองฟอง ถ้าไม่หิวก็รีบไปนอนไป พรุ่งนี้ยังต้องไปที่ร้านนะ”
ซ่งจื่อเซวียนกระอักกระอ่วน ออกไปจากห้องครัวทันที
แต่ตอนนี้เอง จู่ๆ เขาก็รู้สึกถึงบางอย่าง
สามคนอัดกันอยู่ในบ้านชั้นเดียว ที่จริงก็แออัดเกินไป อาจจะถึงเวลาที่ต้องคิดเรื่องซื้อบ้านสักหลังได้แล้ว
……………………………………………