เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 208 แกถือดีอะไร
ตอนที่ 208 แกถือดีอะไร
ซ่งจื่อเซวียนลงจากรถก็เดินเข้าไปในร้านอาหารฟาสต์ฟู้ดแห่งหนึ่งข้างทาง
ร้านอาหารฟาสต์ฟู้ดปิดไปแล้ว อีกทั้งบนประตูกระจกยังแปะไว้ว่า ‘เซ้งร้าน’ ถังหย่าฉีนั่งอยู่ตรงที่นั่งว่างและกำลังเล่นโทรศัพท์อย่างเบื่อหน่าย
ซ่งจื่อเซวียนผลักประตูเดินเข้าไป ถังหย่าฉีเหลือบตามองเขาแวบหนึ่ง สะบัดหน้าหนีไปทันที เห็นได้ชัดว่ายังโมโหอยู่
“แม่ทูนหัว ยังโกรธอยู่อีกเหรอ ฉันก็มาแล้วไม่ใช่เหรอ” ซ่งจื่อเซวียนพูด
ถังหย่าฉีมุ่ยปากเล็กๆ “ฉันต้องโกรธอยู่แล้วสิ สองวันนี้นายไปทำอะไรมา โทรหาก็ปิดเครื่อง ร้านอาหารก็ไม่อยู่!”
“ฉัน…ไปจัดการพวกเรื่องส่วนตัวน่ะสิ”
ซ่งจื่อเซวียนไม่อยากพูดเรื่องที่บ้านของตัวเองออกมา เพราะในสายตาคนอื่น เขาไม่มีพ่อ
“เรื่องส่วนตัวเหรอ”
ได้ยินดังนั้น ถังหย่าฉีก็เงยหน้าขึ้นมองซ่งจื่อเซวียน สายตาแฝงไปด้วยความสงสัยอย่างเห็นได้ชัด
“ธะ เธอมองอะไรของเธอเนี่ย”
ถังหย่าฉีไม่สนใจ ขมวดคิ้วเดินวนรอบตัวซ่งจื่อเซวียนเพื่อพิจารณารอบหนึ่ง
“เธอหยุด…หยุดดูได้แล้วน่า มองซะฉันอึดอัดแล้วเนี่ย” ซ่งจื่อเซวียนอดพูดไม่ได้
ถังหย่าฉีขมวดคิ้ว “นายบอกมาตรงๆ เลย ไปทำอะไรมา แถมยังเป็นเรื่องส่วนตัวอีก…นี่ไปจีบสาวมาใช่ไหมเนี่ย”
ซ่งจื่อเซวียนกลอกตาอย่างจนใจ “เฮ้อ นี่เธอประสาทกลับหรือเปล่าเนี่ย ฉันมีเวลาว่างไปทำเรื่องแบบนั้นที่ไหนเล่า”
“ไม่สิ หลายวันก่อนฉันดูโมเมนต์ของเพื่อนคนหนึ่ง บอกว่าเวลาผู้ชายมีความรัก ก็จะยกเวลาทั้งหมดให้กับผู้หญิงคนนั้น บอกมาตรงๆ เลยว่าใช่ไหม ไปติดผู้หญิงที่ไหนมา”
ซ่งจื่อเซวียนก็มึนงง ต้องคารวะจินตนาการของผู้หญิงจริงๆ เป็นตุเป็นตะ
“ช่างเถอะ เรามาดูร้านกันเถอะ” ซ่งจื่อเซวียนมองสภาพแวดล้อมรอบๆ เล็กน้อย หน้าร้านไม่ใช่เล็กๆ “การตกแต่งแบบนี้พอใช้ได้ น่าจะไม่ต้องทำอะไรเยอะ ชั้นสองเป็นไงบ้าง”
“ฉันจะบอกนายให้นะซ่งจื่อเซวียน นายไม่ต้องมาเปลี่ยนเรื่องเลย ถ้านายไม่อธิบายมาให้ละเอียด วันนี้ฉันก็จะไม่ดูร้านนี่แล้ว!”
