เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 217 ฝีมือการทำอาหารของท่านเป้ยเล่อ
- Home
- All Mangas
- เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง
- ตอนที่ 217 ฝีมือการทำอาหารของท่านเป้ยเล่อ
ตอนที่ 217 ฝีมือการทำอาหารของท่านเป้ยเล่อ
ซ่งจื่อเซวียนได้ยินดังนั้นก็ดีใจ คิดไม่ถึงว่าตาเฒ่าหวังคนนี้จะใจกว้างขนาดนี้
ในสายตาของเขา อยากจะได้กระทะเหล็กมาค่อนข้างเปลืองแรงจริงๆ ใครจะคิดว่าอีกฝ่ายจะไม่บิดพลิ้ว นี่ไม่ใช่นิสัยของตาเฒ่าหวังเลยจริงๆ…
จากนั้น หวังเฉิงยงจึงไปหยิบกระทะเหล็กออกมา
ซ่งจื่อเซวียนมองเขาอย่างไม่ค่อยเข้าใจ แล้วพูดว่า “ให้…ให้ผมจริงๆ เหรอ”
“ใช่แล้ว พวกเราคุยกันแล้วจะผิดคำพูดไม่ได้ บอกว่าให้นายก็ต้องให้นาย!”
ซ่งจื่อเซวียนยิ้มให้ รับกระทะเหล็กมาแล้วเอ่ยว่า “ทำไมล่ะครับ เสี่ยหวัง นี่ไม่ใช่นิสัยของคุณเลยนี่นา”
หวังเฉิงยงหัวเราะ เดินกลับไปที่หน้าโต๊ะแล้วดื่มเหล้า “ไอ้หนุ่ม ฉันจะบอกนายให้นะ ถ้านายทำงานมาทั้งชีวิตแล้ว ก่อนจะแก่ตัวลงได้เห็นสิ่งที่ตัวเองอยากจะจับสักครั้งแต่จับไม่ได้ในชาตินี้ นายก็จะเป็นเหมือนกัน”
พอได้ยินประโยคนี้ ซ่งจื่อเซวียนก็พยักหน้าอย่างแรง ในใจเกิดความเคารพขึ้นมาทันที
ความเคารพเช่นนี้มีให้กับพ่อครัวอาวุโส เวลานี้หวังเฉิงยงไม่มีความเกเรเหมือนก่อน แต่กลับมีความจริงใจอย่างยิ่ง
“เสี่ยหวัง กระทะใบนี้…แซ่ซ่งแล้วนะครับ”
เสี่ยหวังหัวเราะ เชิดหน้า “พอแล้ว ได้ของแล้วก็รีบออกไปซะ ปล่อยให้ตัวฉันรำลึกความทรงจำสักพักหน่อย”
ซ่งจื่อเซวียนยิ้มออกมา หันตัวเดินออกจากบ้านตระกูลหวังไป
พอออกมาแล้วเขาก็มองนาฬิกา “ไอ้หยา เหลืออีกสี่นาที สายอีกแล้ว…”
……..
เขตเฉิงจง ถนนสุ่ยจิง
ถนนสุ่ยจิงเป็นหนึ่งในถนนการเดินทางสายหลักของเมืองตู้เหมิน เป็นถนนที่กว้างมากพอจะจัดให้รถแล่นผ่านไปได้สิบเลน
ตึกสูงมากมายสองข้างทาง ห้างสรรพสินค้าชื่อดังระดับนานาชาติ และศูนย์รวมพลาซ่าในเมืองแทบจะรวมกันอยู่ในแถบนี้
เนื่องจากเป็นศูนย์กลางการค้าของเมืองตู้เหมิน ผู้คนที่สัญจรไปมาจึงมีมากมายนับไม่ถ้วน ถึงแม้ถนนจะกว้างขวาง แต่เนื่องจากมีคนเดินถนนเยอะมาก จึงมีรถติดเป็นประจำทุกวัน
ห้างจ้งอันตั้งอยู่สี่แยกถนนย่านการค้า มีผู้คนสัญจรไปมาเยอะมากที่สุด
และด้านข้างของประตู ได้ตั้งเตนท์สีแดงขนาดใหญ่ไว้เรียบร้อยแล้ว มีผู้คนรายล้อมกันเนืองแน่น
