เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 215 ต้องแข่งแน่นอน
ตอนที่ 215 ต้องแข่งแน่นอน
อาคารสถานีโทรทัศน์ตู้เหมิน
แต่ละแผนกยุ่งอยู่กับรายการต่างๆ พนักงานทุกคนในอาคารก็ยุ่งกันจนเดินขวักไขว่ บางคนถืออุปกรณ์เครื่องมือ บางคนก็ถือแฟ้มเอกสารด้วยสีหน้าเป็นกังวล
งานในสถานีโทรทัศน์ฟังดูง่าย แต่ความจริงแล้วงานยุ่งมากกว่าปกติและการทำงานล่วงเวลาจนถึงดึกดื่นก็เป็นเรื่องที่มักจะเกิดขึ้นบ่อยๆ
ในสตูดิโอหมายเลขเจ็ด ขณะนี้ผู้ชมทั้งหมดไม่ได้นั่งอยู่บนอัฒจันทร์แล้ว หลายคนเดินลงไปดูเหตุการณ์บนเวทีที่พิธีกรยืนอยู่
คนที่สวมชุดพ่อครัวนั่งกุมมืออยู่ตรงนั้นด้วยสีหน้าเจ็บปวด บางครั้งก็ส่งเสียงร้องโอดโอยออกมา
พิธีกรถอยออกไปด้านข้าง หลายคนกำลังพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องนี้และทีมงานในสถานที่เกิดเหตุก็กำลังยุ่งอยู่กับการนำน้ำแข็งมาประคบมือที่ได้รับบาดเจ็บ
“รถพยาบาลมาแล้วหรือยัง”
“ยังเลย ตอนนี้ข้างนอกรถติดพอดี รถพยาบาลจะเร่งแค่ไหนก็มาไม่ได้”
“เฮ้อ ครั้งนี้เกิดเรื่องใหญ่แล้ว รายการต้องระงับชั่วคราวใช่ไหม”
“ระงับก็ดีแล้ว คุณต้องให้คำอธิบายเรื่องนี้กับคนอื่นๆ นะ”
“ให้ตายเถอะ เยี่ยมจริงๆ ถึงตอนนี้ทางผู้จัดก็ยังไม่มาเลย นี่มันเรื่องอะไรกัน”
“ใช่ ตอนนี้สถานีโทรทัศน์วุ่นวายกันหมด ผู้จัดก็ยังไม่โผล่หน้ามา”
พนักงานแต่ละคนทยอยกันวิพากษ์วิจารณ์
ทว่ายังมีคนหนึ่งที่นั่งแน่วแน่อยู่ตรงเก้าอี้ผู้ตัดสินสามที่นั่ง เขาไม่ได้ลุกขึ้นมาชมความวุ่นวายเหมือนคนอื่นแต่นั่งอย่างสบายใจจากระยะไกล
นั่นคือท่านเป้ยเล่อ
ท่านเป้ยเล่อได้รับเชิญให้เป็นผู้ตัดสินการแข่งขันประกวดอาหารในครั้งนี้ เมื่อเห็นทักษะการทำอาหารที่ธรรมดาของผู้เข้าแข่งขันหลายคนก่อนหน้านี้ เขาจึงรู้สึกเบื่อหน่ายไปนานแล้ว เมื่อเกิดเรื่องขึ้นคราวนี้ก็ได้พักสายตาพอดี
ขณะนี้ทีมงานหลายคนวิ่งเข้ามา ทำให้กลุ่มคนหลีกทางให้หนึ่งช่อง ส่วนด้านหลังของพวกเขาก็มีสี่คนเดินตามมา นั่นคือพวกซ่งจื่อเซวียนทั้งสี่คน
“หลีกหน่อย ทุกคนหลีกไปหน่อย ผู้กำกับหลี่ คนจากบริษัทชิงอวี่มาแล้ว”
“งั้นเหรอ ในที่สุดก็มาแล้ว ท่านไหน”
“ผมเองครับ” ขณะที่ซ่งจื่อเซวียนกำลังพูดก็สาวเท้าไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วเพื่อดูพ่อครัวที่ได้รับบาดเจ็บ “ตอนนี้เขาเป็นยังไงบ้างครับ เกิดเหตุอะไรขึ้นกับเขา”
“เป็นยังไงบ้างเหรอ ดูไม่รู้หรือไง บาดเจ็บจนกลายเป็นแบบนี้ คนของพวกคุณก็ไม่โผล่หน้ามาเลยมันหมายความว่ายังไง” ผู้กำกับหลี่กลอกตาพูด
“เฮ้ยพูดแบบนี้ได้ยังไงวะ เราก็เพิ่งรู้นะ ให้ตายเถอะ ถ้าไม่รู้จะพูดกับคนอื่นยังไงก็หุบปากซะ!” ซางเทียนซั่วตะโกน
เดิมทีก็ไม่พอใจอยู่แล้วที่ถูกโจมตีในตลาด ซางเทียนซั่วจึงระบายความโกรธไปที่ผู้กำกับหลี่
“นายพูดแบบนี้ได้ยังไงกัน รู้ไหมว่านี่คือสถานีโทรทัศน์ ระวังปากของนายไว้ให้ดี!” ผู้กำกับหลี่ชี้ไปที่ซางเทียนซั่ว
ในสถานีโทรทัศน์ ตำแหน่งผู้กำกับนั้นจะถูกคนพูดแบบนี้ใส่และด่าได้อย่างไร…
ซางเทียนซั่วได้ยินก็โมโห “เฮ้ย ให้ตายสิ ไอ้นี่มันวอนตีน!”
