เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 221 ทำเพิ่มอีกที่ราคาแปดพันหยวน
- Home
- All Mangas
- เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง
- ตอนที่ 221 ทำเพิ่มอีกที่ราคาแปดพันหยวน
ตอนที่ 221 ทำเพิ่มอีกที่ราคาแปดพันหยวน
ได้ยินประโยคนี้ของหลิงเจิ้น ท่านเป้ยเล่อก็อึ้งไป
จนตอนนี้แล้ว หลิงเจิ้นยังมีใจสนใจว่าอาหารของซ่งจื่อเซวียนคืออะไรอีกเหรอ
แต่วินาทีถัดมา ท่านเป้ยเล่อก็ได้กลิ่นที่ทำให้รู้สึกปฏิเสธไม่ได้ อีกทั้งกลิ่นนี้ยังเข้มข้นมาก หอมแต่ไม่เลี่ยน
“นี่มัน…”
“อ้อ ท่านผู้เฒ่าหลิง นี่คือน้ำแกงห้าสายที่ผมยังไม่ได้ขาย คุณลองชิมไหมครับ”
หลิงเจิ้นพยักหน้าทันที ไม่รอให้ซ่งจื่อเซวียนวางชามลง ตนเองก็รับมา จากนั้นก็ตักเต็มหนึ่งถ้วย
ตอนที่น้ำแกงห้าสายเข้าปาก หลิงเจิ้นก็ตกตะลึง
หลังจากอึ้งไปสามสี่วินาที เขาไม่ได้พูดออกมาสักคำ ก้มหน้าซดเข้าไปคำใหญ่
ท่านเป้ยเล่อเหม่อลอย รสชาติของน้ำแกงถ้วยนี้จะต้องไม่เลวแน่ๆ แต่ตอนนี้กำลังถามหาถึงหลานสาวว่าหายไปไหน คิดไม่ถึงว่าใจตาเฒ่าคนนี้ยังเสวยสุขอยู่กับอาหารอร่อยได้อย่างไร
เห็นท่าทางการกินของหลิงเจิ้น ซ่งจื่อเซวียนก็ผ่อนลมหายใจ ความเพลิดเพลินในการลิ้มรสของน้ำแกงเกล็ดปลาทองห้าสายเหนือกว่าข้าวผัดจักรพรรดิอย่างชัดเจน
ตอนที่อยู่ที่ถนนสุ่ยจิง หลิงเจิ้นกินข้าวผัดจักรพรรดิแค่คำเดียว แต่ตอนนี้กลับกินน้ำแกงห้าสายทีละคำใหญ่ๆ
“ท่านเป้ยเล่อ ภาพนั้นมันเรื่องอะไรเหรอครับ” ซ่งจื่อเซวียนถาม
“หลานสาวของท่านผู้เฒ่าหลิงน่ะสิ ก่อนหน้านี้ออกจากบ้านไป ไม่มีข่าวคราวเลยจนถึงตอนนี้ ที่จริงที่ท่านผู้เฒ่าหลิงมาครั้งนี้ก็เพื่อมาหาหลานสาว แล้วดันมาเจอพวกเราเข้าพอดี”
ได้ยินดังนั้น ซ่งจื่อเซวียนก็อดแปลกใจไม่ได้ สบตากับซางเทียนซั่วแวบหนึ่งทันที
ท่าทีของทั้งสองแทบไม่ต่างกันเลย สีหน้าตกใจและดวงตาเบิกกว้าง…
ซางเทียนซั่วหลุดพูดออกมาแทบจะทันที “หลิงเข่อเอ๋อร์”
เหตุที่พูดชื่อนี้ออกมา เป็นเพราะซางเทียนซั่วเคยเห็นบัตรประชาชนอีกใบหนึ่งของหลัวลี่ลี่ ชื่อบนใบนั้นไม่ใช่หลัวลี่ลี่ แต่เป็นหลิงเข่อเอ๋อร์!
