เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 222 สวนสวินเฟิง
ตอนที่ 222 สวนสวินเฟิง
ซ่งจื่อเซวียนพูดประโยคนี้จบ ซางเทียนซั่วและฟางรุ่ยข้างๆ ก็อึ้งไป
แปดพันหยวน…ช่วงนี้ซ่งจื่อเซวียนไม่มีเงินหรือไง
ซางเทียนซั่วขยับเข้าใกล้ซ่งจื่อเซวียน ป้องปากพูดเสียงเบา “อาจารย์ เงินแปดพันหยวนมันเกินไปหรือเปล่า คนเขาจะคิดว่าอาจารย์เป็นบ้าเอานะ”
ซ่งจื่อเซวียนชำเลืองมองเขา ไม่สนใจ มองหนุ่มผมยาวคนนั้นทันที “รับไหมครับ ถ้ารับผมก็จะไปทำให้!”
ชายคนนั้นมองซ่งจื่อเซวียน จ้องอยู่ครู่หนึ่ง เก็บเงินบนโต๊ะแล้วหันหลังเดินไปทางประตูทันที
“ชิ…ฉันก็คิดว่าคนมีเงินที่ไหนเสียอีก!” ซางเทียนซั่วพูด
ทว่าเดินไปถึงประตู ชายหนุ่มกลับหยุดเดิน หันหลังมาพูดว่า “พรุ่งนี้ผมจะมาเช้าหน่อย”
พูดจบ เขาก็หายไปจากทางประตู
“นายท่านรอง คนคนนี้…เขาบ้าหรือเปล่า”
“ไม่ค่อยปกติเท่าไรนะ อาจารย์ ไม่ต้องไปสนใจเขาหรอก เราเก็บร้านกันเถอะ!”
ซ่งจื่อเซวียนกลับยังจดจ้องอยู่ที่ประตูตลอด พูดพึมพำว่า “นี่…ต้องมีเรื่องอีกแล้วสินะ”
ถึงไม่รู้ว่าที่อีกฝ่ายมามีเจตนาอะไร แต่ซ่งจื่อเซวียนมักจะรู้สึกว่าผู้ที่มาเยือนไม่เป็นมิตร
อย่างน้อยคนคนนี้ก็ไม่ปกติ คิดใช้เงินสองสามพันหยวนเพื่อกินข้าวผัดจักรพรรดิ จะต้องมีเป้าหมายแน่
วันถัดมาพอพวกซ่งจื่อเซวียนมาถึงร้านก็เริ่มเตรียมของทันที เพราะแถวด้านนอกมีคนต่อแถวครบยี่สิบคนแล้ว
เรื่องนี้กลายเป็นความเคยชินของคนที่มากินข้าวผัดจักรพรรดิ เห็นว่าจัดแถวครบยี่สิบคน คนที่มาทีหลังก็ไม่ต่อแถวแล้ว
เนื่องจากข้าวผัดจักรพรรดิไม่เคยเสิร์ฟจานที่ยี่สิบเอ็ดมาก่อน
แต่สิ่งที่ทำให้ซ่งจื่อเซวียนแปลกใจก็คือจนถึงสิบโมงครึ่ง หลิงเข่อเอ๋อร์ก็ยังไม่มา เขามั่นใจว่าเด็กสาวคนนี้ต้องคิดว่าตนเองจะช่วยท่านผู้เฒ่าหลิงตามหาเธอแน่ จึงตัดสินใจไม่มา
หลังจากเปิดร้าน ลูกค้าแต่ละคนต่อแถวเดินเข้ามา และรับหมายเลขจากมือหยางกัง
เหตุผลที่ต้องรับหมายเลขเนื่องด้วยพวกลูกค้าเกิดการปะทะกันบ่อยๆ เพราะการต่อแถว พอมีหมายเลขก็จะมีการเรียงลำดับตามคิว
ตอนที่ซ่งจื่อเซวียนกำลังจะเดินเข้าไปเริ่มทำงานในครัวด้านหลัง ก็เห็นชายหนุ่มผมยาวที่มาเมื่อคืน
ชายคนนั้นเดินเข้ามาในร้านอาหารร่ำรวยก็ตรงมาทางซ่งจื่อเซวียน
“ผมมาสั่งข้าวผัดจักรพรรดิ”
ซ่งจื่อเซวียนยิ้มน้อยๆ “ขอโทษด้วยนะครับ คุณมาช้าไปแล้ว”
