เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 207 ท้าสู้
ตอนที่ 207 ท้าสู้
หลี่ม่านหงเคยชิมข้าวผัดจักรพรรดิมาก่อน อีกทั้งยังเป็นลูกค้าตัวยงของข้าวผัดจักรพรรดิ
เพียงแต่ด้วยสถานะ เธอไม่สามารถไปต่อคิวกินบ่อยๆ เหมือนคนอื่นได้ จึงสั่งคนของหอหงเยวี่ยไปช่วยซื้อกลับมาให้
ถึงจะเป็นเช่นนี้ แต่อย่างน้อยเธอต้องได้กินอาทิตย์ละครั้ง
ดังนั้นเมื่อได้กลิ่นที่คุ้นเคย หลี่ม่านหงก็ตกใจทันที เธอไม่มีทางเชื่อว่าบนโลกใบนี้จะมีคนที่สองที่สามารถทำข้าวผัดจักรพรรดิออกมาได้
ท่านเป้ยเล่อไม่ได้สนใจ สนใจอยู่แต่กับอาหารที่ผัดอยู่ในกระทะ
ไม่นานนัก เขาก็เทข้าวออกจากกระทะใส่จาน มองดูข้าวผัดในจาน ท่านเป้ยเล่อก็ยิ้ม
“เหอะๆ เครื่องครัวของหอหงเยวี่ยหรูหราจริงๆ เพียงแต่เอามาใช้ทำข้าวผัดจักรพรรดิยังแย่ไปหน่อย ขาดรสชาติเล็กน้อย”
“กลิ่นนี่…ไม่แย่เลย เหอะๆ ท่านเป้ยเล่อ คงจะเข้าใจเรื่องการทำอาหารมากเลยสินะคะ”
“แค่เล่นๆ เท่านั้นเอง เราเอาไปให้พวกเสี่ยหวงลองชิมกันเถอะ”
ท่านเป้ยเล่อพูดพลางถอดผ้ากันเปื้อนออก ส่วนหลี่ม่านหงยกจานไปอย่างกระตือรือร้น
ปกติที่หอหงเยวี่ย งานพวกนี้ล้วนเป็นเรื่องของพนักงานครัวด้านหลัง แต่วันนี้การถือจานให้ท่านเป้ยเล่อ หลี่ม่านหงยินดีอย่างยิ่ง
ในห้องส่วนตัว หวงฟากำลังพูดคุยกับเถียนเหวินคุ่ยอยู่ ทั้งสองไม่รู้ว่าอาหารที่ท่านเป้ยเล่อทำเล่นๆ อย่างกะทันหันแบบนี้จะออกมาเป็นอะไร
“เสี่ยว่าท่านเป้ยเล่อทำแบบนี้หมายความว่ายังไงครับ เท่ากับไม่คิดจะช่วยเราใช่ไหมครับ”
หวงฟาครุ่นคิด “ฉันโดนเขาปั่นซะจนหัวหมุนไปหมด ใครจะไปรู้ว่านี่หมายความว่ายังไง คุยกันอยู่ดีๆ จู่ๆ ก็อยากโชว์ฝีมือ…”
“ถ้าเขาไม่คิดจะเข้ามาสอดมือเรื่องนี้จริงๆ เสี่ยครับ ผมว่าคำพูดของโจวเผิงนั่นก็พอฟังได้นะครับ” เถียนเหวินคุ่ยพูด
หวงฟาพยักหน้า “ใช่ ในเมื่อไม่ต้องลงมือเองก็ได้กำไร อีกทั้งที่สำคัญที่สุดคือยังสอดส่องความสามารถของซ่งจื่อเซวียนอยู่ข้างๆ ได้ แต่ว่า…ฉันยังอยากจะลองถามท่านเป้ยเล่อดู ถึงยังไงเขาก็ไม่ได้สะบัดตูดไปเลยไม่ใช่เหรอ”
เถียนเหวินคุ่ยได้ยินก็ถอนหายใจ สำหรับเขาแล้ว เรื่องนี้ไม่มีโอกาสไปแล้วแปดสิบเปอร์เซ็นต์
ขณะที่พูดคุยกัน ท่านเป้ยเล่อกับหลี่ม่านหงก็เดินเข้ามา