บนเตนท์มีป้ายแบนเนอร์ขนาดใหญ่แขวนไว้ เขียนว่าสุดยอดการแข่งขันข้าวผัดจักรพรรดิอาหารรสเลิศแห่งตู้เหมิน ซ่งจื่อเซวียนแห่งตู้เหมินปะทะท่านเป้ยเล่อแห่งปักกิ่ง
ผู้คนที่รายล้อมอยู่โดยรอบ มากกว่าเก้าสิบเปอร์เซ็นต์มาเพราะคำว่าข้าวผัดจักรพรรดิ
อย่างไรในฐานะผู้ชิมอาหาร ถึงแม้จะรู้ว่าอาหารจานไหนได้รับความนิยมมาก แต่ก็ใช่ว่าจะรู้ว่าพ่อครัวเป็นใคร
แต่พวกเขารู้จักข้าวผัดจักรพรรดิราคาแปดร้อยเก้าสิบเก้าหยวนจานนี้ วันนี้ขอแค่มีคุณสมบัติได้เป็นผู้ประเมินทั่วไป ก็จะได้กินข้าวผัดจักรพรรดิแล้ว
คนที่ฉวยโอกาสในเรื่องนี้ก็ย่อมมีไม่น้อย จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้ลานพลาซ่าทางนี้เต็มไปด้วยผู้คน
ภายในเตนท์ เตาแก๊สสุดหรูวางอยู่ด้านซ้ายและด้านขวา แต่ยังไม่มีใครยืนอยู่หน้าเตา
ตรงข้ามเตนท์มีโต๊ะอยู่สามตัว แต่ละโต๊ะมีคนนั่งอยู่หนึ่งคน ซึ่งก็คือกรรมการในวันนี้
ในรถยนต์เจ็ดที่นั่งที่จอดอยู่ด้านข้าง หวงฟามองนาฬิกา “ทำไมซ่งจื่อเซวียนยังไม่มาอีก เขาไม่กล้าแล้วหรือเปล่า”
ท่านเป้ยเล่อที่นั่งอยู่เบาะหลังยิ้มบางๆ “ไม่หรอก วันนี้เขาต้องมาแน่นอน”
หวงฟาขมวดคิ้วเล็กน้อย ไม่รู้ว่าทำไมท่านเป้ยเล่อถึงมั่นใจขนาดนี้ แต่ก็ไม่กล้าถาม
“เลยเวลาแล้วนะ เหวินคุ่ย นายไปถามกรรมการทั้งสามคนหน่อย สามารถตัดสินแพ้ได้เลยไหม จะได้ไม่เสียเวลาที่ทุกคนต้องหนาวแช่แข็งอยู่ข้างนอก” หวงฟาพูด
“ครับเสี่ย!”
“รอเดี๋ยว” ท่านเป้ยเล่อพลันพูดขึ้นมา “รออีกแป๊บหนึ่ง เขาต้องมาแน่นอน ตอนนี้รถติดมาก ตัดสินแพ้…เหอะๆ ต่างกับไม่ได้แข่งขันตรงไหนกัน”
“ท่านเป้ยเล่อ จุดประสงค์ของพวกเราคือทำให้ซ่งจื่อเซวียนขายข้าวผัดจักรพรรดิต่อไปไม่ได้ จะไปสนใจว่าเขาชนะทำไม ยังไม่ได้แข่งก็แพ้ถือว่าสมควรแล้ว” หวงฟาพูด
เถียนเหวินคุ่ยพยักหน้า “ใช่แล้วครับท่านเป้ยเล่อ แบบนี้คุณจะได้ไม่เสียเวลาลงจากรถ”
ท่านเป้ยเล่อเหลือบตามองเถียนเหวินคุ่ยหนึ่งที “ไม่ต้องพูดแล้ว รอไปก่อน”
พูดจบ เขาจึงพิงเบาะหลังแล้วหลับตา
ท่านเป้ยเล่อพูดแล้ว หวงฟากับเถียนเหวินคุ่ยจึงทำอะไรไม่ได้ ได้แต่รอต่อไป
ในไม่ช้า พวกกรรมการก็เริ่มทนไม่ไหว ตอนนี้เป็นช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ ถึงแม้จะเริ่มเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิแล้ว แต่ลมหนาวยังพัดมาเป็นบางครั้ง มีกรรมการคนหนึ่งตัวสั่นไม่หยุด