“ถูกต้อง นายเคยเจอเธอเหรอ” ท่านเป้ยเล่อพูด
ซ่งจื่อเซวียนพูดว่า “แน่นอนว่าเคยเจอสิครับ เธอเป็นพนักงานที่นี่ แต่ใช้อีกชื่อหนึ่งว่าหลัวลี่ลี่”
ท่านเป้ยเล่อได้ยินก็ยิ้มออกมา หันหน้าไปมองหลิงเจิ้น ตอนนี้หลิงเจิ้นกำลังยกถ้วยขึ้นซดน้ำแกงจนเกลี้ยงถ้วยอยู่
“จื่อเซวียน ฝีมือนายนี่…มหัศจรรย์จริงๆ นะ ชื่ออาหารนี้เต็มๆ ชื่อว่าน้ำแกงเกล็ดปลาทองห้าสายใช่ไหม”
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้าอย่างแปลกใจ ถึงอย่างไรหลิงเจิ้นเป็นคนแรกที่ชิมน้ำแกงห้าสายแล้วพูดชื่อออกมาทันที
“ใช่ครับ คุณรู้จักอาหารนี่เหรอครับ”
“ไม่เลวเลย แต่กลับเป็นครั้งแรกที่ได้ชิม จื่อเซวียน นี่อาหารช่วงราชวงศ์ชิงหรือเปล่า” ขณะที่หลิงเจิ้นพูด สายตาก็เต็มไปด้วยความตื่นเต้น
“เอ่อ…” ซ่งจื่อเซวียนไม่รู้จะตอบอย่างไรไปชั่วขณะ อย่างไรเขาไม่เคยคิดจะเล่าเรื่องที่ตาเฒ่าฟางให้สูตรอาหารวังสมัยราชวงศ์ชิงออกมาเลย
เห็นดังนั้น หลิงเจิ้นกลับยิ้ม “เหอะๆ ฉันรู้ว่านายมีเรื่องลำบากใจของนาย ไม่พูดก็แล้วไปเถอะ แต่ฉันสนใจฝีมือนายมากนะ”
“หืม สนใจฝีมือผมเหรอครับ” จู่ๆ ซ่งจื่อเซวียนก็รู้สึกเหมือนหลิงเจิ้นจะรับตนเป็นลูกศิษย์
แน่นอนว่าถ้าเป็นอย่างนั้นเขาคงไม่ตอบรับแน่นอน นับตั้งแต่ที่ออกมาจากต้าสือไต้ เขาก็ไม่คิดจะทำงานให้ใครแล้ว
“ใช่แล้ว ฉันคิดว่าจะรับนายเป็นลูกศิษย์น่ะสิ ถ่ายทอดความรู้เรื่องอาหารซานตงแท้ๆ ของฉันให้นาย ว่ายังไง”
หลิงเจิ้นพูดพลางยกยิ้มน้อยๆ นั่งตัวตรง
อย่างไรก็เป็นพ่อครัวขั้นเทพแห่งภาคเหนือ ไม่เคยมีคนที่ทำให้เขาอยากรับเป็นลูกศิษย์ได้มาก่อน ต่อให้เป็นลูกศิษย์สามคนในมือเขาตอนนี้ก็ล้วนมาคุกเข่าขอร้องหน้าประตูหลายวันหลายคืนทั้งนั้น
ได้ยินประโยคนี้ ท่านเป้ยเล่อก็ชะงัก
ตาแก่คนนี้…เมื่อกี้ยังบอกอยู่เลยจะว่าไม่รับลูกศิษย์แล้ว แถมตนยังพูดเสียดิบดีว่าจะไม่รับทั้งนั้น แต่คลาดสายตาครู่เดียวทำไมออกปากรับลูกศิษย์อย่างนั้นล่ะ