“รอนานหรือเปล่าครับเสี่ยหวง” ท่านเป้ยเล่อถามด้วยรอยยิ้มพลางเดินไปนั่งที่
ไฉ่อวิ๋นเฟยเป็นห้องที่ใหญ่ที่สุด ไม่เพียงแค่มีโต๊ะน้ำชา โซฟาและห้องน้ำ ยังมีห้องรับประทานอาหาร สิ่งเหล่านี้อยู่ในห้องส่วนตัวห้องหนึ่งทั้งหมด
“ไม่หรอกๆ น้องชาย ก็รอนายนั่นแหละ มาสิ เรามาดื่มกันเถอะ” หวงฟาพูดพลางยกแก้วขึ้น
“เหอะๆ ไม่ต้องรีบหรอก เสี่ยหวงลองชิมอาหารจานนี้ก่อนสิ”
ขณะที่ท่านเป้ยเล่อพูด หลี่ม่านหงก็นำข้าวผัดไปวางบนโต๊ะ หวงฟากับเถียนเหวินคุ่ยชะงัก ไม่รู้ว่าท่านเป้ยเล่อมีเจตนาอะไรกันแน่
แต่เมื่อกลิ่นอาหารลอยออกมา เถียนเหวินคุ่ยก็อึ้งไปโดยไม่รู้ตัว “นี่มัน…ข้าวผัดจักรพรรดิเหรอ”
หวงฟาได้ยินก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย “อะไรนะ ข้าวผัดจักรพรรดิเหรอ”
เถียนเหวินคุ่ยเคยชิมข้าวผัดจักรพรรดิมาครั้งหนึ่ง แต่หวงฟากลับไม่เคยกินมาก่อน สำหรับเขาแล้ว อาหารจะดีสักแค่ไหนก็ไม่ถึงขนาดต้องขายในราคาเก้าร้อยหยวนต่อหนึ่งที่หรอก
อีกทั้งตัวเขาเองก็ทำธุรกิจอาหาร ก้นบึ้งของจิตใจต่อต้านข้าวผัดจักรพรรดิ จึงไม่เคยชิมมาตลอด
“ใช่แล้วค่ะเสี่ย กลิ่นข้าวผัดจักรพรรดิเป็นแบบนี้”
หลี่ม่านหงแจกถ้วยสามถ้วยวางไว้ตรงหน้าคนทั้งสาม ถึงขั้นทำให้เธอบริการด้วยตนเองได้ เกรงว่าจะมีแค่ในไฉ่อวิ๋นเฟยนี่เท่านั้น
หวงฟาชิมหนึ่งคำ สีหน้าท่าทางเปลี่ยนไป เขาเบิกตากว้างอึ้งอยู่นานไม่พูดอะไรออกมาสักประโยค
ส่วนท่านเป้ยเล่อกลับยิ้มเล็กน้อย “เป็นยังไงบ้างครับเสี่ยหวง”
“นี่ก็คือข้าวผัดจักรพรรดิเหรอ ฉันไม่เคยชิมมาก่อน แต่ว่า…ฉันไม่เคยกินอาหารที่อร่อยขนาดนี้เลยจริงๆ”
ขณะที่หวงฟาพูด ท่าทางทั้งหมดยังคงอึ้งอยู่ พอพูดจบ เขาก็วางตะเกียบลง หยิบช้อนมาเริ่มกินทันที
“ท่านเป้ยเล่อ คุณทำข้าวผัดจักรพรรดิได้ด้วยเหรอครับ” เถียนเหวินคุ่ยถามอย่างตกใจ
“เหอะๆ ก็แค่ทำเล่นๆ ข้าวผัดจักรพรรดินี่…ยากมากเหรอ”
ได้ยินดังนั้น หวงฟากับเถียนเหวินคุ่ยก็ใจสั่นไปหมด
อาหารยอดนิยมของเมืองตู้เหมินที่ไม่มีใครแกะสูตรออกมาได้ กลับดูง่ายดายจากปากของท่านเป้ยเล่อแบบนี้
ได้ยินประโยคนี้ หวงฟาก็เข้าใจ พูดว่า “น้องชาย ในเมื่อนายมีฝีมือแบบนี้…ช่วยฉันได้ไหม ในเมืองตู้เหมิน ถ้าเอาซ่งจื่อเซวียนไม่ลง ฉันก็มีชีวิตอยู่ต่อไปไม่ได้จริงๆ!”
