เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 211 คุณต้องช่วยผม
ตอนที่ 211 คุณต้องช่วยผม
“เจ๊หง หมายความว่ายังไงครับ” ซ่งจื่อเซวียนเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม
หลี่ม่านหงก้มศีรษะลงพลางคลี่ยิ้ม “ก็ไม่ได้มีอะไรมากค่ะ สรุปคือ…ฉันทำเพื่อตัวคุณ ตอนนี้บรรยากาศข้างในไม่ค่อยดี คุณเข้าไปมีแต่จะเสียเปรียบ”
ซ่งจื่อเซวียนยิ่งไม่เข้าใจ ปกติหลี่ม่านหงคนนี้มักจะไว้หน้าหวงฟา และทั้งคู่ก็ดูสนิทสนมกันชัดเจน แต่ในเวลานี้…ดูเหมือนว่าเธอกำลังพูดเพื่อเขาอยู่
ซ่งจื่อเซวียนเงียบไปหลายวินาทีแล้วจึงเอ่ย “เหอะๆ เจ๊หง ขอโทษด้วยที่ต้องพูดตามตรง…คุณน่าจะเป็นคนของเสี่ยหวงไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมถึงพูดแบบนี้ล่ะครับ”
“ฉันไม่ใช่คนของใครทั้งนั้นค่ะ คนที่มาหอหงเยวี่ยของฉันก็คือลูกค้า ฉันต้องเป็นมิตรกับลูกค้าของฉัน รวมถึงคุณด้วยนายท่านรองซ่ง!”
หลี่ม่านหงพูดประโยคนี้อย่างจริงจัง ราวกับว่าเธอไม่ได้พูดล้อเล่นจริงๆ
ซ่งจื่อเซวียนใคร่ครวญ “เจ๊หง ผมต้องขอบคุณสำหรับความมีน้ำใจของคุณ แต่วันนี้ผมต้องขึ้นไปครับ!”
“คุณ…ทำไมคุณไม่ฟังฉันล่ะ ตอนนี้พวกเสี่ยหวงอยู่ข้างบนกันหมดแถมยังมีสื่อมวลชนอีกเยอะแยะ ถ้าคุณไปจะหันหลังกลับไม่ได้แล้วนะคะ!” หลี่ม่านหงพูดเกลี้ยกล่อมไม่หยุด
“หันหลังกลับเหรอ”
“คุณยังหนุ่มยังแน่น ครั้งนี้ท่านเป้ยเล่อท้าคุณ คุณต้องแพ้แน่ เหตุผลไม่ใช่เพราะรสชาติแต่เป็นเพราะสถานะของเขา” หลี่ม่านหงกล่าว
“แล้ว…เจ๊หงหมายความว่าจะให้ผมปฏิเสธคำท้างั้นเหรอ” ซ่งจื่อเซวียนเอ่ยถาม
หลี่ม่านหงพยักหน้า “ใช่ค่ะ การท้าครั้งนี้มันไม่ยุติธรรมอยู่แล้ว คุณจะสู้ได้ยังไง”
จากคำพูดเหล่านี้ ซ่งจื่อเซวียนเข้าใจแล้วว่าหลี่ม่านหงกำลังทำเพื่อประโยชน์ของตนจริงๆ แต่เหตุผลนั้น…เขาคิดไม่ออกจริงๆ
อันที่จริงคำพูดของหลี่ม่านหงยังเตือนซ่งจื่อเซวียนอีกด้วยว่าตราบใดที่เป็นการท้าสู้ต้องมีการตัดสินแพ้ชนะ ผู้ตัดสินล้วนแต่เป็นคนของท่านเป้ยเล่อแล้วนายจะเอาอะไรไปสู้
แต่ทันใดนั้นก็มีเสียงหนึ่งดังมาจากชั้นบน
“ทุกคนดูสิ เชฟข้าวผัดจักรพรรดิมาแล้ว!”