“หืม” ชายคนนั้นมองนาฬิกาดิจิตอลที่ข้อมือ “นี่เพิ่งสิบโมงกว่าเองนะ”
“คุณดูคนพวกนี้สิครับ เป็นคนที่มากินข้าวผัดจักรพรรดิทั้งหมดเลย ทั้งหมดยี่สิบคน วันนี้ขายหมดแล้วครับ”
เห็นอย่างนั้น ชายคนนั้นก็ชะงักไป เขาคิดไม่ถึงว่าข้าวผัดจักรพรรดิจะโด่งดังถึงขั้นนี้
ก่อนที่เขาจะมาก็ได้ยินเรื่องความโด่งดังของข้าวผัดจักรพรรดิแล้ว ทุกวันขายแค่ยี่สิบที่ แต่สำหรับเขาแล้ว วันหนึ่งขายข้าวผัดได้ยี่สิบที่ก็ไม่ได้แปลกอะไร
แต่เขาคิดไม่ถึงว่ายี่สิบที่นี่จะขายหมดเกลี้ยงในพริบตาทันทีที่เปิดร้าน…
“หมายความว่าวันนี้ผมก็ไม่ได้กินน่ะสิ” ชายหนุ่มพูดพลางเสยผมไปด้านหลัง เผยให้เห็นใบหน้า
เนื่องจากเมื่อวานค่อนข้างดึกแล้ว ผมยาวๆ ของชายคนนั้นบดบังใบหน้า บวกกับไม่ได้เปิดไฟในร้านทั้งหมด ซ่งจื่อเซวียนจึงไม่ได้สังเกตเห็นหน้าตาของชายคนนี้
แต่พอเขาได้สังเกต ถึงแม้หน้าตาของชายคนนั้นจะธรรมดา แต่นับตั้งแต่หน้าผากจนถึงโหนกแก้มมีรอยแผลเป็นเป็นทางยาว
รอยแผลเป็นนี้พาดจากหัวคิ้วผ่านดวงตา จนถึงโหนกแก้ม ถึงไม่รู้ว่ารอยแผลเป็นนี้เป็นมาอย่างไร แต่ดูแล้วค่อนข้างน่ากลัวจริงๆ
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้า “ถ้าอยากกินเชิญพรุ่งนี้เช้านะครับ”
ถึงชายคนนั้นจะมีท่าทางไม่ค่อยพอใจ แต่ก็ยังพยักหน้าหันหลังเดินออกจากร้านไปโดยดี
เห็นด้านหลังของชายคนนั้น ซ่งจื่อเซวียนอดตัวสั่นไม่ได้ ความรู้สึกไม่สบายใจแบบเมื่อวาน…ชัดเจนขึ้นเล็กน้อย
ตอนบ่าย ซ่งจื่อเซวียนกำลังเตรียมตัวไปจัดการงานที่บริษัทสักหน่อย ถังหย่าฉีก็โทรมา บอกว่าที่ร้านตกแต่งใกล้เสร็จแล้ว ให้ซ่งจื่อเซวียนไปดู
ซ่งจื่อเซวียนไหนเลยจะกล้าขัดคำสั่งของแม่ทูนหัว แอบเจิ้งอวี่เรียกรถตรงไปร้านตรงข้ามมหาวิทยาลัยหนานกวน
เข้าไปในร้าน ซ่งจื่อเซวียนก็เห็นถังหย่าฉีกำลังชี้นู่นนี่กำกับคนงาน
เนื่องจากร้านปูวอลล์เปเปอร์ใหม่ เปลี่ยนโต๊ะเก้าอี้ใหม่ จึงรู้สึกเปลี่ยนไปจากเดิมมาก
ร้านเล็กๆ ที่แต่ก่อนเหมาะกับร้านอาหารฟาสต์ฟูด แต่ในเวลาสั้นๆ ไม่กี่วัน ด้วยการออกแบบของถังหย่าฉี เห็นได้ชัดว่าดูดีขึ้นไม่น้อย
โต๊ะเก้าอี้ทั้งหมดใช้ไม้แท้ๆ วอลล์เปเปอร์ก็รู้สึกเหมือนกับลายไม้และลายหิน การออกแบบเคาน์เตอร์สไตล์จีนโบราณ รวมถึงอุปกรณ์คิดบัญชีอย่างลูกคิดและพู่กันต่างๆ บนโต๊ะ ค่อนข้างเป็นสไตล์โบราณเลยทีเดียว
“จื่อเซวียน นายมาแล้วเหรอ ดูสิ เป็นไงบ้าง!” ถังหย่าฉีพูดด้วยรอยยิ้ม บนจมูกมีรอยเลอะสีขาวๆ เล็กน้อย