ถังหย่าฉีพูดพลางกอดอก ทำท่าทางไม่พอใจ
ซ่งจื่อเซวียนกัดริมฝีปาก สองมือจับไหล่ถังหย่าฉีทันที
พอประคอง ถังหย่าฉีกลับสะดุ้งตกใจ มองซ่งจื่อเซวียน ไม่ได้หลบและก็ไม่ได้พูดอะไร อึ้งอยู่อย่างนั้น
“หย่าฉี เรื่องพวกนี้ฉันไม่สะดวกจะพูดกับเธอเท่าไร เพราะเป็นเรื่องในครอบครัวฉัน เราดูร้านก่อนโอเคไหม”
ถังหย่าฉีพยักหน้าเหมือนเป็นหุ่นยนต์ ดูจะยังตะลึงไม่หาย
อยู่กับซ่งจื่อเซวียน เธอรู้สึกเหมือนมีเวทมนตร์ชวนให้หลงใหล
นอกจากครั้งก่อนที่โดนเฮ่อเหยียนข่ายวางยา เธอก็ไม่ได้จับมือหรือเคยโดนผู้ชายคนไหนโอบไหล่อีก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการเผชิญหน้าแบบนี้
ถ้าคนอื่นกล้าทำแบบนี้ เธอคงจะโวยวายไปแล้ว แต่กับซ่งจื่อเซวียน…เธอกลับไม่ได้ทำอะไร
จากนั้น ซ่งจื่อเซวียนก็ไปดูชั้นสอง ไม่ค่อยกว้างขวางเท่าไร แต่เนื่องจากไม่มีเคาน์เตอร์บาร์ จึงสว่างมากกว่าอย่างเห็นได้ชัด
เขาใคร่ครวญครู่หนึ่ง ชั้นหนึ่งทำอาหารรัสเซีย ชั้นสองทำอาหารจีน ไม่มีเหมาะสมไปมากกว่านี้แล้ว ที่ทำอาหารจีนชั้นสองเป็นเพราะชั้นสองเหมาะจะทำเป็นห้องส่วนตัว
อย่างไรร้านอาหารจีนระดับไฮเอนด์ก็ยังควรต้องมีห้องส่วนตัว ยิ่งไปกว่านั้นเขาคิดว่าจะพยายามดันน้ำแกงเกล็ดปลาทองห้าสายที่นี่ เช่นนั้นก็ยิ่งต้องการห้องส่วนตัวไปใหญ่
ส่วนที่ทำอาหารรัสเซียตรงชั้นหนึ่ง ซ่งจื่อเซวียนก็คิดจะทำเป็นการต่อยอด ขอแค่น้ำแกงเกล็ดปลาทองห้าสายโด่งดังได้ อาหารรัสเซียก็ไม่มีปัญหาอะไรแล้ว
แต่จำเป็นต้องมีอาหารรัสเซียเพราะเป็นปัจจัยสำคัญในการดึงดูดลูกค้าช่วงแรก เป็นกรณีเหมือนกับร้านอาหารตะวันตกเอมโอช ถึงทำเลจะแย่มาก แต่มีลูกค้าไหลเวียนไม่ขาดตอนเลย
“จื่อเซวียน เป็นไงบ้าง ค่าเช่าล้านสองต่อปีโอเคอยู่ใช่ไหม”
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้า “ไม่มีปัญหา ทำกำไรได้ หย่าฉี เธอติดต่อให้พวกเขาเตรียมเซ็นสัญญาเถอะ ส่วนเงินทุน…ทางฉันจะหาทางเอง”
“ที่ตัวฉันยังมีอยู่สองสามแสน ถ้านายลำบาก เรารวมเงินกันก็ได้นะ”
ซ่งจื่อเซวียนยิ้ม “ไม่ต้องแบ่งกันชัดขนาดนั้นหรอก ให้ถือว่าเธอยืมฉันไม่ใช่หรือไง ถึงเวลามีเงินแล้วค่อยคืนฉันก็ได้”
“หา? เอ่อ…หย่าฉี ฉันไม่ได้ไปเซ็นสัญญากับเธอนะ ถึงตอนนั้นฉันไปเอาเงินออกมาก็พอแล้ว ทางฉันยังมีธุระนิดหน่อยต้องไปแล้วล่ะ” ซ่งจื่อเซวียนพูด
“จะทำแบบนั้นได้ยังไง นายเป็นเถ้าแก่นะ นายไม่อยู่ ฉันเซ็นเองมันใช้ได้ที่ไหน” ถังหย่าฉีพูดอย่างโกรธเคืองทันที
ซ่งจื่อเซวียนครุ่นคิด “เอาอย่างนี้ ตอนนี้ฉันต้องไปยืมเงินก่อน ถ้าไม่ยืมเงินมาเธอจะเอาเงินที่ไหนไปจ่ายค่าเช่าล่ะ ไม่มีเงินจะเปิดร้านยังไง”
ถังหย่าฉีได้ยินก็พยักหน้าทันที “อ้อ อย่างนี้นี่เอง งั้นนายรีบไป อย่ามัวโอ้เอ้ ยังไงถ้าเราหาเงินมาได้ก็จะคืนเขาทันที!”