ขณะที่พูด ซางเทียนซั่วก็พับแขนเสื้อขึ้นแล้วรีบพุ่งไปข้างหน้า ผู้กำกับหลี่รีบยกมือบังหน้า “นาย…นายจะทำอะไร ยังจะกล้าต่อยคนอีกเหรอ”
แม้ว่าผู้กำกับหลี่จะเก่งกาจ แต่ก็ยังอยู่ในสถานีโทรทัศน์ ที่นี่เป็นสถานที่ที่มีอารยะ สิ่งที่พวกเขามักจะสู้รบกันคือตำแหน่งและคำพูด แต่เมื่อพบกับคนที่กล้าใช้กำลังก็มีความขี้ขลาดอยู่บ้างจริงๆ
“ต่อยนายก็ไม่เลวนะ”
ซางเทียนซั่วยกมือขึ้นคิดจะต่อย ซ่งจื่อเซวียนจึงเหลือบตามองเขา “เทียนซั่ว อย่าก่อเรื่อง เรามาเพื่อแก้ปัญหานะ”
ซ่งจื่อเซวียนพูดจบก็กลอกตาไปที่ผู้กำกับหลี่ เป็นเพราะอีกฝ่ายพูดไม่ดีตั้งแต่แรกจึงรู้สึกสมน้ำหน้าอยู่บ้าง
“เกิดอะไรขึ้นกันแน่ครับ” ซ่งจื่อเซวียนถาม
ผู้กำกับหลี่ก็พูดตรงไปตรงมามากขึ้น “เมื่อกี้เตามีปัญหา ทันทีที่ผู้เข้าแข่งขันจุดเตา เปลวไฟก็เริ่มพุ่งออกมา แถมหม้อก็ไหม้อีกด้วย ตอนผู้เข้าแข่งขันเอามือหยิบหม้อก็โดนลวกน่ะ”
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้าและเดินไปหาผู้เข้าแข่งขันทันที “พี่ชาย มือเป็นยังไงบ้าง”
ผู้เข้าแข่งขันส่ายหัวด้วยสีหน้าเจ็บปวด “เจ็บ เจ็บแทบตาย…”
“ไม่เป็นไรนะครับ เราจะรับผิดชอบค่ารักษาทั้งหมดของคุณ แม้ว่าคุณจะได้รับบาดเจ็บจนทำอาหารไม่สะดวก แต่ผมจะจัดการงานของคุณให้เองครับ!”
เมื่อซ่งจื่อเซวียนพูดเช่นนี้ คนรอบตัวไม่น้อยก็ยกนิ้วให้
“ดูสิ นี่คือสิ่งที่เจ้านายควรจะพูดต่างหาก”
“ใช่ สุดยอดจริงๆ แก้ปัญหาได้ดีเกินไปแล้ว!”
“ใช่ๆๆ พวกนายดูคนนี้สิ เขาคล่องแคล่วแตกต่างจากที่ซ่งอวิ๋นหล่างคนนั้นทำ ช่างชักช้าจริงๆ!”