ท่านเป้ยเล่อยิ้ม “เหอะๆ เสี่ยหวง ตอนที่โทรมา เสี่ยก็ไม่ได้พูดถึงนี่ ผมไม่รู้จริงๆ ว่าคู่แข่งของเสี่ยจะเป็นเชฟข้าวผัดจักรพรรดินี่”
หวงฟาได้ยินก็ถอนหายใจ “น้องชาย พี่ก็หมดหนทาง เรื่องนี้สำหรับนายก็แค่เล่นๆ แต่สำหรับฉันมันใหญ่โตมาก ฉันไม่รู้ว่าจะพูดกับนายยังไง”
“เอาล่ะ เรื่องนี้คุณก็อย่าลำบากใจไป ที่จริงผมมาครั้งนี้ก็เพราะมาเป็นแขกรับเชิญให้กับรายการโทรทัศน์รายการหนึ่งของตู้เหมิน ตู้เหมินของพวกคุณจัดทำการแข่งขันยอดเชฟรู้หรือเปล่าครับ”
ทั้งสองพยักหน้า หวงฟาพูด “ใช่แล้ว ได้ยินมาบ้าง แต่ว่าเหมือนว่าขนาดไม่ใหญ่เท่าไร”
“ขนาดไม่ใหญ่ แต่หลายปีมานี้ภาครัฐของตู้เหมินไม่ได้ทุ่มเทด้านอาหารเท่าไร นี่ก็นับว่าเป็นประวัติการณ์แล้ว ที่จริงถือเป็นแรงผลักดันวงการอาหารตู้เหมินไม่น้อยเลย” ท่านเป้ยเล่อพูด
“น้องชายเฉียบแหลมเหมือนเคยเลยนะ เรามันพวกคนไม่มีความรู้ ถึงไม่ได้รู้สึกถึงเรื่องพวกนี้”
ท่านเป้ยเล่อยิ้มพูด “เอาล่ะเสี่ยหวง อย่ากังวลเรื่องนี้ไปเลย ในเมื่อตอนนี้รู้เรื่องพวกนี้แล้ว ผมอาจจะช่วยเสี่ยแก้ปัญหาให้ราบรื่นได้”
“หืม น้องชายหมายความว่ายังไง” หวงฟาถามอย่างตื่นเต้นขึ้นมาในทันที
“เหอะๆ เอาอย่างนี้ เสี่ยนัดให้หน่อย ผมคิดว่าจะท้าสู้กับซ่งจื่อเซวียนคนนั้นที่เสี่ยพูดถึง” ท่านเป้ยเล่อพูด
หวงฟาได้ยินก็ชะงัก สบตากับเถียนเหวินคุ่ยทันที
“ท้าสู้เหรอ”
“ถูกต้อง วงการก็คือวงการ โดยเฉพาะวงการอาหาร บางทีก็ต้องใช้วิธีดั้งเดิมแก้ปัญหา”
ท่านเป้ยเล่อพูดพลางจุดบุหรี่มวนหนึ่ง พูดต่อ “ผมท้าเขาครั้งนี้จะมีเงื่อนไขหนึ่งอยู่ หลังจากทำให้เขาแพ้ได้แล้ว เขาจะทำข้าวผัดจักรพรรดิในตู้เหมินต่อไปไม่ได้อีก ไม่อย่างนั้นก็จะเป็นคนไร้เครดิต ถ้าเชฟไร้เครดิต เหอะๆ วงการอาหารก็ให้เขาอยู่ไม่ได้แล้ว”
หวงฟาพยักหน้า “ได้ งั้นก็ท้าสู้ น้องชาย มีนายช่วย เขาหมดท่าแน่!”
ท่านเป้ยเล่อยิ้ม “ก่อนจะท้าสู้ ผมอยากจะเจอเขาสักหน่อย เสี่ยหวงจัดการให้หน่อย อีกอย่าง…ผมอยากประชาสัมพันธ์ สร้างกระแสให้ไปไกลเท่าไรก็ยิ่งดี!”
“เรื่องนี้ไม่มีปัญหา เหวินคุ่ย นายไปจัดการเรื่องสื่อมวลชน เรื่องนี้เกี่ยวกับข้าวผัดจักรพรรดิ พวกเขาต้องยอมมาแน่!”
เถียนเหวินคุ่ยพยักหน้า “ไม่มีปัญหาครับ เรื่องนี้ผมจัดการเอง!”
……
เช้าวันถัดมา ซ่งจื่อเซวียนรู้สึกสภาพจิตใจดีขึ้นไม่น้อย เพราะเมื่อคืนนอนเร็วมาก
เรื่องของซ่งอวิ๋นฮั่นจัดการเรียบร้อย ถึงคนที่บ้านจะยังเศร้าเสียใจอยู่ แต่ก็ต้องมีช่วงแบบนี้อยู่แล้ว เขารู้ว่าทุกอย่างจะผ่านพ้นไปได้
ทว่าซ่งจื่อเซวียนต้องปรับตัวทันที ไม่ว่าจะร้านอาหารร่ำรวยหรือบริษัทชิงอวี่ก็ต้องผลักดันขึ้นมาให้ได้
พอเช้าตรู่ เขาก็ไปร้านอาหารร่ำรวยก่อน ถึงพักไปสองวัน แต่ลูกค้าหน้าร้านก็ยังคงไม่ลดน้อยลง ยังไม่ทันถึงเวลาเปิดร้าน ซ่งจื่อเซวียนก็เห็นจำนวนออร์เดอร์ที่ไหลมาเทมาแล้ว
“นายท่านรองมาแล้ว!”