“แม่ง ทำไมซ่งจื่อเซวียนยังไม่มาอีก”
“นั่นสิ ทำเกินไปแล้ว ปล่อยให้พวกเรารอแบบนี้ เลยเวลาแล้วนะ”
“ทำอะไรไม่ได้ เสี่ยหวงไม่พูดอะไร พวกเราก็ต้องรอต่อไป”
“หึ ถ้าเป็นการแข่งขันอย่างเป็นทางการ เขาโดนตัดสินแพ้ไปนานแล้ว”
“เหอะๆ อย่าลืมนะ วันนี้เป็นการแข่งขันทำข้าวผัดจักรพรรดิ การแข่งขันอย่างเป็นทางการยังทำไม่ถึงระดับนี้เลย”
“แล้วจะทำไม ต่อให้แข่งขันยังไงท่านเป้ยเล่อก็ชนะไม่ใช่เหรอ อย่าลืมนะ วันนี้เสี่ยหวงสั่งพวกเรามาทำอะไร”
“ก็ใช่ ต่อให้ซ่งจื่อเซวียนทำยังไง ก็เป็นคนที่แพ้อยู่ดี”
สองสามคนกำลังพูดคุยกัน ผู้คนที่อยู่โดยรอบเริ่มพูดคุยกันขึ้นมา แต่ไม่ได้บ่นอุบเท่าเหล่ากรรมการ เพราะได้กินข้าวผัดจักรพรรดิฟรีๆ พวกเขาก็ดีใจแล้ว
เวลาประมาณสี่โมงครึ่ง พวกซ่งจื่อเซวียนก็มาถึงหน้าห้างจ้งอัน แต่พอเห็นกลุ่มคนที่มุงอยู่เหล่านี้ก็ถึงกับตกใจจริงๆ
“แม่ง อาจารย์ คนเยอะขนาดนี้เชียว อาจารย์จะดังแล้ว”
“อย่ามัวพูดไร้สาระ ลองดูว่าจะเข้าไปยังไงก่อน”
ขณะพูด ซ่งจื่อเซวียนก็เริ่มเบียดเข้าไปข้างใน ตอนแรกยังพอไหว แต่คนข้างในเริ่มแน่นขึ้น จึงเบียดเข้าไปยากจริงๆ
“เฮ้ เบียดอะไรกัน รีบไปตายหรือไง” ผู้หญิงคนหนึ่งตะโกนขึ้นมา
“ขอโทษด้วยนะครับ ผมจะเข้าไปทำข้าวผัด…” ซ่งจื่อเซวียนไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไรจริงๆ พูดจบแล้วจึงรู้สึกเหมือนตัวเองจะพูดอะไรผิดปกติไป…
“คุณบ้าไปแล้วใช่ไหม มองป้ายที่แขวนเอาเองเลย จะทำข้าวผัดงั้นเหรอ คุณเป็นใครล่ะ”
ซ่งจื่อเซวียนมีสีหน้าเขินอาย อยากจะอธิบายให้ฟังจริงๆ แต่พอคิดดูแล้ว ถ้าตัวเองบอกไปว่าผมคือซ่งจื่อเซวียน พูดแบบนี้ดูเหมือนจะน่าขำไปสักหน่อย
เขาจึงเปลี่ยนไปเบียดเข้าทางอื่นทันที แต่ผู้หญิงคนนั้นเหมือนจะยังพูดไม่จบ “คุณบอกมาสิว่าคุณคือซ่งจื่อเซวียนหรือท่านเป้ยเล่อ ถึงคุณจะไม่ได้ใส่ชุดเชฟ แต่อย่างน้อยก็ควรใส่ชุดที่ดูมีภูมิฐานหน่อยไหม”
พอพูดแบบนี้ ผู้คนที่อยู่โดยรอบจึงมองมา มีบางคนหัวเราะออกมาโต้งๆ
“ใช่แล้ว เป็นตัวแทนเชฟของเมืองตู้เหมินเราแต่แต่งตัวแบบนี้ ล้อเล่นอะไรกัน”
“ฮ่าๆๆ ใส่เสื้อฮู้ดขาดๆ ดูขากางเกงสิ มีแต่ดิน…”
“สกปรกจริงๆ ถ้าบอกว่าเป็นซ่งจื่อเซวียนจะมีใครเชื่อ!”