ซ่งจื่อเซวียนยิ้ม กับเด็กสาวคนนี้…ได้แต่บอกไปแบบนี้เท่านั้น
พวกเขารีบร้อนออกมาและตรงไปที่บริษัทชิงอวี่
มาถึงบริษัท ซ่งจื่อเซวียนก็เห็นว่ามีรถจอดอยู่ในลานบริษัทสองสามคัน ท่าทางคนพวกนั้นจะมาถึงนานแล้วจริงๆ
ในห้องประชุม ถึงซ่งจื่อเซวียนจะปล่อยให้รอเกือบชั่วโมง แต่วันนี้ฉินจ้งกลับไม่ได้โกรธเคือง
กลับกัน คนที่กังวลคือซ่งอวิ๋นหล่าง เจ้าเจี้ยนและจั่วอู่
สำหรับซ่งอวิ๋นหล่างแล้ว สองสามวันนี้ก็ยุ่งกับงานอยู่ตลอด เขาโยกย้ายเงินของตลาดไปไม่น้อยแล้ว
เพราะหากยกบริษัทให้ฉินจ้งจริงๆ เขาก็อันตราย เขาเชื่อว่าตาแก่นี่จะเขี่ยเขาทิ้งอย่างแน่นอน
ส่วนจั่วอู่และเจ้าเจี้ยนก็กังวลเหมือนกัน เดิมคิดว่าเจอที่พึ่งอันแข็งแกร่งยิ่งกว่าแล้ว อีกทั้งยังเป็นผู้บริหารสูงสุด ใครจะไปคิดว่าสถานการณ์เปลี่ยนไปตอนที่ตนเพิ่งจะเลือกข้าง
นายท่านฉินลิ่วหยิบยกความเป็นผู้อาวุโสมากดซ่งจื่อเซวียน ตอนนี้จากที่พวกเขาจะได้เปรียบก็พลันเสียเปรียบไปแล้วจริงๆ
หนึ่งในนั้นคือไม่มีการรับประกันตำแหน่ง หลังจากนี้ยังจะอยู่ในบริษัทได้อีกกี่วันก็ไม่รู้แน่ชัดเลย
ดังนั้น ตอนนี้สถานการณ์ในห้องประชุมจึงนับว่าครึ่งหนึ่งแจ่มใสครึ่งหนึ่งอึมครึม
แจ่มใสย่อมบ่งบอกถึงฉินจ้งกับเฮ่อเหว่ย
พอเฮ่อเหว่ยเข้ามาในห้องประชุมก็เริ่มหลับตาทำสมาธิจนถึงตอนนี้ ส่วนฉินจ้งก็ไม่ได้รีบร้อน นั่งเล่นวอลนัตอย่างสบายอกสบายใจ
อีกทั้งจุดที่สำคัญที่สุดคือวันนี้ฉินจ้งนั่งที่ตำแหน่งประธานแล้ว
สำหรับเขาแล้ว ตอนนี้นับว่าเตรียมตัวมาเป็นอย่างดี มั่นใจร้อยเปอร์เซ็นต์แล้ว วันนี้ที่เขามาก็เพื่อคว้าตำแหน่งนี้
พวกซ่งจื่อเซวียนเข้ามาในบริษัทก็ตรงขึ้นมาชั้นสอง ตอนที่เพิ่งถึงชั้นสอง ก็เห็นตรงทางเดินหน้าประตูห้องประชุมมีชายสวมชุดสูทอยู่หกเจ็ดคน
ซ่งจื่อเซวียนเข้าใจในทันทีว่านี่คือคนของฉินจ้ง
ไอ้แก่กะโหลกกะลานี่มีบทเรียนจากครั้งก่อนแล้ว ทุกครั้งที่มาก็จะพาคนมาด้วยหกเจ็ดคน
แต่พูดถึงอีกมุมหนึ่ง นี่ก็คือเขาไม่ให้เกียรติ ไม่ว่าจะเป็นซ่งอวิ๋นฮั่นหรือซ่งจื่อเซวียน อย่างน้อยเขาก็ไม่ให้เกียรติบริษัท!