“เขาเป็นเถ้าแก่ใหญ่เหรอ ไม่มีทาง เด็กเกินไปแล้ว แต่ถ้าเป็นลูกน้องของซ่งอวิ๋นหล่าง เขาจะรับผิดชอบได้ยังไง”
มีการวิพากษ์วิจารณ์กันมากมายอีกครั้งระหว่างทีมงานและผู้ชม แต่โดยรวมแล้วยังยกย่องซ่งจื่อเซวียนที่แก้ไขปัญหาได้ดี
ซ่งจื่อเซวียนจึงหันกลับมาถามว่า “อุบัติเหตุครั้งนี้มีปัญหาตรงไหนครับ เป็นปัญหาที่เตาใช่ไหม”
ผู้กำกับหลี่พยักหน้าเบาๆ “คงจะใช่ เจ้านี่ไม่ผ่านการตรวจสอบคุณภาพแน่นอน บริษัทพวกคุณไปเอาของราคาถูกพวกนี้มาจากไหน มันอันตรายเกินไปนะ โชคดีที่ถังแก๊สไม่ระเบิด ไม่อย่างนั้นวันนี้คงจะเกิดเรื่องใหญ่จริงๆ”
ซ่งจื่อเซวียนไม่ตอบกลับแต่สูดหายใจเข้าลึกๆ หากเรื่องนี้เป็นปัญหาด้านคุณภาพจริงๆ เขาสามารถเรียกร้องค่าเสียหายจากผู้ผลิตได้ แต่หากอารองจงใจซื้อของราคาถูก เรื่องนี้ก็ดูไม่น่าไว้วางใจจริงๆ
แต่จากความเข้าใจของซ่งจื่อเซวียนเกี่ยวกับซ่งอวิ๋นหล่าง ความเป็นไปได้อย่างหลังยังมีสูงมาก
“อารองของผมมาหรือยัง” ซ่งจื่อเซวียนถาม
เจิ้งอวี่เอ่ย “ผมเพิ่งโทรไป กำลังจะถึงแล้วครับ”
ขณะที่ทั้งสองกำลังพูดคุยกันอยู่ เจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ที่มากับรถพยาบาลก็มาถึง พวกเขาได้ปฐมพยาบาลผู้บาดเจ็บแล้วส่งไปโรงพยาบาลทันที
ความวุ่นวายในสถานีโทรทัศน์สิ้นสุดลงแล้ว แต่เมื่อผู้กำกับหลี่ถามซ่งจื่อเซวียนว่าให้ดำเนินรายการต่อไปหรือไม่ ซ่งจื่อเซวียนก็ตัดสินใจหยุดถ่ายรายการชั่วคราว เขาต้องหาสาเหตุเกี่ยวกับอุปกรณ์ให้ชัดเจนก่อนถึงค่อยตัดสินใจเริ่มอีกครั้ง
เมื่อเห็นว่าซ่งอวิ๋นหล่างยังไม่มา ซ่งจื่อเซวียนจึงพูดว่า “อาเจิ้ง โทรหาเขาว่าไม่ต้องมาแล้วครับ ให้ไปหาผมที่บริษัทที่หลัง!”
“ครับคุณซ่ง”
จากนั้นเจิ้งอวี่ก็โทรศัพท์ ความจริงซ่งอวิ๋นหล่างผู้น่าสงสารอยู่ชั้นล่างของสถานีโทรทัศน์แล้ว หลังจากได้รับสายก็ขับรถกลับไปที่บริษัทชิงอวี่
ซ่งจื่อเซวียนกำลังจะจากไปแต่กลับเห็นคนคนหนึ่งยืนอยู่ด้านหน้าเขา
นั่นคือท่านเป้ยเล่อ
ท่านเป้ยเล่อขมวดคิ้วเล็กน้อยแล้วตวัดสายตามองซ่งจื่อเซวียนขึ้นลงอีกครั้ง
“หืม คุณก็อยู่ที่นี่ด้วยเหรอ” ซ่งจื่อเซวียนถาม
ท่านเป้ยเล่อสูดลมหายใจ “นาย…เกี่ยวอะไรกับบริษัทชิงอวี่”
“อะไรล่ะ นี่มันเกี่ยวกับคุณด้วยเหรอ” ซ่งจื่อเซวียนถาม
“แน่นอน ฉันให้เกียรติมาเป็นผู้ตัดสินของบริษัทชิงอวี่ ฉันรู้จักซ่งอวิ๋นหล่างผู้รับผิดชอบรายการของพวกนายด้วย แต่นาย…”
