เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 216 กระทะเหล็กเป็นของนายแล้ว
ตอนที่ 216 กระทะเหล็กเป็นของนายแล้ว
เมื่อคุยกับท่านเป้ยเล่อได้สักพักหนึ่ง ทั้งสองคนก็แลกเบอร์โทรศัพท์กัน จากนั้นท่านเป้ยเล่อจึงออกจากบริษัทชิงอวี่ไป
แต่ซ่งอวิ๋นหล่างยังนั่งรออยู่ในห้องประชุม ซ่งจื่อเซวียนจึงยังไม่กลับ แต่เดินตรงไปที่ห้องประชุม
ภายในห้องประชุม ซ่งอวิ๋นหล่างสูบบุหรี่มวนแล้วมวนเล่า ตอนที่เจิ้งอวี่เข้ามายังคุยกับเจิ้งอวี่สองประโยค แต่พอเจิ้งอวี่ออกไป เขาก็สูบบุหรี่ต่อ
อย่างไรความรู้สึกของคนรอไม่ค่อยดีเท่าไร ยังไม่ต้องพูดว่าเบื่อหน่าย ประเด็นสำคัญคือในใจรู้สึกประหม่าขึ้นมา
เขาก็รู้เรื่องที่เกิดขึ้นที่สถานีโทรทัศน์แล้วเหมือนกัน และเป็นเพราะเขาซื้อสินค้าปลอมคุณภาพไม่ดีเข้ามา ตอนนี้ไม่เพียงแต่รู้สึกน่าเบื่อเท่านั้น แต่ยังประหม่าอีกด้วย
เมื่อเห็นซ่งจื่อเซวียนกับเจิ้งอวี่เดินเข้ามา เขารีบลุกขึ้นทันที “จื่อเซวียน นาย…มาแล้วเหรอ”
ซ่งจื่อเซวียนนั่งตำแหน่งตรงกลาง จุดบุหรี่หนึ่งมวน “อารอง วันนี้ไม่ได้ไปเฝ้าที่สถานีโทรทัศน์ ไปไหนมาเหรอครับ”
“ฉัน…”
“ผมไม่สนว่าคุณจะไปที่ตลาด หรือว่าไปนวดสปา ยังไงวันนี้คุณก็ละทิ้งหน้าที่โดยพลการใช่ไหมครับ เกิดเรื่องใหญ่ที่สถานีโทรทัศน์คุณอยู่หรือเปล่า”
เผชิญกับการซักถามของซ่งจื่อเซวียน ซ่งอวิ๋นหล่างพูดไม่ออกสักประโยค ได้แต่ก้มหน้าสูบบุหรี่
“อารอง คุณไม่ใช่เด็กแล้ว คงไม่ถึงขั้นที่ผมต้องสอนคุณแม้แต่การมาทำงานห้ามมาสายใช่ไหมครับ คุณลองพูดมาว่าเรื่องนี้ควรทำยังไง”
“เอ่อ…จื่อเซวียน จะมาว่าเป็นความผิดของพวกเราทั้งหมดก็ไม่ได้นะ อาจจะเป็นเชฟที่ทำไม่ถูกต้องเอง” ซ่งอวิ๋นหล่างเงยหน้าพูด
“ไร้สาระ! ทำไม่ถูกต้องก็ไม่น่าจะมีไฟลุกหรือเปล่าครับ เห็นอยู่ชัดเจนว่าคุณภาพของเตามีปัญหา ใบเสร็จล่ะ ติดต่อโรงงานเดี๋ยวนี้เลย บอกให้พวกเขาชดใช้ค่าเสียหายมา” ซ่งจื่อเซวียนพูด
ซ่งอวิ๋นหล่างทำสีหน้าลำบากใจ “ใบเสร็จ…จื่อเซวียน อันนี้ไม่รับประกันสามอย่าง ฉันเห็นว่าราคาถูก…ก็เลยซื้อมา…”
“อะไรนะ อารอง คุณจะให้ผมพูดยังไงดี ทำรายการแข่งขันอาหารเป็นเรื่องที่ดีอยู่แล้ว ผู้คนในตู้เหมินกระทั่งทั่วประเทศกำลังดูอยู่ คุณกลับหาสินค้าที่ไม่รับประกันสามอย่างมา คุณกำลังล้อเล่นผมอยู่เหรอ คุณเอาชื่อเสียงของบริษัทชิงอวี่มาล้อเล่นอยู่นะครับ!”