พวกเขาเดินผ่านชายสวมสูทก็ไม่มีใครรั้งตัวไว้ แต่มีบางคนกลับจ้องตาฟางรุ่ยแวบหนึ่ง ตอนที่สบตากันก็จดจ้องอย่างดุดัน ไม่ยอมถอยเลยแม้แต่น้อย
ขณะที่ในห้องประชุมเงียบสงบ ประตูก็เปิดออก ซ่งจื่อเซวียนเดินเข้ามา
เพียงแวบแรกเขาก็เห็นว่าฉินจ้งนั่งอยู่ที่ตำแหน่งประธาน ใจเต้นแรงเล็กน้อย แต่ไม่นานก็กลับมาเป็นปกติ
บางทีอาจจะเป็นเพราะเรื่องคราวก่อน ซ่งจื่อเซวียนเดินเข้ามาจึงไม่มีใครทักทายเขาแม้แต่คนเดียว
ราวกับทุกคนเข้าใจกันหมดแล้วว่าวันนี้หมายถึงอะไร ก็คือเปลี่ยนมือเหมือนที่ซ่งจื่อเซวียนพูดเมื่อสองวันก่อน!
การเปลี่ยนมือครั้งนี้ ก็หมายถึงเปลี่ยนจากบริษัทของตระกูลซ่งเป็นบริษัทของนายท่านฉินลิ่วฉินจ้งคนนี้ เปลี่ยนเจ้าของแล้ว!
เดินเข้าไปใกล้ฉินจ้ง ซ่งจื่อเซวียนก็ไม่ได้นั่งตรงที่นั่งลำดับถัดไป เขาไม่ได้นั่งลงส่งๆ
“นายท่านลิ่ว ตำแหน่งของคุณนี่…นั่งผิดหรือเปล่าครับ”
ฉินจ้งเงยหน้ามองเขา “เหอะๆ ไอ้หนู นายอายุยังน้อยแต่ความจำไม่ค่อยดีแล้วใช่ไหมเนี่ย การโหวตคราวก่อนตัดสินแล้วนี่ว่าฉันจะเป็นคนบริหารบริษัท”
ซ่งจื่อเซวียนยิ้ม “อย่างน้อยในระหว่างที่ผมยังไม่ได้โอนย้ายอะไรให้คุณ ผมก็ยังคงเป็นเถ้าแก่ของที่นี่ ตำแหน่งนี้…ควรเป็นที่นั่งของผม”
“ฮ่าๆๆ เด็กก็คือเด็ก นายยังไม่อยู่กับปัจจุบันอีกเหรอ”
“งั้นคุณก็ยังไม่อยู่กับปัจจุบันเหรอครับ” ซ่งจื่อเซวียนพูดพลางถลึงตา แววตาเหี้ยมโหดถึงขีดสุด
“รุ่ยจื่อ นายท่านลิ่วเดินเหินไม่สะดวก ช่วยพยุงเขาขึ้นมาหน่อย!”
“ครับ!”
สิ้นเสียง ฟางรุ่ยก็ก้าวเข้าไป จับแขนของฉินจ้งเอาไว้ ออกแรงเล็กน้อย ฉินจ้งก็ร้องโอดโอยทันที ถูกอีกฝ่ายลากไป
“ไอ้หนู แก”
ไม่รอให้เขาพูดจบ พอฟางรุ่ยลาก ก็ลากเขาไปไว้อีกด้าน ออกแรงดันทีก็ดันให้เขานั่งลงตรงที่นั่งได้
และตำแหน่งที่นั่งนั้น ก็เป็นตำแหน่งของฉินจ้งก่อนหน้านี้พอดี
ตอนนี้เองทุกคนก็อึ้งไป ซึ่งรวมถึงเฮ่อเหว่ยด้วย ไม่รู้ว่าซ่งจื่อเซวียนเป็นอะไรไป
จากครั้งก่อนอีกฝ่ายดูยอมแพ้แล้ว แต่จู่ๆ ก็ใช้สไตล์ก่อนหน้านี้เริ่มใช้ความรุนแรงอีก ทำให้เขาไม่เข้าใจ
แต่คิดๆ ดูแล้ว เฮ่อเหว่ยกลับเผยรอยยิ้ม
เจ้าของบริษัทเปลี่ยนมือแน่นอน อย่างไรซ่งจื่อเซวียนก็เป็นผู้เยาว์ นี่ถือเป็นการระบายโทสะก่อนที่จะพ่ายแพ้ละมั้ง
หน้าตาของผู้อ่อนแอ!