เห็นท่าทางของถังหย่าฉี ซ่งจื่อเซวียนก็อดยิ้มไม่ได้ “แม่ทูนหัว เธอนี่เก่งจริงๆ เลยนะ เพิ่งจะกี่วันเอง เปลี่ยนไปขนาดนี้แล้ว”
“ฮ่าๆ ก็นายบอกว่าโครงสร้างเดิมดีอยู่แล้ว พยายามแตะต้องให้น้อยที่สุด ฉันเลยคิดว่าจะใช้วิธีที่ง่ายที่สุดเปลี่ยนสไตล์ร้าน เป็นไง ไม่เลวเลยใช่ไหม ฉันรู้ว่านายก็ชอบสไตล์โบราณ” ถังหย่าฉีพูดอย่างมั่นใจ
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้า “ค่อนข้างดีเลยนะ เทียบกับร้านรอบๆ มีระดับกว่าไปอีกขั้นหนึ่ง”
“แหะๆ ผลงานวันนี้ไม่เลวเลย ยังรู้จักอวยฉันด้วย นายไปดูชั้นบนเถอะ ฉันจะให้พวกเขาเก็บงานข้างล่างอีกหน่อย!”
จากนั้น ซ่งจื่อเซวียนก็เดินขึ้นไปชั้นสอง เขาพบว่าถังหย่าฉีละเอียดลออมาก เพื่อหัวข้อหลักอย่างสไตล์โบราณ แม้แต่บันไดก็ทำการตกแต่งด้วย
เธอปูพรมเนื้อนุ่มบนบันได เปลี่ยนขั้นบันไดหินเดิมเป็นพื้นผิวลายไม้ ประกอบกับความหนาและความนุ่มของพรม เวลาเดินจะมีความรู้สึกเหมือนบันไดไม้แท้อยู่หน่อยๆ
การตกแต่งชั้นสองก็ยังคงเป็นสไตล์โบราณ นอกจากผนังสีขาวที่ไม่ได้เปลี่ยน อย่างอื่นก็ใช้ของเลียนแบบแทน
เช่นฝ้าหลุมตรงข้างประตูและในโถงทางเดินเลือกใช้เป็นสไตล์ลอฟท์ ทั้งยังติดไฟยาวสองแถวตรงโถงทางเดินอีกด้วย
“เด็กคนนี้เก่งจริงๆ”
ซ่งจื่อเซวียนเดินไปเดินมารอบหนึ่งแล้วเมียงมองการออกแบบการตกแต่งด้านในห้องส่วนตัว รู้สึกมีความสุขจริงๆ
ตอนที่เปิดร้านอาหารร่ำรวยมีเวลาจำกัด ดังนั้นจึงตกแต่งแบบเรียบง่าย
ถึงที่นี่จะตกแต่งง่ายๆ เหมือนกัน แต่ถังหย่าฉีกลับใส่ใจจริงๆ ตกแต่งได้ประณีตยิ่งกว่าเดิมมาก
เขาอยากได้ร้านในจินตนาการของตนเองมาโดยตลอดสักร้าน อาจจะไม่ได้เหมือนกับที่นี่ทั้งหมด แต่ก็คลับคล้ายคลับคลา
เจ้าของร้านที่มีหน้าที่รับผิดชอบในการกำกับและจัดเตรียมงานอย่างเขาหลายวันนี้ไม่ได้ดูแล ถังหย่าฉีกลับเอาร้านนี้มาส่งให้เขาดูตรงหน้า นับว่าเป็นของขวัญชิ้นใหญ่จริงๆ
ขณะที่กำลังชื่นชม ก็ได้ยินเสียงหนึ่งดังมา
“เป็นไงบ้าง ดูดีใช่ไหมล่ะ ฮิๆ!” ถังหย่าฉีเอามือไพล่หลัง พูดพลางบิดร่างกายไปมาเล็กน้อย
เห็นใบหน้าเล็กๆ ของถังหย่าฉีเลอะอยู่บ้าง ซ่งจื่อเซวียนกลับรู้สึกว่าน่ารักมากขึ้นไปอีก โดยเฉพาะเมื่อบวกกับรอยยิ้มและท่าทางตอนนี้ ทำให้รู้สึกน่าหลงใหลจากใจจริงๆ
“หย่าฉี เธอนี่สุดยอดจริงๆ เป็นร้านที่ฉันอยากได้เลย!”