ซ่งจื่อเซวียนพูดพลางตบโตะหนึ่งที ทำเอาซ่งอวิ๋นหล่างตกใจเสียขวัญ
“จื่อเซวียน ฉัน…ฉันคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าจะเป็นปัญหาหนักขนาดนี้ เรื่องนี้…จะทำยังไงดี”
ซ่งจื่อเซวียนพ่นลมหายใจหนึ่งที อันที่จริงเรื่องนี้เขาจัดการเรียบร้อยแล้ว ที่สถานีโทรทัศน์ เขาบอกถึงวิธีแก้ปัญหาไปแล้วทุกอย่าง ไม่เพียงแต่ได้รับคำชมจากคนรอบข้างเท่านั้น ผู้ที่บาดเจ็บก็ยังเห็นด้วย
แต่ตอนนี้เขาจะยังไม่พูด เขาแสร้งทำเป็นครุ่นคิดครู่หนึ่ง แล้วจึงพูดว่า “เป็นเรื่องที่รุนแรงจริงๆ เรื่องนี้มีผลกระทบต่อชื่อเสียงของบริษัทมาก หากท่าไม่ดี…อารอง ผมเกรงว่าคุณจะต้องติดคุก”
“หา? จื่อเซวียนนายอย่าขู่ให้ฉันตกใจนะ ฉันซื้อเตาอันนี้ก็ต้องติดคุกเลยเหรอ ไม่น่าใช่หรอกมั้ง”
ซ่งจื่อเซวียนแอบรู้สึกดีใจ พอได้ยินน้ำเสียงของซ่งอวิ๋นหล่าง เห็นสีหน้าของเขา ก็ดูเหมือนจะเชื่อจริงๆ
“แค่ซื้อเตาอย่างเดียวไม่มีปัญหาครับ แต่ตอนนี้เกิดอุบัติเหตุ มีคนได้รับบาดเจ็บ ระหว่างที่ตรวจอาการถ้าเกิดบาดเจ็บหนัก ผมคิดว่าน่าจะแย่เอาการเลยครับ…” ซ่งจื่อเซวียนแสร้งทำเป็นพูดด้วยความลำบากใจ
“เอ่อ…ฉัน ฉันคิดไม่ถึงจริงๆ จื่อเซวียน นายมีวิธีบ้างไหม นายต้องช่วยอารองนะ”
“วิธี…มีอยู่ครับ อารอง แต่คุณต้องยอมเสียเลือดหน่อย…”
“หืม? เงินเท่าไรถึงจะแก้ปัญหาได้” ซ่งอวิ๋นหล่างถาม
ซ่งจื่อเซวียนตอบ “ผมพอมีวิธีติดต่อหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายอยู่บ้าง สามารถติดต่อผู้บาดเจ็บผ่านทางพวกเขา พยายามขอให้อีกฝ่ายให้อภัย เลือกที่จะแก้ปัญหาโดยการจ่ายเงินค่าชดเชย คุณคิดว่าเป็นยังไงครับ”
“ได้เลย หลานชาย นายบอกอารองตรงๆ ได้ไหมว่าต้องจ่ายเท่าไร ฉันก็แอบกลัวอยู่เหมือนกัน”
ซ่งจื่อเซวียนครุ่นคิด “เงินค่าชดเชยบวกเงินค่าน้ำร้อนน้ำชา…อารอง คุณอาจจะต้องตัดเนื้อออก มากกว่าหนึ่งล้านครับ”
“อะไรนะ เยอะเกินไปหรือเปล่า ถ้างั้นฉันยอมติดคุกสองสามวันดีกว่า” ซ่งอวิ๋นหล่างรับไม่ได้อย่างเห็นได้ชัด
ซ่งจื่อเซวียนไม่ยอมแพ้แน่นอน ความจริงตอนนี้เขากำลังรีดไถเอาเงินอยู่ ซ่งอวิ๋นหล่างโลภมากได้เงินของบริษัทไปตั้งเท่าไร
แต่นายเป็นอารอง ฉันจะไม่ทำเหมือนกับฉินจ้งและเฮ่อเหว่ย แต่ไม่ได้หมายความว่าฉันจะไม่เอาคืน
จุดประสงค์ที่เขาต้องการเงินก้อนนี้ชัดเจนมาก เพื่อต้องการเปิดร้านกับถังหย่าฉี จะไม่มีใครที่ต้องออกเงินทุน อารองจะเป็นออกเงินช่วยสนับสนุนทั้งหมด ไม่เลว!