“ซ่งจื่อเซวียน แกจะคัดค้านหรือไง ฉันว่าเด็กอย่างแกคงคันสินะ! เข้ามาสิ!”
ฉินจ้งพูดจบ พวกชายชุดสูทก็พุ่งเข้ามาในห้องประชุม แต่ละคนมองซ้ายขวาอย่างโหดเหี้ยม
ทุกคนตึงเครียดขึ้นมา เหมือนกับเข้าใจว่าวินาทีถัดจากนี้จะเกิดอะไรขึ้น
เห็นได้ชัดว่าฉินจ้งจะเก็บคนรุ่นหลังอย่างซ่งจื่อเซวียนคนนี้แล้ว
ซ่งอวิ๋นหล่างสีหน้าลำบากใจ พูดว่า “จื่อเซวียน ไม่งั้น…นายก็ยอมรับผิดไป ไม่ปะทะได้ก็อย่าปะทะเลย”
“หึ สายไปแล้ว คราวก่อนแกโดนท่อสูบบุหรี่ของฉันฟาดไปแล้ว ฉันนึกว่าเด็กอย่างแกจะเปลี่ยนไป คิดไม่ถึงว่าจะยังมีพฤติกรรมอย่างนี้อยู่ ไอ้หนู แกไม่ฉลาดเหมือนพ่อแกเลยนะ”
ซ่งจื่อเซวียนได้ยินก็ถลึงตาทันที ใจเขา ไม่ยอมให้คนพวกนี้พูดถึงเรื่องซ่งอวิ๋นฮั่นง่ายๆ อีกตั้งนานแล้ว แต่ฉินจ้งดันแตะฟางเส้นสุดท้ายของเขา
“นายท่านลิ่ว ถ้าคุณไม่พูดผมก็ลืมไปหมดแล้วนะเนี่ย คราวก่อนผมโดนท่อสูบบุหรี่ของคุณฟาดใช่ไหม”
ฉินจ้งแค่นเสียงเย็น เชิดหน้าขึ้นพูดว่า “ถูกต้อง! เด็กอย่างแกไม่น่าจะจำไม่ได้นะ ดูท่าจะเบาไป ต้องโดนแรงอีกหน่อยถึงจะจำได้!”
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้า “นายท่านลิ่วพูดถูก รุ่ยจื่อได้ยินหรือยัง”
“ครับนายท่าน!”
ซ่งจื่อเซวียนแค่นหัวเราะ “ฉินจ้ง เดิมทีผมคิดว่าจะไว้หน้าคุณ เรื่องวันนี้ใช้ปากแก้ปัญหาได้ แต่ในเมื่อตอนนี้คุณอยากโดนกระทืบ ผมก็จะสนองให้!”
ฉินจ้งได้ยินก็หัวเราะลั่น “ฮ่าๆๆ ไอ้หนู แกโง่ไปแล้วหรือไง ฉันจะโดนกระทืบเรอะ แกถือดีอะไรมากระทืบฉันล่ะ”
“รุ่ยจื่อ บอกนายท่านลิ่วไปซิว่าฉันถือดีอะไร!”
สิ้นเสียงซ่งจื่อเซวียน รุ่ยจื่อก็เดินขึ้นหน้าเงื้อมือตบไปฉาดหนึ่ง
การตบนี้ใส่พลังจนสุด ฉินจ้งโดนฝ่ามือตบจนตกจากเก้าอี้ลงไปกองกับพื้น มุมปากมีเลือดไหลออกมาทันที
“แม่งเอ๊ย จัดการ!” ฉินจ้งป้องปากพูด
พวกชายสวมสูทด้านหลังพุ่งเข้ามาหาฟางรุ่ยทั้งหมด ส่วนฟางรุ่ยก็ไม่ยอมถอยเลยแม้แต่น้อย วอร์มข้อมือ เหมือนกับรอไม่ไหวแล้ว พุ่งเข้าไปหาอีกฝ่าย
ตอนนี้ ทุกคนในห้องประชุมงุนงงไปหมดแล้ว…
……………………………………