พอได้ยินคำพูดเหล่านี้ ซ่งจื่อเซวียนก็รู้สึกลำบากใจจริงๆ เมื่อก่อนเขาไม่สนใจภาพลักษณ์ภายนอกเลย แต่ตอนนี้กลับฉุกคิดขึ้นมาได้…ฉันควรจะซื้อชุดกีฬาตัวใหม่สักชุดหนึ่งไหม…
ชุดสูทช่างมันไป เขาใส่ไม่ไหวจริงๆ…
กว่าจะเบียดผู้คนเข้ามาได้ ซ่งจื่อเซวียนมองกรรมการทั้งสามคน เอ่ยว่า “สวัสดีครับ ผมคือซ่งจื่อเซวียน”
กรรมการเงยหน้ามองซ่งจื่อเซวียนหนึ่งที “คุณเหรอ”
“ครับ”
“คุณมาสายไปสี่สิบนาทีคุณรู้ไหม ในสายตาของคุณยังมีกรรมการอยู่ไหมครับ ผมถอดสิทธิ์ของคุณได้เชื่อหรือเปล่าครับ”
ซ่งจื่อเซวียนได้ยินก็เหลือบตามองเขาหนึ่งที “แล้วแต่ครับ ถ้างั้นผมก็ไม่แข่งแล้ว”
พอได้ยินคำตอบนี้ กรรมการอีกคนหนึ่งจึงพูดว่า “คุณจะบ้าเหรอ นี่มันการแข่งขันยอดเชฟ คุณคิดว่าพวกเราที่เป็นกรรมการมีอำนาจจริงๆ งั้นเหรอ”
“ผม…” กรรมการอีกคนหนึ่งอึ้งไป เพราะเมื่อก่อนเป็นกรรมการจนชิน คิดว่าผู้เข้าร่วมการแข่งขันจะกลัวเขา…
เวลานี้ ท่านเป้ยเล่อก็เดินลงมาจากรถ ตะโกนว่า “มาแล้วเหรอ!”
“มีธุระนิดหน่อยเลยมาช้าครับ เริ่มกันเลยไหม”
“ได้เสมอ ก็นายอยู่เนี่ย!”
เห็นทั้งสองคนพูดคุยหัวเราะกัน หวงฟากับเถียนเหวินคุ่ยก็ตกตะลึง ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
ทั้งสองคนพลันลงจากรถ
เวลานี้ พิธีกรเดินมาตรงกลาง เอ่ยว่า “ผู้ชิมอาหารทุกท่าน เชฟซ่งจื่อเซวียนของพวกเรามาถึงแล้วครับ การแข่งขันเริ่มขึ้นได้!”
พอได้ยินพิธีกรพูดเช่นนี้ ผู้หญิงคนนั้นที่อยู่ในกลุ่มผู้คนจึงหน้าแดงขึ้นมา ผู้คนจำนวนไม่น้อยหันไปหัวเราะเยาะเธอ
“ฉัน…ฉันไม่รู้นี่ เขาแต่งตัวไม่เหมือนเชฟจริงๆ นี่นา…”
“คนเขาไม่ทำตัวเด่นไง แต่คุณพูดว่าเขาเสียหาย เขาเป็นตัวแทนเมืองตู้เหมินของพวกเราแท้ๆ”
ผู้หญิงคนนั้นหน้าแดง ไม่พูดอะไรอีก
ตอนนี้เอง ซ่งจื่อเซวียนกับท่านเป้ยเล่อก็เดินไปหลังเตาแก๊ส ทั้งสองคนยิ้มให้กัน
“เริ่มเลย”
“เริ่ม!”