“สองสามวัน อารองคุณพูดล้อเล่นเหรอ แบบนี้ต้องอยู่สามปีขึ้นไปเป็นอย่างน้อย สามปีของคุณเทียบกับเงินหนึ่งล้านกว่าไม่ได้นะครับ” ซ่งจื่อเซวียนพูด
“คือ…แต่ประเด็นคือมันเยอะเกินไป จื่อเซวียน น้อยกว่านี้นิดหนึ่งไม่ได้เหรอ” ซ่งอวิ๋นหล่างถาม
ซ่งจื่อเซวียนส่ายหน้า “หนักเอาการครับ ผู้บาดเจ็บต้องจ่ายสองสามแสนเป็นอย่างน้อย เงินที่เหลือต้องให้ทางรัฐ ให้แค่นั้นก็ใช่ว่าจะผ่านนะครับ คุณวางใจได้ ถ้าไม่ผ่าน ผมจะคืนให้คุณเต็มจำนวนครับ”
“อะไรนะ อาจจะไม่ผ่านด้วยเหรอ”
ซ่งจื่อเซวียนถอนหายใจ “เฮ้อ ถ้าอารองอยู่ข้างในสามปีจริงๆ ผมจะหาคนส่งเงินไปให้ครับ ให้คนข้างในดูแลคุณ แต่ผมได้ยินว่าคนที่เพิ่งเข้าไปจะต้องโดนต่อยนะครับ”
“โดนต่อยเหรอ” ซ่งอวิ๋นหล่างสีหน้าเปลี่ยนไป
เขานายท่านรองซ่งมีเงินก็ใช่ แต่เขาไม่ใช่ชายฉกรรจ์อะไร ถ้าพูดถึงเรื่องเตะต่อย เขาแค่คิดก็ตัวสั่นแล้ว
“ใช่แล้วครับ มันคือกฎ มีเกือบทุกวัน และคุกชายก็ไม่มีผู้หญิง ดูเหมือนถ้านักโทษมีความต้องการเรื่องอย่างว่า ก็จะจับคนใหม่มาระบายอารมณ์ ฟินสุดๆ เลยล่ะครับ”
ซ่งอวิ๋นหล่างรับไม่ได้อยู่บ้างจริงๆ พอนึกถึงตรงนี้ เขาก็ใจสั่น
“ไม่เป็นไรครับ เวลาสามปี ผมจะสั่งเจิ้งอวี่รับหน้าที่งานของคุณอย่างเป็นทางการ ส่วนหุ้นที่ถืออยู่ ผมจะมอบให้อาสะใภ้แน่นอน คุณไม่ต้องกังวลเรื่องข้างนอกเลยครับ” ซ่งจื่อเซวียนพูด
“ไม่ๆ หนึ่งล้านกว่าฉันควักได้อยู่แล้ว จื่อเซวียน นายจะต้องช่วยอารองจัดการให้เรียบร้อยนะ”
ซ่งจื่อเซวียนพลันยิ้ม “อาวางใจได้ครับ ผมจะทำอย่างเต็มที่”
“ถ้างั้น…ต้องให้เท่าไรล่ะ”
“อาให้ผมก่อนหนึ่งล้านห้าแสนหยวนแล้วกันครับ โอนเข้าบัญชีของผมวันพรุ่งนี้ ผมจะได้เริ่มดำเนินการให้!”
“โอเค จื่อเซวียน นายต้องตั้งใจหน่อยนะ ฉันเป็นอารองแท้ๆ ของนายเลยนะ!”
ซ่งจื่อเซวียนยิ้มให้ อารองแท้ๆ งั้นเหรอ ถ้าไม่เห็นแก่ความเป็นญาติกัน ฉันคงเตะนายออกไปนานแล้ว ท่าทีของนายที่มีต่อพ่อของฉันในตอนนั้น หักเงินของนายแค่นี้ถือว่าเป็นการสั่งสอน!