“จื่อเซวียน นี่เป็นโอกาสนะ มีคนตั้งเท่าไรใฝ่ฝันอยากจะเป็นลูกศิษย์ท่านผู้เฒ่าหลิงน่ะ” ท่านเป้ยเล่อพูด
“หา?” ซ่งจื่อเซวียนมองท่านเป้ยเล่อ
ท่านเป้ยเล่อหน้าแดง “รวมถึง…ฉันด้วย…”
“แต่ว่า…” ซ่งจื่อเซวียนเผยสีหน้าลำบากใจออกมา “ท่านผู้เฒ่าหลิง โปรดอภัยให้ผู้เยาว์ด้วยที่ตอบรับไม่ได้”
หลิงเจิ้นชะงัก “อะไรนะ ตาเฒ่าอยากรับนายเป็นศิษย์นายยังไม่ดีใจเหรอเนี่ย หรือว่านายรู้สึกว่าฝีมือผู้เฒ่าไม่คู่ควรจะเป็นอาจารย์ของนายเหรอ”
“ไม่ๆๆ ท่านผู้เฒ่าหลิงอย่าพูดแบบนี้สิครับ ผมดีใจมาก แต่ประเด็นคือผมมีอาจารย์แล้ว ไม่คิดจะคารวะอาจารย์อีกครับ”
ได้ฟังประโยคนี้ หลิงเจิ้นก็สูดลมหายใจ “ที่จริงก็ไม่เกี่ยวกันหรอก นายดูพ่อครัวชื่อดังพวกนั้นสิ คนพวกนั้นก็มีอาจารย์เยอะแยะมากมายไม่ใช่เหรอ ยังไงวงการอาหารใช่ว่าจะเก่งอย่างเดียวได้ ไม่ว่าจะสาขาอาหารซานตง อาหารกวางตุ้ง อาหารที่สืบทอดกันมาพวกนี้ กลัวว่านายจะได้เรียนรู้แก่นแท้มาจากแค่คนคนเดียวนะ”
ซ่งจื่อเซวียนครุ่นคิด ที่จริงการคารวะหลิงเจิ้นเป็นอาจารย์เป็นเรื่องดีมากๆ ทำให้ตนซึ่งเป็นพ่อครัวที่ไม่มีรากฐานคนหนึ่ง ครู่เดียวก็กลายเป็นลูกศิษย์สุดยอดพ่อครัว เรื่องนี้มีประโยชน์กับตนเองอย่างมาก
แต่ว่าเมื่อคิดถึงฟางจิ่งจือ เขาก็ตอบรับไม่ได้จริงๆ ถ้าเกิดหลังจากคารวะอาจารย์แล้วต้องติดตามหลิงเจิ้นไปมณฑลตงไห่ นั่นเท่ากับจะคอยดูแลตาเฒ่าต่อไม่ได้ไม่ใช่เหรอ
“ยังไงก็ไม่ได้ครับ ท่านผู้เฒ่าหลิง คารวะอาจารย์…ผู้เยาว์ไม่สะดวกจริงๆ หวังว่าผู้อาวุโสจะไม่ถือสา”
ซ่งจื่อเซวียนประสานหมัดพูด
หลิงเจิ้นได้ยินทำได้แค่ถอนหายใจ “เรื่องนี้…ก็ได้ เฮ้อ คิดแล้วตลอดชีวิตหลิงเจิ้นอย่างฉันไม่เคยคิดจะรับลูกศิษย์คนไหนจริงๆ วันนี้เราสองคนชะตาต้องกัน แต่กลับไม่มีวาสนาได้เป็นลูกศิษย์อาจารย์ น่าเสียดายนะเนี่ย…”
“จื่อเซวียนเกิดอะไรขึ้นเนี่ย โอกาสดีขนาดนี้นายไม่เสียดายเลยเหรอ เป็นลูกศิษย์ของท่านผู้เฒ่าหลิงมีส่วนช่วยเส้นทางในอนาคตของนายมากๆ เลยนะ” ท่านเป้ยเล่อร้อนรนแทนซ่งจื่อเซวียน
