เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 218 ผู้เฒ่าหลิง
ตอนที่ 218 ผู้เฒ่าหลิง
ขณะที่ดูการทำอาหารของท่านเป้ยเล่ออยู่ ชัดเจนว่าหม้อแรงดันที่อยู่ตรงหน้าซ่งจื่อเซวียนยังไม่สุก หากเทียบความเร็วของการแข่งขัน เขาช้ากว่าอยู่ไม่น้อย
เวลานี้ ท่านเป้ยเล่อนำข้าวสวยไปอังที่เตาไฟอีกครั้ง กรรมการสามคนและผู้ชมมองแล้วไม่ค่อยเข้าใจ
“ท่านเป้ยเล่อทำแบบนี้หมายความว่ายังไงน่ะ เมื่อกี้ใช้หม้อผ่านน้ำเย็น น่าจะทำให้ข้าวสวยเย็นเร็วขึ้น แต่ตอนนี้…”
“ใช่ๆ ฉันมองแล้วไม่เข้าใจเหมือนกัน คงจะเป็นเคล็ดลับการทำอาหารของเขา”
ในกลุ่มฝูงชนก็เริ่มพูดกันเซ็งแซ่
“โอ้พระเจ้า ท่าทางของผู้ชายคนนี้หล่อจัง เขาก็คือท่านเป้ยเล่อสินะ”
“ใช่แล้ว มาจากปักกิ่งเพื่อร่วมการแข่งขัน ฝีมือการทำอาหารต้องสุดยอดแน่นอน!”
“ฉันไม่สนใจหรอก ฉันรู้สึกว่าฝีมือการทำอาหารดีไม่ดีก็ไม่เป็นไร เขา…เขาหล่อเกินไปแล้ว!”
ถือว่าไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่ ตอนนี้ท่านเป้ยเล่อถอดเสื้อคลุมออก ใส่กางเกงสูทรัดรูปกับเสื้อเชิ้ตสีดำอยู่ข้างใน ถึงแม้จะใส่ผ้ากันเปื้อนอยู่ แต่ไม่อาจบดบังรูปร่างและความสง่างามของเขาได้เลย
หันมาดูซ่งจื่อเซวียนที่ดูแตกต่างกัน หน้าตาหล่อเหลาก็จริง แต่เสื้อฮู้ดสีเทากับกางเกงกีฬาแบบนี้ไม่รู้ว่าใส่มากี่วันแล้ว มองไกลๆ ก็ยังเห็นว่าสกปรก
หานหรงเคยบอกเขาให้ถอดมาซักหลายครั้งแล้ว แต่ซ่งจื่อเซวียนตื่นนอนก็ทำเหมือนเดิม ใส่เสื้อผ้าแล้วออกจากบ้านเลย ทำให้เสื้อผ้าของเขาสกปรกมาสามสี่รอบแล้ว
ตอนที่ท่านเป้ยเล่อเริ่มผัดไข่ ข้าวสวยในหม้อแรงดันของซ่งจื่อเซวียนก็สุกแล้ว
เขากลับไม่เร่งรีบ ค่อยๆ ตักข้าวออกมา ทำตามความเคยชินปกติของเขา ข้าวสวยไม่เพียงแต่ไม่ใช่ข้าวค้างคืนเท่านั้น ยังรอให้ข้าวเย็นไม่ได้อีกด้วย เพราะออร์เดอร์ด้านนอกเร่งมาก จะมีเวลารอที่ไหน
ตอนนี้ท่านเป้ยเล่อกำลังผัดไข่ในกระทะอย่างรวดเร็ว เหมือนหมุนวนอยู่ในกระทะก็ไม่ปาน แต่ซ่งจื่อเซวียนกลับตักข้าวสวยใส่จาน แล้วค่อยๆ หยิบไข่ไก่ออกมาอย่างช้าๆ
ทั้งสองคนใช้ปริมาณของไข่ไก่แตกต่างกัน ท่านเป้ยเล่อใช้ไข่ไก่เกือบยี่สิบฟอง แต่ซ่งจื่อเซวียนเลือกใช้แปดฟองเท่านั้น
สาเหตุที่เป็นเช่นนี้ เป็นเพราะพวกเขาจะผัดข้าวผัดจักรพรรดิปริมาณมากในวันนี้ กรรมการสามคนบวกผู้ที่เข้ามาชิมอาหารอีกยี่สิบคน ต้องทำยี่สิบสามจานเป็นอย่างน้อย