วันถัดมา ซ่งจื่อเซวียนไปที่ร้านอาหารร่ำรวยตามปกติ ตอนเช้าเขารับสายของท่านเป้ยเล่อ บอกว่าสี่โมงเย็นจะทำการแข่งขันที่ถนนสุ่ยจิงใจกลางเมือง
ถึงแม้การแข่งขันจะอยู่ในที่โล่งแจ้ง แต่จะมีการตั้งเตนท์ชั่วคราว หลังจากการแข่งขันเสร็จสิ้นก็จะเลือกผู้ชิมมาลงคะแนนจากคนที่เดินผ่านไปมาได้
ถึงแม้หวงฟาอาจจะเป็นคนจัดการทั้งหมด แต่ตอนนี้ซ่งจื่อเซวียนกลับไม่กังวล เวลานี้ไม่ว่าจะพูดอย่างไร เขากับท่านเป้ยเล่อก็เป็นเพื่อนกันแล้ว กลิ่นอายห้ำหั่นของการแข่งขันครั้งนี้ไม่รุนแรงมากเท่าเดิมแล้ว
หลังจากทำออร์เดอร์ยี่สิบจานแล้ว ซ่งจื่อเซวียนก็ถือว่าได้ฝึกทำข้าวผัดจักรพรรดิไปยี่สิบรอบ เมื่อเห็นว่ายังมีเวลาเหลือเขาจึงสั่งให้ซางเทียนซั่วขับรถ ไปส่งเขาที่บ้านของหวังเฉิงยง
เข้าประตูบ้านไป ตอนนี้ชายชรากำลังนั่งมองโถใบเล็กสีเขียวอย่างละเอียด ซ่งจื่อเซวียนมองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นเครื่องเคลือบฝ้าหลางไฉ่ของช่วงสาธารณรัฐจีน
อีกทั้งลงสีได้ยอดเยี่ยม เก็บรักษาไว้อย่างดี วัตถุชิ้นนี้ราคาไม่ถูกเลย
“เยี่ยมมาก มีเวลาว่างจริงๆ มานั่งดูเครื่องเคลือบฝ้าหลางไฉ่ตอนบ่ายแก่ๆ เหรอ” ซ่งจื่อเซวียนเอ่ย
หวังเฉิงยงหันหน้าเหลือบตามองซ่งจื่อเซวียนหนึ่งที “ไอ้หนุ่ม ตาแหลมมาก แต่ครั้งนี้ถูกตบตาแล้ว นายดูสิ”
ขณะพูด หวังเฉิงยงก็ยื่นโถใบเล็กสีเขียวให้ซ่งจื่อเซวียน
ซ่งจื่อเซวียนรับมาดูอย่างละเอียดก่อนจะขมวดคิ้ว “เผากับเตาไฟฟ้า เป็นของยุคปัจจุบันนี่นา”
หวังเฉิงยงพลันยิ้มออกมา “จะว่าไปนายก็เก่งทีเดียว ฉันเดาว่าเผากับเตาไฟฟ้าเหมือนกัน แต่ไม่ค่อยชัดเจนมากเลยไม่แน่ใจเท่าไร”
“การลงสีทำทีหลัง แต่ตัวเครื่องลายครามเป็นของเก่า เก็บไว้ได้อยู่” ซ่งจื่อเซวียนเอ่ย
“เหอะๆ ไอ้หนุ่ม ความสามารถของนายเพิ่มขึ้นอีกแล้ว วันนี้มาหาฉันทำไม จะดื่มสองเป๊กเหรอ” หวังเฉิงยงเอ่ยถาม
“เปล่าครับ อีกสักพักผมยังมีธุระอีก อ้อใช่ เรื่องที่คุณพูดคราวก่อน…ยังไม่ถือว่าเป็นโมฆะใช่ไหมครับ” ซ่งจื่อเซวียนถาม
หวังเฉิงยงครุ่นคิด “เรื่องอะไร ฉันพูดอะไร พูดตอนเมาไม่นับนะ”
ซ่งจื่อเซวียนใจเสียไปครึ่งหนึ่ง “โอเคครับ ถือว่าผมไม่ได้พูด”
หวังเฉิงยงหัวเราะ “นายเก็บอะไรไว้ในใจอีก พูดมา ตอนนั้นฉันพูดอะไร”
ซ่งจื่อเซวียนถอนหายใจ เอ่ยว่า “ตอนนั้นคุณบอกว่าถ้าใครทำมีดทำครัวเหล็กออกมาได้ คุณจะมอบกระทะเหล็กใบนั้นให้เขา”
พอได้ยินคำพูดนี้ หวังเฉิงยงเบิกตาโตทั้งสองข้างทันที
“อะไรนะ นายพูดเล่นอะไร”
“ผมบอกว่า ตอนนั้นคุณพูดว่าถ้ามีคนเอามีดเหล็กมาให้คุณดู คุณก็จะให้กระทะเหล็กกับเขา!”