ไม่รู้ว่าใครเป็นคนตะโกน นักข่าวเจ็ดแปดคนก็รีบพุ่งออกจากห้องส่วนตัว เริ่มถ่ายรูปและบันทึกภาพตรงชั้นล่าง
“นี่คือเชฟข้าวผัดจักรพรรดิเหรอ”
“ใช่ ถูกแล้ว ฉันเคยเห็นเขาที่ต้าสือไต้มาก่อน คราวนี้ต้องถ่ายรูปเพิ่มแล้วเอาไปพาดหัวข่าวให้หมด”
เมื่อเห็นเหตุการณ์นี้ หลี่ม่านหงก็ถอนหายใจ “เฮ้อ สายไปแล้ว คุณน่ะ…ไม่ฟังฉันเลย”
ซ่งจื่อเซวียนทำอะไรไม่ถูก ข้อแรกเขาไม่รู้ว่าเหตุใดหลี่ม่านหงถึงดีกับเขา ข้อสองเขาตกใจกับสถานการณ์นี้จริงๆ ส่วนข้อสาม…เขากำลังไตร่ตรองคำพูดของหลี่ม่านหง
แต่ตอนนี้เมื่อเรื่องเป็นเช่นนี้แล้ว เขาเลือกได้เพียงขึ้นไปชั้นบนเท่านั้น แพ้ไม่ว่าเสียหน้าไม่ได้ ถ้าหนีตอนนี้…ซ่งจื่อเซวียนทำไม่ได้
ในห้องส่วนตัว ท่านเป้ยเล่อกำลังตอบคำถามของนักข่าวแต่ละคนอยู่ เมื่อเห็นนักข่าวทั้งหมดวิ่งออกไปและได้ยินสิ่งที่พวกเขาพูด เขาก็อดยิ้มออกมาไม่ได้
“หึ ไอ้เด็กนี่ยังกล้าเสนอหน้ามาอีกเหรอ เป็นพวกรุ่นใหม่จริงๆ แม้แต่คำท้าของท่านเป้ยเล่อก็ยังกล้ารับ!” หวงฟากล่าว
ท่านเป้ยเล่อส่ายหัวและยิ้ม “เสี่ยหวง คุณคิดผิดแล้ว ซ่งจื่อเซวียนทำข้าวผัดจักรพรรดิออกมาได้ก็ต้องไม่ธรรมดา เชฟแบบนี้ไม่มีทางปฏิเสธคำท้าแน่นอน”
“เอ๋ ท่านเป้ยเล่อ นายประเมินเขาสูงเกินไปมั้ง เขาเป็นแค่เด็กคนหนึ่งเอง!”
“เหอะๆ ในสายตาของเสี่ยหวงเขาเป็นแค่เด็ก แต่ในสายตาของผม…เขาเป็นคู่ต่อสู้ เป็นคู่ต่อสู้ของผมได้ เขาก็ไม่ใช่ไก่กาเลย!”
ขณะที่พูด ท่านเป้ยเล่อหยิบบุหรี่มวนหนึ่งออกมาจุด นั่งไขว่ห้างและเริ่มสูบบุหรี่เพื่อรอคู่ต่อสู้ของเขา
ในเวลานี้เอง พวกซ่งจื่อเซวียนเดินเข้าไปในไฉ่อวิ๋นเฟยโดยรายล้อมไปด้วยนักข่าว
เมื่อท่านเป้ยเล่อเห็นเขาก็อดชะงักไม่ได้ “เขางั้นเหรอ”
“ท่านเป้ยเล่อรู้จักเขาเหรอ” หวงฟาถาม
ท่านเป้ยเล่อเผยรอยยิ้มด้วยความสนใจ “รู้จักแน่นอน แล้วก็…ยังเป็นเพื่อนเก่ากันด้วย!”