จากการสังเกตการณ์โดยตรง ซ่งจื่อเซวียนใช้ไข่ไก่น้อยไป แต่ปกติเวลาที่เขาทำข้าวผัดจักรพรรดิ จะใส่ไข่ไก่ในแต่ละจานแค่ฟองเดียวเท่านั้น
แต่ครั้งนี้แบ่งข้าวผัดตามปกติหนึ่งจานเป็นสามจาน ก็ถือว่าทำตามปริมาณเช่นกัน
จากนั้น ทั้งสองคนจึงใส่ข้าวสวยลงไปผัดในกระทะ พอถึงขั้นตอนนี้ ความเร็วของทั้งสองคนแทบจะเสมอกัน
แต่ขั้นตอนนี้ ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญสำหรับซ่งจื่อเซวียน
สิ่งสำคัญที่สุดในทุกขั้นตอนของการทำข้าวผัดจักรพรรดิคือการสอดประสานกำลังภายในเข้าไปในข้าวทุกเม็ดกับไข่ทุกฟอง เนื่องจากผัดข้าวผัดจักรพรรดิมาเป็นเวลานาน ซ่งจื่อเซวียนจึงใส่ใจขั้นตอนนี้ที่สุด
มองดูการเคลื่อนไหวของซ่งจื่อเซวียน ท่านเป้ยเล่ออดไม่ได้ที่จะตกตะลึง หากสิ่งที่ทำเมื่อครู่เป็นการโชว์ฝีมือการทำอาหารของเขา เช่นนั้นตอนนี้ก็คือเวลาที่เขาต้องทึ่งกับฝีมือการทำอาหารของซ่งจื่อเซวียนเหมือนกัน
ในสายตาคนนอกวงการ ท่าทางการทำข้าวผัดของท่านเป้ยเล่อสวยงามและสง่างามอย่างเห็นได้ชัด แต่ในสายตาของท่านเป้ยเล่อ การเคลื่อนไหวของซ่งจื่อเซวียนเชื่องช้า แต่กลับมั่นคง
ทุกครั้งที่เขย่ากระทะและตะหลิว คือการปรับความตั้งอกตั้งใจแต่ละครั้ง สาเหตุที่ต้องใช้คำว่าปรับ เป็นเพราะการเคลื่อนไหวของซ่งจื่อเซวียนนั้นละเอียดอ่อนเกินไป
พ่อครัวปกติทั่วไปผัดข้าวผัดสิบครั้ง ก็ไม่เท่ากับการเขย่ากระทะและตะหลิวหนึ่งครั้ง เพราะครั้งเดียวนี้ สามารถส่งความร้อนและรสชาติของเครื่องปรุงเข้าไปในวัตถุดิบได้อย่างลงตัว
สุดยอด!
พอถึงขั้นตอนนี้ ความมั่นใจของท่านเป้ยเล่อก่อนหน้านี้หายไปเกือบครึ่ง เพราะวิธีการผัดที่ลึกล้ำของซ่งจื่อเซวียนเช่นนี้เขาอาจจะทำไม่ได้จริงๆ
เมื่อเห็นทั้งสองคนเริ่มผัดข้าวแล้ว กรรมการคนหนึ่งจึงพยักหน้าช้าๆ “ไม่เสียแรงที่เป็นท่านเป้ยเล่อ ฝีมือการทำอาหารของเขา…”
“ฮ่าๆๆ คุณดูซ่งจื่อเซวียน นั่นคือทำกับข้าวใช่ไหม ดูเหมือนจะสู้ความเป็นมืออาชีพในการทำอาหารของภรรยาผมไม่ได้ด้วยซ้ำ”
“ผมก็คิดเหมือนกัน ซ่งจื่อเซวียนคนนี้…เป็นพ่อครัวที่ทำข้าวผัดจักรพรรดิจริงๆ ใช่ไหม”
“คุณว่าอาจจะเป็นเพราะเขารู้ตัวว่าต้องแพ้แน่นอน เลยหาตัวแทนมาแข่งหรือเปล่า ยังไงซ่งจื่อเซวียนก็พอมีตำแหน่งในวงการอาหารเหมือนกัน ข้าวผัดจักรพรรดิได้รับความนิยมขนาดนั้น…”
“อืมๆ อาจจะเป็นไปได้ เขายุ่งทำเงินอยู่ ขี้เกียจมาแข่งขัน มิหนำซ้ำยังต้องแพ้แน่นอน”