“ต้องนับสิ จะเป็นโมฆะได้ยังไง” หวังเฉิงยงพลางคิดในใจ ฉันพูดแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไร
แต่ตอนนี้เขาไม่ได้ทำงานครัวแล้ว กระทะเหล็กก็ไม่มีประโยชน์อะไรจริงๆ แต่ถ้าได้เจอมีดทำครัวเหล็กสักครั้งเช่นนั้นก็ดีใจแล้ว
“จริงเหรอครับ”
“จริงสิ!”
ซ่งจื่อเซวียนหัวเราะ หยิบมีดทำครัวเหล็กเล่มนั้นออกมาแล้วตบลงบนโต๊ะทันที
“โอ้วพ่อแก้วแม่แก้ว นายวางเบาๆ หน่อยๆ โต๊ะของฉันทำมาจากไม้จันทน์แดงเชียวนะ”
ขณะพูด หวังเฉิงยงมองไปยังมีดทำครัวที่ถูกห่อด้วยกระดาษ จากนั้นจึงเงยหน้ามองซ่งจื่อเซวียนหนึ่งครั้ง
ซ่งจื่อเซวียนมองเขากลับด้วยสายตาที่มั่นใจ
หวังเฉิงยงค่อยๆ ยื่นมือไปที่มีดทำครัว วินาทีที่จับด้ามมีด ก็รู้สึกถึงความหนักที่ส่งผ่านเข้ามา
ต่อจากนั้น เขาไม่ได้แกะกระดาษออก แต่หลับตาคลำตัวมีด ความเย็นเยียบนั้นทำให้เขาตื่นเต้นดีใจขึ้นมาทันที
รอยยิ้มจางค่อยๆ ปรากฏอยู่บนใบหน้าของหวังเฉิงยง ทันใดนั้น เขาก็หยิบมีดทำครัวขึ้นมา ซ่งจื่อเซวียนตกใจ
แต่วินาทีต่อมา ชายชราถือมีดวิ่งออกไปจากห้อง เข้าไปในอีกห้องหนึ่งของบ้าน
ซ่งจื่อเซวียนวิ่งออกไปทันที เห็นภายในห้องนั้น หวังเฉิงยงหยิบเนื้อชิ้นหนึ่งออกมาจากตู้เย็นวางบนเขียง แล้วหั่นออกมาเป็นชิ้นในทันที
ซ่งจื่อเซวียนเบิกตาโตทั้งสองข้าง ตัวเองเคยลองใช้มีดเหล็กเหมือนกัน แต่ตอนนั้นหยิบเนื้อสด แต่นี่คือเนื้อแช่แข็ง และหวังเฉิงยงไม่ได้ออกแรงเลยด้วยซ้ำ
ไม่ได้ออกแรงใช้มีดทำครัวเหล็กเลยสักนิด และไม่ต้องกดลงไป ก็สามารถหั่นเนื้อแช่แข็งเป็นชิ้นๆ ได้แล้ว
โชคดีที่หวังเฉิงยงพูดว่าปล่อยให้เขาใช้หนึ่งครั้งก็จะให้กระทะเหล็ก ถ้าเปลี่ยนคำพูด ซ่งจื่อเซวียนคงเสียดายจริงๆ
ต่อจากนั้น หวังเฉิงยงจึงหั่นชิ้นต่อไป เหมือนเนื้อแพะที่ขายข้างนอกก็ไม่ปาน หั่นเป็นชิ้นบางๆ
จากนั้น เขานำเนื้อแต่ละชิ้นวางเรียงกัน แล้วเริ่มสับให้ละเอียด เขาหลับตาตลอดทั้งขั้นตอนนี้ รวมไปถึงจังหวะของการหั่น เหมือนกำลังเล่นเปียโนอย่างไรอย่างนั้น
หากคนทั่วไปมาเห็น จะต้องคิดว่าชายชราคนนี้เป็นบ้าแน่นอน แต่ซ่งจื่อเซวียนรู้ว่า เขาในตอนนี้กำลังเพลิดเพลินในสิ่งที่ตัวเองทำมากที่สุด
เวลาผ่านไปสองสามนาที หวังเฉิงยงค่อยๆ ส่ายหน้า ใบหน้าเต็มไปด้วยความสุข พอสับเนื้อเสร็จแล้ว เขาจึงลืมตา “ไอ้หนุ่ม มีดเล่มนี้ดีจริงๆ ใช้ครั้งเดียวก็คุ้มค่าแล้ว กระทะใบนั้นของฉันเป็นของนายแล้ว!”
………………………………………..