“คุณท้าสู้ผมเหรอ”
เห็นซ่งจื่อเซวียน ท่านเป้ยเล่อก็ยิ้มแล้วเอ่ย “ฉันคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าจะเป็นนาย นายคือเชฟข้าวผัดจักรพรรดินี่เอง”
“บนโลกนี้มีสิ่งที่คุณคิดไม่ถึงเยอะแยะไม่ใช่เหรอ คุณก็คิดไม่ถึงว่าคุณทำให้คู่รักเลิกกันได้!” ซ่งจื่อเซวียนพูดด้วยรอยยิ้ม
ท่านเป้ยเล่อรู้ดีว่าเขาหมายถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในร้านอาหารตะวันตกครั้งที่แล้ว แต่เขาก็ไม่ใส่ใจและยังยิ้มเช่นเดิม
“เหอะๆ มันไม่สำคัญแล้ว เหตุผลหลักที่ฉันมาตู้เหมินครั้งนี้ก็เพื่อพบกับเชฟข้าวผัดจักรพรรดิ ตอนนี้ได้เจอกับนาย ฉันก็มีชัยไปกว่าครึ่งแล้ว” ท่านเป้ยเล่อพูดด้วยรอยยิ้ม
“งั้นเหรอ เหอะๆ คุณมั่นใจในตัวเองจริงๆ!”
ขณะที่พูด ซ่งจื่อเซวียนก็นั่งบนโซฟาใกล้ๆ
ท่านเป้ยเล่อยักไหล่ “อันที่จริง…นายทำให้ฉันผิดหวัง”
ซ่งจื่อเซวียนขมวดคิ้วเล็กน้อย “หือ? ทำไมล่ะ”
“ในจินตนาการฉัน เชฟข้าวผัดจักรพรรดิไม่ควรเป็นแบบนาย นาย…บุคลิกแย่เกินไป”
ได้ยินเช่นนี้ ซ่งจื่อเซวียนกลับหัวเราะออกมา “บุคลิกกับฝีมือการทำอาหารเกี่ยวข้องกันยังไงครับ”
ท่านเป้ยเล่อส่ายหัว “ก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกัน แต่นายดูไม่มีความมั่นใจเหมือนพวกเชฟที่เก่งๆ น่ะ”
“คุณคิดแบบนั้นผมก็ช่วยไม่ได้ ที่จริงผมก็ผิดหวังกับคู่ต่อสู้ของตัวเองมากเหมือนกัน ผมคาดไม่ถึงว่าเขาจะเป็นคนที่ยุ่งเรื่องชีวิตส่วนตัวของคนอื่น” ซ่งจื่อเซวียนกล่าว
หลังจากพูดประโยคนี้ ซางเทียนซั่วก็หัวเราะคิกคักอย่างอดไม่ได้ อาจารย์ก็คืออาจารย์ เผชิญหน้ากับท่านเป้ยเล่อจากปักกิ่งก็ยังสู้ขาดใจเหมือนเดิม เจ๋งมาก!
ท่านเป้ยเล่อพยักหน้าพลางยิ้มและไม่ได้สนใจอีก
“ซ่งจื่อเซวียน นายระวังปากไว้หน่อยจะดีกว่า นายอาจจะคิดว่าช่วงนี้นายทำได้ดี แต่จำไว้ว่าในสายตาของพวกเรา นายไม่ได้มีดีอะไรเลย!” หวงฟาเอ่ย
ซ่งจื่อเซวียนกระตุกยิ้ม “เสี่ยหวง ผมงงจริงๆ พวกคุณที่ว่านี่…หมายถึงใครเหรอ”
“นาย…”
สถานการณ์เช่นนี้หวงฟาเป็นผู้นำอย่างเห็นได้ชัด แต่ซ่งจื่อเซวียนไม่คิดจะยอมแพ้ให้ใครทั้งนั้น ยิ่งเป็นถิ่นของนาย ฉันก็ยิ่งจะไม่ให้นายรู้สึกว่าเหนือกว่า!
“ไอ้เด็กเวรรนหาที่ตาย!”
หวงฟายืนขึ้นพลางพับแขนเสื้อ นักข่าวที่อยู่ข้างๆ ต่างก็ฮือฮากันหมด
“เสี่ยหวง!”