ได้ยินคำพูดของกรรมการเหล่านี้ หวงฟาจึงหัวเราะ ป้องปากพูดเสียงต่ำ “หาตัวแทนเหรอ นี่ตัวจริงต่างหากโว้ย เหวินคุ่ย ซ่งจื่อเซวียนคนนี้ไม่เห็นจะเก่งอะไรเลย”
“เหอะๆ เสี่ยครับ พวกเราประเมินเขาสูงเกินไปล่ะมั้ง ดูเขาทำอาหารท่าทางเงอะงะแบบนั้น ยังสู้ผมทำเองไม่ได้ด้วยซ้ำ”
“ฮ่าๆๆ นายเนี่ยนะ รู้จักมีอารมณ์ขันกับเขาตั้งแต่เมื่อไร” หวงฟาเอ่ยยิ้มๆ
เถียนเหวินคุ่ยแค่นหัวเราะไปที แววตาเย็นชาขึ้นมา “เสี่ยครับ ผมไม่คิดว่าตลกนะครับ ไอ้หมอนี่ทำร้ายผม…เกือบทำให้ผมติดคุก ผมอยากทำลายชื่อเสียงของเขาจนจะทนไม่ไหวแล้ว”
เวลานี้ ท่านเป้ยเล่อกับซ่งจื่อเซวียนเกือบจะทำข้าวผัดจักรพรรดิเสร็จพร้อมกัน ตักออกจากกระทะแล้ว
ทีมงานวางชามยี่สิบกว่าใบอยู่บนโต๊ะเล็กข้างๆ พวกเขาไว้นานแล้ว ส่วนปริมาณ ให้พ่อครัวทั้งสองคนกะเอาเอง ขอแค่ใส่ได้ครบทุกชาม
ตอนที่ตักข้าวเสร็จแล้ว เห็นได้ชัดว่าท่านเป้ยเล่อให้ปริมาณข้าวแต่ละชามเยอะกว่า เขามองไปทางซ่งจื่อเซวียนแล้วถามยิ้มๆ “เตรียมไว้น้อยไปหรือเปล่า”
ซ่งจื่อเซวียนส่ายหน้าพร้อมกับยิ้ม “ไม่ได้น้อยไปหรอก เริ่มกันเถอะ”
ท่านเป้ยเล่อพยักหน้า จากนั้นส่งสัญญาณให้กรรมการว่าชิมได้แล้ว
ทีมงานนำข้าวหกชามไปวางตรงหน้ากรรมการทั้งสามคน ขณะเดียวกันก็เริ่มเลือกผู้ชิมอาหารจากกลุ่มคนที่มุงอยู่มาเป็นกรรมการพิเศษ
ตอนนี้ คนที่ล้อมรอบอยู่ข้างนอกแทบจะบ้าไปแล้ว ต่างยกมือเบียดมาข้างหน้า
อย่างไรข้าวผัดจักรพรรดิราคาแปดร้อยเก้าสิบเก้าหยวนสามารถเรียกได้ว่าเป็นอาหารผู้ดี และไม่ว่าจะเป็นเมืองไหนคนจนมักจะมีเยอะกว่าเสมอ
นานๆ จะมีโอกาสได้ชิมฟรีในวันนี้ เหล่าผู้คนที่เข้ามาชิมอาหารจึงเริ่มแย่งชิงกัน
สุดท้ายทีมงานได้สุ่มเลือกผู้เข้ามาชิมอาหารยี่สิบคน แต่มีเพียงหวงฟาเท่านั้นที่รู้ ถึงแม้จะเป็นยี่สิบคนนี้ ก็มีคนที่เขากำหนดไว้แล้วสิบคน แบบนี้ท่านเป้ยเล่อก็จะชนะ
ในไม่ช้า คนที่ถูกเลือกจึงเข้ามาพื้นที่ตรงกลาง เริ่มรับข้าวผัดจักรพรรดิสองชามตามลำดับ จากนั้นเริ่มชิม
วินาทีที่กรรมการได้กินข้าวผัดจักรพรรดิ เห็นได้ชัดว่าสีหน้าของพวกเขาเผยความประหลาดใจออกมา
“นี่คือ…ข้าวผัดจักรพรรดิงั้นเหรอ อร่อยเกินไปแล้วจริงๆ”
“คุณไม่เคยกินมาก่อนเหรอ ผมเคยลองกินครั้งหนึ่งที่ต้าสือไต้ รสชาติเหมือนกันเปี๊ยบ สงสัยซ่งจื่อเซวียนจะเป็นเชฟที่ทำข้าวผัดจักรพรรดิจริงๆ”