พูดแบบไม่เกินจริง ถ้าท่านผู้เฒ่าหลิงบอกให้เขาคารวะอาจารย์แทนซ่งจื่อเซวียน เขาคงยินดีเป็นอย่างยิ่ง
“ท่านเป้ยเล่อ ผมมีเรื่องลำบากจริงๆ ช่างเถอะครับ อย่าพูดถึงเรื่องนี้เลย ไม่ใช่ว่าท่านผู้เฒ่าหลิงต้องตามหาหลิงเข่อเอ๋อร์เหรอครับ” ซ่งจื่อเซวียนพูด
ได้ยินดังนั้น หลิงเจิ้นก็พูดทันทีว่า “อะไรนะ พวกนายเคยเจอเข่อเอ๋อร์เหรอ ตอนนี้เธออยู่ที่ไหน”
ท่าทางของพวกเขาแทบไม่ต่างกันเลย พวกเขาพูดไปมากมายขนาดนั้น อีกฝ่ายกลับไม่ได้ยินเสียอย่างนั้น
นี่ไม่ใช่ปัญหาเรื่องการได้ยินแต่อย่างใด คนอย่างหลิงเจิ้นหมกมุ่นอยู่กับของอร่อยตั้งนานแล้ว อีกทั้งอาหารอร่อยที่เข้าตาเขาก็ไม่ได้ปรากฏมาหลายสิบปี
ตอนที่กินน้ำแกงเกล็ดปลาทองห้าสาย ตัวเขาก็ผนึกตัวเองกับอาหารอร่อยไว้ในโลกโดยสมบูรณ์ ยังจะได้ยินเสียงโลกภายนอกว่าคุยอะไรกันได้ที่ไหน
“ท่านผู้เฒ่าหลิง เมื่อกี้ซ่งจื่อเซวียนบอกว่าพวกเขาเคยเจอเข่อเอ๋อร์ครับ”
“บอกเหรอ” หลิงเจิ้นแปลกใจ นี่ตนไม่ได้ยินเหรอเนี่ย “ตอนนี้เธออยู่ที่ไหน”
ซ่งจื่อเซวียนครุ่นคิด “ท่านผู้เฒ่าหลิง เข่อเอ๋อร์เปลี่ยนชื่อเป็นหลัวลี่ลี่ทำงานเป็นผู้จัดการโถงใหญ่ในร้านมาตลอดเลยครับ แต่ว่าจากที่ผมเห็น…เธอน่าจะเห็นว่าคุณมา เลยรีบหลบไป”
“อะไรนะ เจ้าเด็กคนนี้…จริงๆ เลย อยากให้ฉันร้อนใจตายไปเลยหรือไง”
ซ่งจื่อเซวียนส่ายหน้าด้วยรอยยิ้ม ไม่รู้ว่าตาเฒ่าคนนี้ร้อนใจตรงไหนกัน เมื่อครู่ยังสนใจแต่จะกินน้ำแกงเกล็ดปลาทองห้าสาย
“เหอะๆ ท่านผู้เฒ่าหลิงอย่าเพิ่งใจร้อนไปเลยครับ ผมคิดว่า…เรากินข้าวกันก่อนดีกว่า รอคุณออกไปแล้ว ผมคิดว่าเธอคงกลับมา”
“เฮ้อ ก็ทำได้แค่นี้แหละ ความผิดฉันเอง ไม่น่าพูดจาใจร้ายกับเธอขนาดนั้นเลย” หลิงเจิ้นพูดอย่างทอดถอนใจ
“ท่านผู้เฒ่าหลิง ตกลงว่าเพราะอะไรเหรอครับ” ท่านเป้ยเล่อถาม
หลิงเจิ้นบอกว่าหลิงเข่อเอ๋อร์หลงใหลในการทำอาหารมาก แต่กฎของตระกูลหลิงจะถ่ายทอดให้ผู้ชายเท่านั้น ไม่ถ่ายทอดให้ผู้หญิง