“ผมทำไม”
“นายได้เป็นตัวแทนจากบริษัทชิงอวี่เหรอ” ท่านเป้ยเล่อถาม
ซ่งจื่อเซวียนพลันยิ้มออกมา “สนใจแค่เรื่องของตัวเองเถอะครับ คุณควรไปฝึกซ้อมการแข่งขันข้าวผัดจักรพรรดิสำหรับวันพรุ่งนี้”
พูดจบ ซ่งจื่อเซวียนก็เดินออกไปนอกสตูดิโอ
ท่านเป้ยเล่อยืนใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งแล้วไล่ตามไปอีกครั้ง
“นายรู้จักซ่งอวิ๋นฮั่นเหรอ”
ซ่งจื่อเซวียนได้ยินก็หยุดฝีเท้าและหันกลับมาพูด “นั่นพ่อผมเอง มีอะไรเหรอ”
เมื่อได้ยินคำตอบนี้ ดวงตาของท่านเป้ยเล่อก็เบิกกว้างด้วยสีหน้าไม่อยากจะเชื่อ…
“นาย…คือลูกชายของซ่งอวิ๋นฮั่นเหรอ”
“ทำไม เกี่ยวอะไรกับคุณ” ซ่งจื่อเซวียนถาม
“ฉันเป็นเพื่อนคุณซ่ง ฉันไม่คิดมาก่อนเลย…”
“คุณเป็นเพื่อนของพ่อผมเหรอ”
ขณะที่ซ่งจื่อเซวียนพูดประโยคนี้ เขาก็พลันนึกได้ว่าซ่งอวิ๋นฮั่นเคยบอกไว้ ซ่งอวิ๋นฮั่นสามารถไปหาท่านเป้ยเล่อให้มาออกหน้าจัดการความขัดแย้งระหว่างเขากับหวงฟาได้
เพียงแต่ว่าตอนนั้นเขาปฏิเสธไป อันที่จริงเขาควรนึกได้ตั้งนานแล้วว่าซ่งอวิ๋นฮั่นมีความสัมพันธ์ฉันมิตรกับท่านเป้ยเล่ออยู่บ้าง
“ผมนึกออกแล้วพ่อผมเคยบอกไว้ ใช่ เขารู้จักคุณ” ซ่งจื่อเซวียนตระหนักได้ทันที
ท่านเป้ยเล่อคลี่ยิ้ม “เหอะๆ เราเป็นมากกว่าคนรู้จัก เราเป็นเพื่อนที่ดีมาก เรียกได้ว่า…เป็นเพื่อนต่างวัย”
“เอ่อ…” ซ่งจื่อเซวียนก็ยิ้มออกมาเช่นกัน “นี่มันน่าสนใจจริงๆ ผมคิดไม่ถึงเลย”
“เหอะๆ คุณซ่งยังสบายดีไหม ถ้าสะดวกฉันอยากเจอเขาหน่อย เราไม่ได้เจอกันเกินครึ่งปีแล้ว” ท่านเป้ยเล่อพูดพร้อมกับยิ้ม
ได้ยินคำถามนี้ ซ่งจื่อเซวียนก็เงียบไป
“หืม ไม่สะดวกเหรอ หลักๆ ฉันไม่ค่อยสนิทกับซ่งอวิ๋นหล่าง แล้วก็ไม่หวังให้เขาช่วยติดต่อด้วยน่ะ”
ซ่งจื่อเซวียนครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง “ท่านเป้ยเล่อ ถ้าคุณมีเวลาไปคุยกันที่บริษัทดีไหม”
ท่านเป้ยเล่อเหลือบมองสตูดิโอแล้วยิ้มอย่างขมขื่น “ดูเหมือน…ไม่มีเรื่องอะไรให้ทำแล้ว งั้นฉันไปกับนายแล้วกัน”
จากนั้น ทุกคนก็ออกจากสถานีโทรทัศน์และขับรถไปที่บริษัทชิงอวี่
ซ่งอวิ๋นหล่างรออยู่ที่บริษัทแล้ว แต่ซ่งจื่อเซวียนไม่รีบร้อนและให้เขารอในห้องประชุม ส่วนเขากับท่านเป้ยเล่อก็ไปที่ห้องทำงาน
ในห้องทำงาน ซ่งจื่อเซวียนชงชาและรินใส่ถ้วยให้ท่านเป้ยเล่อ
“ชาไม่เลว!”