“ผมไม่เคยกินมาก่อนเหมือนกัน แต่รสชาติเยี่ยมยอดจริงๆ ไม่รู้ว่าพวกเขาทำออกมาได้ยังไง”
“แต่…ทั้งสองท่าน พูดจริงๆ นะ ถ้าให้ตัดสินด้วยความจริงใจถือว่าตัดสินยากเหมือนกัน ข้าวผัดสองจานนี้รสชาติเหมือนกันเลย”
“ใช่แล้ว ผมกินแล้วหาความแตกต่างไม่เจอ ไม่ธรรมดาจริงๆ หรือว่าทั้งสองคนนี้จะมีเคล็ดลับอยู่ในมือ”
“เฮ้ ไม่ต้องสนใจเขา ไม่ว่ายังไงวันนี้ท่านเป้ยเล่อต้องชนะน่ะถูกแล้ว” ขณะที่กรรมการคนนี้พูด ก็กินข้าวผัดที่ซ่งจื่อเซวียนทำจนหมดเกลี้ยง
พิธีกรเดินมาตรงที่นั่งของกรรมการ เอ่ยว่า “โอเคครับกรรมการของพวกเราได้ชิมกันหมดแล้ว ต่อไปนี้ขอเชิญพวกเขาให้คะแนนตัดสินข้าวผัดจักรพรรดิสองจานนี้กันครับ”
กรรมการคนหนึ่งรับไมค์มาแล้วพูดว่า “ฝีมือการทำอาหารของทั้งสองท่านสุดยอดมาก สูสีพอๆ กัน แต่ผมรู้สึกว่าจากรสชาติสัมผัสแล้ว ข้าวของท่านเป้ยเล่ออร่อยกว่า ผมขอเลือกให้ท่านเป้ยเล่อชนะครับ”
“ความคิดเห็นของผมก็คล้ายกัน ฝีมือการทำอาหารของทั้งคู่พอๆ กัน แต่ขั้นตอนการทำข้าวผัดกลับแตกต่างกันมาก ซ่งจื่อเซวียนใช้หม้อแรงดัน แต่ฝีมือการทำอาหารของท่านเป้ยเล่อมีความละเอียดอ่อนยิ่งกว่า ผมเลือกท่านเป้ยเล่อครับ”
ดูเหมือนกรรมการคนที่สามยังเคี้ยวข้าวในปากไม่หมด เขาพูดว่า “อืม ผมก็มีความคิดเห็นเหมือนกัน ท่านเป้ยเล่อชนะ!”
พอฟังการตัดสินแล้ว ซ่งจื่อเซวียนจึงยิ้มแต่ไม่พูดอะไร
ท่านเป้ยเล่อที่อยู่ข้างๆ เอ่ยยิ้มๆ ว่า “ไม่ต้องสนใจ ดูท่าทางของพวกที่เข้ามาชิมอาหารก่อน”
ซ่งจื่อเซวียนฟังแล้วจึงพยักหน้า ไม่พูดอะไร
กรรมการพิเศษใช้วิธีเลือกฝั่งในการลงคะแนน นั่นคือคิดว่ารสชาติของใครดีกว่า ก็ไปยืนอยู่ตรงหน้าของฝั่งนั้นก็พอ
ในจุดนี้ หวงฟาไม่กังวลเลยด้วยซ้ำ ผู้ที่ชิมอาหารยี่สิบคนบวกกับกรรมการอีกสามคน ทั้งหมดยี่สิบสามคะแนนขอเพียงได้สิบสองคะแนน ท่านเป้ยเล่อก็ชนะแล้ว
เขาจัดคนเก้าคนเข้าไปในกลุ่มกรรมการพิเศษ มั่นใจว่าชนะแน่นอน เขาจึงวางใจในจุดนี้เป็นอย่างมาก
ในไม่ช้า ทุกคนจึงเริ่มเลือกฝั่ง
หวงฟาจัดคนชิมอาหารไว้เก้าคน ดังนั้นจึงเลือกยืนตรงหน้าท่านเป้ยเล่อโดยไม่ลังเล อย่างไรรับเงินมาแล้ว ก็ต้องทำให้สำเร็จ
แต่ที่เหลืออีกสิบเอ็ดคนกลับมีความคิดเห็นแตกต่างกันออกไป
“ฉันไม่สน ฉันจะยืนข้างท่านเป้ยเล่อ เขาหล่อเกินไปแล้ว”
“แต่ว่า…ซ่งจื่อเซวียนเป็นคนตู้เหมิน คุณเลือกโหวตให้ท่านเป้ยเล่องั้นเหรอ”