ลูกชายของหลิงเจิ้นไม่ทำงานในวงการอาหาร ส่วนพรสวรรค์ของหลานชายก็มีจำกัดมาก มีแค่หลานสาวคนนี้ที่เฉลียวฉลาด แต่เพราะกฎนี้ถึงถ่ายทอดให้ไม่ได้
“ตอนนั้นเข่อเอ๋อร์ทะเลาะกับฉันหลายคำรบ ฉันก็บอกไปว่าจะแหกกฎของบรรพบุรุษไม่ได้ ไม่อยากอยู่บ้านก็ไสหัวไป ใครจะไปรู้ว่า…เฮ้อ…”
ได้ฟังคำพูดของหลิงเจิ้น ซ่งจื่อเซวียนจึงพูดว่า “ท่านผู้เฒ่าหลิง ที่จริง…ยุคสมัยนี้ กฎเก่าๆ บางอย่างก็ควรทิ้งไปได้แล้ว อะไรคือถ่ายทอดให้แต่ผู้ชายไม่ถ่ายทอดให้ผู้หญิง ขอแค่ได้สืบทอดทักษะเก่าแก่ของคุณต่อไป ได้เผยแพร่อาหารอร่อยให้ลูกค้าได้เห็น แค่นั้นไม่พอเหรอครับ”
หลิงเจิ้นได้ยินก็เงียบไปครู่หนึ่ง
“ที่พูดก็ไม่ผิดหรอก ถึงพรสวรรค์ของเข่อเอ๋อร์จะไม่เลวเลย แต่สุดท้ายก็เป็นผู้หญิง งานบางอย่างไม่ค่อยเหมาะกับเธอ ก็อย่างอาหารเซ็ตใหญ่ไง อาหารบางอย่างไม่ใช่แค่ต้องมีความฉลาด ด้านแรงแขนกับแรงข้อมือก็ต้องมี เธอจะทำได้ยังไงล่ะ”
ที่จริงคำพูดของหลิงเจิ้นไม่ผิด ต่อให้เขาถ่ายทอดให้หลิงเข่อเอ๋อร์ ไม่แน่ว่าอาหารบางอย่างหลิงเข่อเอ๋อร์ก็อาจจะทำออกมาไม่ได้
“น่าเสียดาย วันนี้ฉันเจอลูกศิษย์ดีๆ ที่หาได้ยากยิ่งคนหนึ่ง แต่ไม่มีโชค เฮ้อ ดื่มเหล้าเถอะ!”
หลิงเจิ้นพูดพลางยกแก้วขึ้นดื่มจนหมด จากนั้นก็กินน้ำแกงเกล็ดปลาทองห้าสายต่อ
ดื่มเหล้าเสร็จ ซ่งจื่อเซวียนบอกให้หลิงเจิ้นไม่ต้องร้อนใจไป แล้วให้ซางเทียนซั่วขับรถไปส่งเขากลับโรงแรม
ส่วนตัวเองก็อยู่ที่ร้านอาหารร่ำรวยต่อกับท่านเป้ยเล่อ คิดจะรอจนหลิงเข่อเอ๋อร์กลับมาแล้วเกลี้ยกล่อมเธอให้กลับบ้าน
แต่รอจนดึกดื่น หลิงเข่อเอ๋อร์ก็ไม่ปรากฏตัว
เห็นได้ชัดว่าเด็กสาวคนนี้ยังโกรธอยู่ เห็นปู่มาก็หลบหนี ไม่คิดแม้แต่จะกลับบ้าน
หลังจากนั้น ท่านเป้ยเล่อก็แยกตัวกลับโรงแรมไป
ซางเทียนซั่วพูดขึ้นว่า “อาจารย์ คิดไม่ถึงว่าลี่ลี่จะเป็นหลานสาวของหลิงเจิ้นพ่อครัวขั้นเทพของทางเหนือน่ะ เด็กสาวคนนี้ปิดบังมิดชิดจริงๆ”