จู่ๆ ท่านเป้ยเล่อก็ตะโกน หวงฟาจึงหยุดทันที
“คนชนชั้นสูงของตู้เหมิน…อย่างน้อยก็ต้องรักษากิริยาบ้างสิครับ”
หวงฟาได้ยินเช่นนั้นก็หายใจเข้าลึกๆ เพื่อให้รู้สึกดีขึ้นก่อนจะนั่งลงอีกครั้ง
“ซ่งจื่อเซวียน วันนี้ที่นายมา…ถือว่ายอมรับคำท้าของฉันใช่ไหม” ท่านเป้ยเล่อถาม
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้า “เป็นอย่างนั้นแหละ แต่…คุณบอกมาก่อนว่าจะตัดสินกันยังไง”
“ง่ายๆ หัวข้อคือข้าวผัดจักรพรรดิ คนที่มีคะแนนสูงสุดจะเป็นผู้ชนะ เงื่อนไขคือถ้าแพ้จะขายข้าวผัดจักรพรรดิไม่ได้อีก!” ท่านเป้ยเล่อเอ่ย
ซ่งจื่อเซวียนคลี่ยิ้ม “ผมเคยได้ยินกฎเกณฑ์นี้ คนที่แพ้ต้องปล่อยเมนูซิกเนเชอร์ทิ้งไป งั้นถ้าคุณแพ้ล่ะ”
“ไอ้หนู ท่านเป้ยเล่อจะแพ้ได้ยังไง ถึงเขาจะไม่ใช่เชฟ แต่ฝีมือการทำอาหารกลับดีกว่าที่นายคิด นายก็เตรียมพร้อมรับความพ่ายแพ้เถอะ!” หวงฟากล่าว
ซ่งจื่อเซวียนไม่สนใจและมองตรงไปที่ท่านเป้ยเล่อ
ท่านเป้ยเล่อคลี่ยิ้ม “เหมือนกัน ถ้าฉันไม่แข่งกับนายก็จะเปิดร้านขายข้าวผัดจักรพรรดิได้เหมือนกัน เพราะงั้น…ถ้าฉันแพ้ ฉันจะไม่ทำข้าวผัดจักรพรรดิอีกเด็ดขาด”
“ตกลง ถือว่ายุติธรรม แต่ว่า…จะตัดสินยังไง” ซ่งจื่อเซวียนถาม
เถียนเหวินคุ่ยที่อยู่ด้านข้างก็พูดขึ้นมา “เราจะเชิญนักชิมมืออาชีพจากสมาคมอาหารมาแสดงความคิดเห็น คนที่ได้คะแนนสูงสุดจะเป็นผู้ชนะครับ”
“ฮ่าๆๆ น่าขำจริงๆ คุณอยากแข่งกับผมแต่ตัดสินจากกรรมการที่คุณไปเชิญมางั้นเหรอ ถ้างั้นก็ตัดสินว่าผมแพ้ได้เลย!”
“ซ่งจื่อเซวียนคนนี้ถูกกำหนดให้แพ้แล้วไม่ใช่เหรอ งั้นจะแข่งทำไมอีก”
“ฉันคิดว่านี่คงจัดฉากไว้อย่างดีแล้วมั้ง หลอกลวงเกินไปแล้ว”
ได้ยินทุกคนพูดคุยกันเช่นนี้ ท่านเป้ยเล่อก็โบกมือ “ถ้าแบบนี้ไม่ได้ งั้นก็เอาอย่างนี้เถอะซ่งจื่อเซวียน เรามาแข่งกันในสถานที่เปิด แล้วเราจะสุ่มเลือกคนที่สัญจรไปมายี่สิบคน ให้พวกเขาตัดสินใจเองว่าจะลงคะแนนให้ใคร”
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้าช้าๆ “มันก็ได้อยู่หรอก แต่ผมหวังว่ามันจะเป็นการสุ่มจริงๆ นะครับ”
“ฉันรับประกันด้วยชื่อเสียงของฉันเลย”
“แล้วเรื่องเวลาล่ะ แข่งเมื่อไร” ซางเทียนซั่วที่อยู่ด้านข้างถามขึ้นมา
ท่านเป้ยเล่อครุ่นคิด “อีกสามวันฉันต้องกลับไปปักกิ่งและยังมีเรื่องต้องทำที่สถานีโทรทัศน์ งั้นพรุ่งนี้แล้วกัน!”