“หา? แต่นี่คือการแข่งขันการทำอาหาร ต้องไม่นับว่าเป็นคนที่ไหนสิ ฉันเลือกยืนข้างท่านเป้ยเล่อ พวกคุณจะเลือกใครก็ตามใจ”
ผลสุดท้าย ตรงหน้าซ่งจื่อเซวียนมีอยู่เก้าคน ตรงหน้าท่านเป้ยเล่อมีสิบเอ็ดคน
อันที่จริงสำหรับผู้ที่เข้ามาชิมอาหารนั้น ข้าวผัดจักรพรรดิทั้งสองล้วนมีรสชาติเยี่ยมยอด สูสีพอๆ กันจนแทบแยกไม่ออก
แต่เนื่องจากทัศนคติที่ไม่เหมือนกัน บางคนชอบความสง่างามของท่านเป้ยเล่อ จึงเลือกยืนตรงนี้ คนที่เหลือในฐานะคนตู้เหมิน จึงสนับสนุนพ่อครัวในท้องถิ่น เลือกยืนข้างซ่งจื่อเซวียน
ความจริงไม่ว่าจะตัดสินอย่างไร ขอเพียงไม่มีกรรมการที่วางตัวเป็นกลาง ก็ยากที่จะตัดสินผู้ชนะที่แท้จริง
เมื่อเลือกฝั่งเรียบร้อยแล้ว พิธีกรจึงเดินเข้ามาแล้วพูดว่า “โอเคครับ อย่างนั้นผมขอประกาศผลการแข่งขันพ่อครัวจากตู้เหมินและปักกิ่งในวันนี้ รวมกับคะแนนของกรรมการทั้งสามคน ท่านเป้ยเล่อสิบสี่คะเนน เชฟซ่งจื่อเซวียนเก้าคะแนน ผมขอประกาศว่า ผู้ชนะคือ…”
“เดี๋ยวก่อน!”
ในตอนนี้เอง เสียงของคนชราแต่เปี่ยมไปด้วยพลังดังเข้ามาในฝูงชน
ชั่วขณะนี้ ทุกคนต่างมองไป
เห็นชายชราผมขาวเดินเข้ามา เขาใส่เสื้อหม่ากว้าสีน้ำตาลทั้งชุด ถึงแม้จะดูอายุมากแล้ว แต่กลับมีชีวิตชีวา
เมื่อเห็นชายชรา ท่านเป้ยเล่อขมวดคิ้วเล็กน้อย พ่นลมหายใจออกมา เหมือนคิดอะไรออก
“เหอะๆ ขอ…ข้าวให้ฉันชิมสักชามได้ไหม”
“เอ่อ…” พิธีกรมองไปที่หวงฟา เพราะอย่างไรเขาก็เป็นฝ่ายจัดงาน
หวงฟาส่ายหน้าช้าๆ
“ขอโทษด้วยครับท่านผู้เฒ่า กฎการแข่งขันของพวกเรา…”
ชายชราโบกมือ พูดพลางยิ้มว่า “ไม่เกี่ยวกับกฎ ฉันหิวข้าว ถือเสียว่ามาขอข้าวกินก็แล้วกัน”
ท่านเป้ยเล่อกับซ่งจื่อเซวียนสบตากันหนึ่งที แล้วจึงพยักหน้า จากนั้นตักข้าวในกระทะของตัวเองออกมานิดหน่อย ถึงแม้จะไม่พอเป็นข้าวหนึ่งชาม แต่ก็พอที่จะให้ชิม
“ท่านผู้เฒ่า คุณลองชิมดูครับ” ซ่งจื่อเซวียนพูด
ท่านเป้ยเล่อเดินไปตรงหน้าชายชรา “ท่านผู้เฒ่าหลิง คิดไม่ถึงว่าคุณจะมา สงสัยการแพ้ชนะในวันนี้…อยู่ที่ข้าวครึ่งชามนี้แล้ว”
ผู้เฒ่าหลิงมองท่านเป้ยเล่อหนึ่งที พูดยิ้มๆ ว่า “ท่านเป้ยเล่อเกรงใจเกินไปแล้ว”
เขารับข้าวสองชามมาแล้วมองก่อน แววตาของเขาเต็มไปด้วยการพิจารณาอย่างละเอียด เหมือนว่าเขาอยากจะใช้สายตาตัดสินว่าข้าวชามไหนอร่อยกว่ากัน
เขาวางชามข้าวบนโต๊ะ ใช้ช้อนตักขึ้นมาชิมชามละหนึ่งคำ จากนั้นก็เผยรอยยิ้มออกมาทันที
ดูเหมือนได้ทำการตัดสินอยู่ในใจแล้ว
………………………………………………