“ยังเรียกว่าลี่ลี่อีกเหรอ เหอะๆ จากนี้น่าจะต้องเปลี่ยนชื่อเรียกแล้ว แต่ว่า…ตอนนี้สิ่งที่ฉันเป็นห่วงที่สุดคือเธอไม่กลับมาอีกเลย ถ้างั้นก็จะแย่แล้ว”
“หา? คงไม่มั้ง นั่นก็จะเอาแต่ใจเกินไปนะ”
ซ่งจื่อเซวียนส่ายหน้าเบาๆ “เฮ้อ ถ้าอย่างนั้นก็น่าสงสารท่านผู้เฒ่าหลิง เราพยายามช่วยเขาตามหาเถอะ เทียนซั่ว เข่อเอ๋อร์ไม่เคยบอกนายเหรอว่าเธอพักอยู่ที่ไหน”
“ไม่นะ วันๆ เธอเอาแต่ไม่สนใจผม จะบอกที่อยู่กับผมได้ไง ตลกแล้ว…”
ขณะที่ทั้งสองคุยกัน ก็เห็นชายคนหนึ่งเดินเข้ามาในร้าน
ลักษณะของผู้ชายคนนี้แปลกๆ อยู่บ้าง ผมยาวจนบังตา สวมเสื้อกันลมสีเขียวขี้ม้า เสื้อกันลมเก่าขาดอย่างเห็นได้ชัด กระเป๋าที่สะพายอยู่ด้านหลังกลับขาดยิ่งกว่า
พื้นผิวกระเป๋าหนังสีน้ำตาลมีรอยแตกลาย เผยให้เห็นสีพื้นเทาอ่อนด้านใน
ด้านล่างกางเกงทหารสีเขียวสวมรองเท้าหนังกลับ บนส่วนมนโค้งมีรอยพาดขวางตัดสลับกัน
เขาสวมเสื้อผ้าเก่าๆ แต่ผมกลับสะอาดสะอ้านเป็นพิเศษ แต่ละเส้นไม่ติดกันเป็นสังกะตัง เหมือนเพิ่งอาบน้ำมา
“ไม่ทราบว่า…ยังมีอะไรให้กินไหมครับ” เสียงของชายคนนั้นทุ้มมาก
“ขอโทษด้วยนะครับ เราปิดร้านแล้ว” ซ่งจื่อเซวียนพูด
ชายคนนั้นยิ้ม ล้วงเงินออกมาปึกหนึ่งวางบนโต๊ะ ดูแล้วประมาณสองสามพันหยวน
“ข้าวผัดจักรพรรดิที่หนึ่งครับ”
ดูท่าผู้ชายคนนี้ไม่เหมือนคนรวย แต่พอล้วงออกมาก็มีเงินมากขนาดนี้ อีกทั้งยังสั่งข้าวผัดจักรพรรดิ ซ่งจื่อเซวียนสัมผัสได้ถึงอันตรายบางอย่าง
ซางเทียนซั่วลุกขึ้นพูด “ก็บอกไปแล้วไม่ใช่เหรอว่าปิดร้านแล้ว เอาเงินแล้วรีบกลับไปเถอะครับ”
“ผมแค่อยากชิมข้าวผัดจักรพรรดิว่าเลวร้ายอย่างที่ข่าวเผยแพร่ออกมาหรือเปล่าเอง ไม่กล้าทำเหรอ” ชายคนนั้นพูด
ซ่งจื่อเซวียนเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อย “แค่ที่เดียวเอง ไม่ถึงกับไม่กล้าหรอกครับ แต่แค่คุณมาช้าไปแล้ว แต่ละวันขายแค่ยี่สิบที่เท่านั้นครับ”
“ผมจะเพิ่มเงินให้”
ซ่งจื่อเซวียนมองออกมาว่าอีกฝ่ายมาหาเรื่อง หัวเราะในลำคอ “ได้สิ ทำเพิ่มอีกที่ราคาแปดพันหยวน!”
…………………………………..