“เกรงว่าจะไม่ได้ พรุ่งนี้ผมมีธุระ มะรืนนี้แล้วกันครับ!” ซ่งจื่อเซวียนกล่าว
ท่านเป้ยเล่ออดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว วันมะรืนนี้เขาต้องให้สัมภาษณ์กับสถานีโทรทัศน์ เนื่องจากเขารับหน้าที่เป็นผู้ตัดสินการแข่งขันทำอาหาร
หลังจากครุ่นคิดสักพักเขาก็เอ่ย “โอเค ฉันจะจัดเวลาทำธุระของฉันเอง นายก็เหมือนกันนะ เรามาแข่งขันกันวันมะรืนนี้ จะเปลี่ยนเวลาไม่ได้แล้วนะ”
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้า “ไม่มีปัญหา!”
คืนนั้น ข่าวที่ซ่งจื่อเซวียนยอมรับคำท้าของท่านเป้ยเล่อก็ดังไปทั่วทุกหนทุกแห่ง
ไม่ว่าจะเป็นในโมเมนต์หรือเวยป๋อ ตราบใดที่เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐหรืออินฟลูเอนเซอร์จากตู้เหมินก็ล้วนพูดถึงข่าวเรื่องนี้
ในห้องหนังสือ
เฮ่อเหว่ยกำลังขมวดคิ้วและสูบบุหรี่ ไฟบุหรี่ในมือมอดไปนานแล้ว ในที่สุดก็หักลงบนโต๊ะ
“พ่อครับ ซ่งจื่อเซวียนกำลังเป็นที่สนใจแล้ว เขาจะท้าสู้อะไรสักอย่าง แถมยังเป็นระหว่างปักกิ่งกับตู้เหมิน…”
เฮ่อเหยียนข่ายดูโทรศัพท์และกัดฟันกรอดด้วยความเกลียดชัง
“ให้มันเล่นไปเถอะ ถ้ามันเล่นอะไรพวกนี้แล้วลืมเรื่องที่บริษัทได้ เราจะได้หายใจหายคอได้บ้าง” เฮ่อเหว่ยเอ่ย
“หืม พ่อหมายความว่ายังไง”
“ไอ้แก่ฉินจ้งนั่นไร้ประโยชน์แล้ว โดนซ่งจื่อเซวียนเขี่ยทิ้ง ฉันก็ไม่อยากเป็นนายท่านฉินลิ่วคนต่อไปหรอกนะ” เฮ่อเหว่ยสูดหายใจเข้าลึก
“ไอ้หมอนี่โหดเหี้ยมจริงๆ…แต่พ่อครับ ผมทนต่อไปไม่ไหวแล้ว” เฮ่อเหยียนข่ายกล่าว
เฮ่อเหว่ยยักไหล่และแสยะยิ้ม “แกทนไม่ไหวเหรอ แล้วคิดว่าฉันจะทนไหวหรือไง แต่ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาที่เหมาะสม ช่วงเวลาสำคัญแบบนี้…ซ่งจื่อเซวียนกำลังตรวจสอบกิจการระดับล่างของบริษัท ดีไม่ดีสักวันอาจจะมาถึงตลาดเขตเฉิงหนานของเรา”
เฮ่อเหยียนข่ายใคร่ครวญหลังจากได้ยิน “โอ๊ะ ที่จริงนี่…เป็นเรื่องดีนะครับพ่อ ถ้ามันกล้ามา เราก็อาจจะใช้โอกาสนี้โจมตีมันให้หนักได้”
เฮ่อเหว่ยหันไปมองลูกชาย “เด็กน้อยอย่างแกอย่าพูดซี้ซั้วสิ”
“หึ ในตลาดมีเรื่องวุ่นวายเป็นปกติ ถ้ามีคนสั่งสอนมันโหดๆ จริงๆ ก็ไม่เกี่ยวอะไรกับเราหรอกครับ”
เฮ่อเหว่ยชะงักกับคำพูดของเฮ่อเหยียนข่าย “ดูเหมือนจะ…มีเหตุผลอยู่บ้างแฮะ”
ซ่งจื่อเซวียนเย่อหยิ่งขนาดนี้ คิดจะยืมมือคนอื่นมาสั่งสอนเขาจริงๆ ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้
เมื่อคิดเช่นนี้ เฮ่อเหว่ยก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วกดเบอร์โทร
“เสี่ยเจียง ผมเฮ่อเหว่ยเองนะ เหอะๆ คราวนี้…คุณต้องช่วยผม!”
…………………………………………..