ซ่งจื่อเซวียนกำลังชงชาและเอ่ยถาม “คุณสนิทกับพ่อมากไหม”
“เหอะๆ แน่นอน แม้ว่าเราจะดื่มเหล้ากันแค่ครั้งเดียว แต่นั่นเป็นครั้งที่ฉันมีความสุขที่สุด ปกติฉันไม่ดื่มเหล้านะ” ท่านเป้ยเล่อพูดด้วยรอยยิ้ม
“หืม แล้วทำไมคุณถึงดื่มล่ะ”
“สมัยเรียนฉันชอบดื่มเหล้ามาก ต่อมาเพราะงานยุ่งมากก็เลยเลิกดื่มไป แต่กับพ่อนายครั้งนั้นฉันเลยเริ่มดื่มอีกครั้ง
เราดื่มชากันก่อน พอคุยกันถูกคอ ฉันก็เลยเสนอให้ดื่มเหล้ากัน คุณซ่งก็เป็นคนเฮฮาก็เลยตอบตกลง
ฉันจำได้ว่าครั้งนั้นเราดื่มไวน์ขาวไปหนึ่งลิตรครึ่ง ไวน์แดงสองขวด เราสองคนดื่มกันจนพูดไม่รู้เรื่องก็เลยนอน แล้วมารู้ทีหลังว่าเดิมทีคุณซ่งก็ไม่ดื่มเหล้าเหมือนกัน ฮ่าๆ เป็นช่วงเวลาที่น่าจดจำจริงๆ”
ขณะที่ท่านเป้ยเล่อพูดก็หวนรำลึกถึงความสุขในตอนนั้น เห็นได้จากสีหน้าของเขาว่าความสุขนี้ออกมาจากใจจริง
ซ่งจื่อเซวียนก็ยิ้มเช่นกัน แต่รอยยิ้มนี้กลับขมขื่น
“พ่อผมเสียแล้วครับ”
ท่านเป้ยเล่อได้ยินก็ตกตะลึง
รอยยิ้มเมื่อสักครู่ก็หายไปทันที ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความตกใจและความสับสน
“นาย…พูดอีกทีสิ”
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้า “พ่อผมเสียไปเมื่อไม่กี่วันก่อนครับ”
ท่านเป้ยเล่อเหม่อลอยอยู่กับที่เป็นเวลานานโดยไม่ได้เอ่ยปากพูดอะไร ส่วนซ่งจื่อเซวียนก็ไม่ได้พูดต่อ ทำเพียงรินชาอีกถ้วยให้ท่านเป้ยเล่อ
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไร ท่านเป้ยเล่อก็พยักหน้าช้าๆ “งั้น…ฉันเข้าใจแล้ว”
ซ่งจื่อเซวียนเพียงแค่พยักหน้า ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไร อย่างน้อย…เขาก็ไม่อยากพูดหัวข้อนี้ต่อ
“ถ้างั้น…ตอนนี้นายดูแลบริษัทชิงอวี่เหรอ” ท่านเป้ยเล่อถาม
“อืม ใช่แล้วครับ”
“งั้นนายคงจะต้องเจอกับปัญหาไม่น้อย คุณซ่งกับฉันเคยคุยกันเกี่ยวกับเรื่องในบริษัทพวกนายแล้ว คนแก่พวกนั้นมีความคิดของตัวเอง นายต้องระวังหน่อย ถ้านายต้องการ…ก็โทรหาฉันได้ทุกเมื่อ ฉันกับคุณซ่งเป็นเพื่อนกัน ฉันจะช่วยนายเอง”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ ซ่งจื่อเซวียนก็ยิ้มอย่างพอใจ เขาคิดไม่ถึงว่าท่านเป้ยเล่อจะพูดกับเขาแบบนี้เพราะความสัมพันธ์ที่มีกับพ่อ
ในด้านศีลธรรมในวงการ ซ่งจื่อเซวียนขอยกนิ้วให้ความชอบธรรมของท่านเป้ยเล่อ
“ขอบคุณครับ ผมจะทำตามนั้น” ซ่งจื่อเซวียนกล่าว
ท่านเป้ยเล่อเผยสีหน้าเขินอายเล็กน้อยและพูดว่า “นี่มันน้ำเชี่ยวปะทะวัดพญามังกรจริงๆ งั้นการแข่งขันระหว่างเรา…”
“ต้องแข่งแน่นอน ผมอยากลิ้มรสข้าวผัดจักรพรรดิที่คนอื่นทำบ้างจริงๆ!” ซ่งจื่อเซวียนกล่าวด้วยรอยยิ้ม
……………………………………………………