“ฮ่าๆ นายจำไว้นะ คราวหลังก็ต้องอวยแม่แบบนี้แหละ!” ถังหย่าฉีพูดกลั้วหัวเราะพลางแลบลิ้น
“ครับๆๆ คราวหน้าผมจะอวยท่านทุกวันเลย จริงสิหย่าฉี เรื่องการลงทะเบียนเป็นยังไงบ้าง” ซ่งจื่อเซวียนเอ่ยถาม
“เรื่องนี้นายวางใจเถอะ ฉันไม่ได้ตกหล่นอะไรเลย ตอนนี้ข้อมูลที่เตรียมไว้ทั้งหมดเรียบร้อยแล้ว รอฉันไปหน่วยงานควบคุมตลาดวันนั้นก่อน แค่ครั้งเดียวก็ผ่านแน่!”
ซ่งจื่อเซซียนยิ้ม ที่จริงเขาก็ไม่คิดจะไปหาหวังเฉียงทุกเรื่อง อย่างไรเรื่องลงทะเบียนก็เป็นเรื่องเล็กๆ รบกวนอีกฝ่ายก็ไม่ค่อยดี
ถึงข้างบนจะมีลู่ลี่จวิน แต่อย่างไรหวังเฉียงก็เป็นผู้อำนวยการ พยายามไม่รบกวนดีกว่า
“จริงสิหย่าฉี ชื่อล่ะ ร้านเราชื่ออะไร” ซ่งจื่อเซวียนถามขึ้นมา
ถังหย่าฉียิ้มพูด “เรื่องนี้ต้องให้คนเก่งกาจอย่างนายตั้งสิ ฉันคิดตั้งนานก็คิดไม่ออกว่าจะชื่ออะไรดี”
“ให้ตายสิ ล้อเลียนฉันใช่ไหมเนี่ย ฉันไม่ได้มีการศึกษาสูงๆ แบบเธอนะ!”
“เรื่องนี้เกี่ยวกับอะไรกับประวัติการศึกษาเล่า นายมีความสามารถ โดยเฉพาะด้านวรรณกรรม ฉันคิดได้แค่คำว่าหย่า นายคิดสิ”
ซ่งจื่อเซวียนครุ่นคิดดูแล้วตอบไปว่า “ฉันจำได้ว่าเมื่อก่อนตาเฒ่าท่องกลอนบทหนึ่งบ่อยๆ กลอนบทนี้…ดีอยู่นะ”
“กลอนเหรอ นายท่องให้ฉันฟังหน่อยสิ!” ถังหย่าฉีพูด
ซ่งจื่อเซวียนได้ยินก็เอามือไพล่หลัง พูดเว้นจังหวะ “ตามลมไล่ห่านป่าจันทร์ก็เคลื่อน ฟังฝนเอื้อนปลอบเสียงพิณหลังโยวซาน มองหิมะร่ำสุราเมาน้ำหวาน วาโยวสันต์เหมันต์โปรยปรายที่หอจิ่วเฟิ่ง!”