พอเปิดเตาแก๊ส ซ่งจื่อเซวียนก็เหลือบตามองท่านเป้ยเล่อหนึ่งครั้ง ท่านเป้ยเล่อไม่ได้ใช้อุปกรณ์ทำครัวที่หน้างาน แต่หยิบกระทะที่อยู่ข้างๆ ใบหนึ่งมาอุ่นบนเตาแก๊ส
ตัวกระทะสีเขียว แต่ไม่เป็นสนิม พื้นผิวมีลวดลายของโลหะ วัสดุเช่นนี้ซ่งจื่อเซวียนไม่เคยเห็นมาก่อน
ถึงแม้จะเป็นการแข่งขัน จึงต้องเริ่มจากการปรุงอาหารทั้งหมดให้สุก รวมถึงการผัดไข่และหุงข้าว
อันที่จริงที่ร้านอาหารร่ำรวย ซ่งจื่อเซวียนใช้ข้าวที่หุงเสร็จแล้ว วันนี้กลับต้องเพิ่มมาอีกขั้นตอน
ซ่งจื่อเซวียนใช้หม้อแรงดันที่ฝ่ายจัดการแข่งขันเตรียมไว้เริ่มหุงข้าว แต่ท่านเป้ยเล่อกลับไม่ใช้ หยิบหม้อใบเล็กออกมาแทน
หม้อใบเล็กนี้เส้นผ่านศูนย์กลางไม่ถึงยี่สิบเซนติเมตร ด้ามจับยาวประมาณยี่สิบเซนติเมตรเหมือนกัน
วัสดุโลหะ แต่ซ่งจื่อเซวียนยากที่จะจำแนกว่าเป็นวัสดุอะไร แต่พอมองไปก็เห็นว่าเป็นหม้อที่บางมาก
ซ่งจื่อเซวียนใช้หม้อแรงดันหุงข้าว ตอนนี้จึงค่อนข้างว่าง แต่ท่านเป้ยเล่อกลับยุ่งมาก
เวลานี้ ท่านเป้ยเล่อกวาดตามองซ่งจื่อเซวียนเหมือนกัน “นายใช้หม้อแรงดันหุงข้าวงั้นเหรอ”
“ก็ต้องอย่างนั้นสิครับ”
ท่านเป้ยเล่อขมวดคิ้ว “สงสัยฉันจะประเมินนายสูงไป”
เห็นเพียงท่านเป้ยเล่อถือหม้อใบเล็กในมือและเขย่าไปมาอยู่ระหว่างเปลวไฟ ไอน้ำพวยพุ่งออกมาเป็นจำนวนมากพร้อมกับส่งเสียงดังปี๊ดขึ้นมา
ซ่งจื่อเซวียนไม่เข้าใจความลึกล้ำที่อยู่ในนั้น อย่างไรเวลาหุงข้าวก็ไม่ต้องรีบร้อนอะไร เขาจึงมองไปทางท่านเป้ยเล่อเสียเลย
ในไม่ช้า ท่านเป้ยเล่อก็เริ่มเขย่าเร็วขึ้นเรื่อยๆ เสียงกลับยิ่งเบาลง เมื่อมองผ่านไอน้ำก็มองเห็นได้ว่าข้าวในนั้นสุกแล้ว
แต่ท่านเป้ยเล่อไม่รีบตักออกจากหม้อ กลับเขย่าไปมาต่อ ระหว่างที่เขาเขย่าไปมา ก็เริ่มปรากฏร่องรอยรวงผึ้งอยู่บนผิวข้าว
ซ่งจื่อเซวียนขมวดคิ้ว พูดในใจ ‘สุดยอดมาก ไม่น่าเชื่อว่าใช้วิธีนี้ข้าวจะสุกไวขนาดนี้ และไม่น่าจะมีข้าวที่กึ่งสุกกึ่งดิบด้วย’
จากนั้นก็มองท่านเป้ยเล่อต่อ เขาเตรียมน้ำเย็นหนึ่งกะละมังไว้ข้างเตานานแล้ว หลังจากยกหม้อเล็กออกจากเตาก็เอาไปวางในกะละมังน้ำเย็นทันที
วินาทีที่น้ำเย็นกับก้นหม้อสัมผัสกัน ก็เกิดควันขาวพุ่งออกมาในปริมาณที่เยอะมาก และข้าวที่อยู่ในหม้อก็หดตัวลงทันที
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้าช้าๆ เป็นขั้นตอนที่สวยงาม อาศัยความเย็นและความร้อนกระตุ้นรสชาติของข้าวสวย ถึงแม้จะเป็นข้าวสวยที่เพิ่งออกจากหม้อ แต่กลับให้รสชาติเหมือนข้าวค้างคืน
ทุกคนต่างรู้กันอยู่แล้ว วัตถุดิบของข้าวผัดต้องใช้ข้าวค้างคืน แต่เนื่องจากใช้ปริมาณมาก ไม่ว่าจะเป็นที่ต้าสือไต้หรือร้านอาหารร่ำรวยก็จะไม่เลือกวิธีนี้
แต่ฝีมือของท่านเป้ยเล่อสามารถสร้างรสชาติของข้าวค้างคืนออกมาได้ ถือว่าสุดยอด
ซ่งจื่อเซวียนเริ่มรู้สึกโชคดีที่มีโอกาสได้แลกเปลี่ยนความรู้เรื่องการทำอาหารกับท่านเป้ยเล่อ แค่ขั้นตอนนี้ก็ทำให้เขาได้เปิดหูเปิดตาแล้ว
สามารถคำนวณถึงรายละเอียดเหล่านี้ได้ ฝีมือการทำอาหารของท่านเป้ยเล่อ ถือว่าเยี่ยมยอดจริงๆ!
…………………………………………….