ฟังกลอนของซ่งจื่อเซวียนจบ ถังหย่าฉีเหมือนตะลึงไปหลายวินาที พลันแย้มยิ้มออกมา “เพราะจัง จื่อเซวียน นี่เป็นกลอนที่ตาเฒ่าเขียนเหรอ”
“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ว่าก่อนที่ตาเฒ่าจะเลอะเลือน ดื่มเหล้าทุกครั้งก็จะท่องออกมาสองวรรค แต่สองปีนี้ไม่มี คิดว่าน่าจะลืมแล้ว”
ถังหย่าฉีป้องปากหัวเราะ “ตลกจริง แต่ว่า…หอจิ่วเฟิ่งนี่คืออะไรเหรอ ใช่ซ่องโสเภณีสมัยโบราณเหรือเปล่า”
“ซ่งจื่อเซวียนกลอกตา “โรงสุราต่างหากเล่า จะเป็นหอโคมแดงได้ยังไง ทำไมเธอถึงคิดแบบนี้ได้เล่า…”
ถังหย่าฉีได้ยินก็แลบลิ้นเชิงขอโทษขอโพย
“หอจิ่วเฟิ่งคือโรงสุราขนาดใหญ่แห่งหนึ่งในยุคสาธารณรัฐ อยู่ในเขตเฉิงหนานของตู้เหมินนี่แหละ ที่นั่นเป็นใจกลางเมืองเก่าของตู้เหมิน”
ถังหย่าฉีครุ่นคิด “เหมือนว่าจะคุ้นหูอยู่นะ”
“เหอะๆ ไม่ใช่เรื่องแปลกหรอก หอจิ่วเฟิ่งโด่งดังในยุคสาธารณรัฐมาก คนใหญ่คนโตมากมายเคยไปกันมาแล้วทั้งนั้น รวมถึงขุนศึก ข้าราชการท้องถิ่น รวมถึงคุณเหมยที่เป็นปรมาจารย์งิ้วปักกิ่งก็เคยไป”
“อย่างนี้นี่เอง เพราะจริงๆ นะ งั้นเราก็ชื่อว่าหอจิ่วเฟิ่งเหรอ” ถังหย่าฉีพูด
ซ่งจื่อเซวียนขมวดคิ้วครุ่นคิด “หอจิ่วเฟิ่ง…เป็นส่วนหนึ่งของอนุสาวรีย์อาหารอร่อยตู้เหมิน เราตั้งชื่อนี้ คงจะแย่ไปหน่อย เราดึงเอาสองคำแรกของกลอนมาตั้งเป็นไง”
“ตามลม…สวินเฟิงน่ะเหรอ”
“สวนสวินเฟิง!”
“ไอ้เพราะน่ะมันเพราะ แต่ว่า…จะไม่ค่อยเหมือนชื่อร้านอาหารหรือเปล่า” ถังหย่าฉีพูด
“เหอะๆ ถ้าเปิดร้านธรรมดาๆ ต้องไม่เหมาะอยู่แล้ว แต่ถ้าหวังจะสร้างความแตกต่าง สวนสวินเฟิงก็งดงามมากแล้ว นอกจากนี้ตอนที่ทุกคนเรียกจนชิน ก็จะรู้สึกเหมือนโรงสุรา”
ถังหย่าฉีครุ่นคิด ก่อนจะพยักหน้าน้อยๆ “เหมือนจะมีเหตุผล งั้นเชื่อนายแล้วกัน ชื่อสวนสวินเฟิงนั่นแหละ!”
ซ่งจื่อเซวียนยิ้มพูด “จริงสิหย่าฉี จะจ่ายค่าเช่าเมื่อไร เงินทุนเข้าบัญชีแล้วนะ”
“หา? จริงเหรอ งั้นดีเลย ฉันยังว่าอยู่ จะไปคุยกับเจ้าของตึกว่าขอตกแต่งก่อนแล้วค่อยจ่ายเงินค่าเช่าทีหลังน่ะไม่ง่ายเลย ถ้าเกิดจ่ายไม่ได้ขึ้นมาเขาได้กินหัวฉันแน่!”
“ฮ่าๆๆ เธอคิดออกมาได้ไงน่ะ ฉันเคยทำให้เธอลำบากใจซะเมื่อไร”
ได้ยินดังนั้น ถังหย่าฉีก็ชะงักไป ดวงตาคู่สวยมองซ่งจื่อเซวียน ซ่งจื่อเซวียนก็เช่นเดียวกัน ทันทีที่เห็นท่าทางน่ารักแบบนั้นของถังหย่าฉี นึกไม่ถึงว่าจะมองจนสติหลุดได้
ทั้งสองยืนสบตากันในโถงทางเดินที่ว่างเปล่าชั้นสองอย่างนั้น…
……………………………………