พอเห็นซ่งจื่อเซวียนเดินเข้ามา หลัวลี่ลี่ก็เดินมาต้อนรับพร้อมกับรอยยิ้มสดใส
ซ่งจื่อเซวียนยิ้ม “ลี่ลี่ อรุณสวัสดิ์ สองวันนี้ในร้านขายเป็นไงบ้าง”
“โอเคอยู่ค่ะ ถึงจะไม่ได้เสิร์ฟข้าวผัดจักรพรรดิ แต่ลูกค้าก็ยังนั่งกันจนเต็มไปสองรอบ”
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้า นี่น่าจะเป็นผลการกระตุ้นจากข้าวผัดจักรพรรดิ
ร้านหนึ่งร้านต้องมีเมนูซิกเนเชอร์เป็นของตัวเอง เช่นนี้คนอื่นถึงจะมีเหตุผลให้มาและได้ชิมอาหารอื่นๆ ของร้านนี้
“อาจารย์ สองวันนี้มีผมอยู่ อาจารย์วางใจเถอะ ผมดูแลร้านกับลี่ลี่ได้ดีมาก!” ซางเทียนซั่วพูดเย้า
“ไสหัวไปเลย น่ารำคาญชะมัด!” หลัวลี่ลี่พูดพลางกลอกตาใส่เขา
ซ่งจื่อเซวียนยิ้ม ไม่ได้คุยเล่นกับพวกเขาอีก ตรงเข้าไปที่ครัวด้านหลัง
แต่วันนี้ช่วงสายวันนี้ซ่งจื่อเซวียนยุ่งมากจริงๆ มีคนโทรเข้ามาเต็มไปหมด หนึ่งในนั้นคนที่ร้อนรนที่สุดก็คือเสี่ยเฉิงปา เพราะปิดโทรศัพท์ไปสองวันติดต่อไม่ได้ ทำให้อีกฝ่ายตกใจจะแย่แล้ว
ไม่ง่ายเลยกว่ารายได้ของร้านจะเพิ่มขึ้น ถึงจะแบ่งแค่สามสิบเปอร์เซ็นต์ แต่ก็เหนือกว่ารายได้ร้านอื่นๆ ของเฉิงปารวมกันแล้ว
ถ้าช่วงเวลาสำคัญนี้ซ่งจื่อเซวียนหายไปกะทันหัน เขาได้ขาดทุนย่อยยับแน่
ไม่เพียงแค่ไม่ได้เงินของร้าน ยังต้องชดใช้ค่าตกแต่งก้อนใหญ่ ต้องรู้ไว้ว่าแปลงส่วนหนึ่งของคลับเฮาส์หลงตูเป็นโรงอาบน้ำก็ใช้เงินไม่น้อยเลย
ถึงช่วงเที่ยงซ่งจื่อเซวียนแทบจะยุ่งอยู่ตลอด คนที่ต่อแถวหน้าร้านบ่งบอกได้ว่าเขาต้องผัดข้าวไม่หยุด ออร์เดอร์ล้นตลอด
ประมาณบ่ายโมงตรงถึงทำข้าวผัดทั้งหมดเสร็จ
ซ่งจื่อเซวียนไม่ลืมว่าตอนบ่ายวันนี้เขาต้องไปที่บริษัท สองวันก่อนเขานัดกับพวกฉินจ้งเอาไว้แล้ว ว่าจะส่งมอบบริษัทให้เรียบร้อย
เพียงแต่เขาไม่ได้คิดจะไปส่งมอบจริงๆ วันนี้เขาต้องสู้ครั้งสุดท้ายกับพวกแก่กะโหลกกะลานี่!
จากนั้นก็โทรหาเจิ้งอวี่ให้มารับตนที่ร้านอาหาร
แต่ขณะที่คิดจะออกจากร้าน โทรศัพท์ของซ่งจื่อเซวียนก็ดังขึ้น
“ซ่งจื่อเซวียนนายเป็นบ้าไปแล้วหรือไง ปิดโทรศัพท์ติดต่อกันสองวัน ไปตายที่ไหนแล้วเหรอ”
พอรับสาย ก็ได้ยินเสียงระบายอารมณ์เหมือนกับพายุฝนของถังหย่าฉี ซ่งจื่อเซวียนอึ้งไปทันที อึ้งจนพูดไม่ออก
“พูดมาสิ เป็นใบ้ไปแล้วหรือไง นายอย่าบอกนะว่าทำเพื่อหลบหน้าฉันน่ะ ไอ้เวร ไอ้คนหลอกลวง!”
“เดี๋ยวๆๆ หย่าฉี เอ่อ…เป็นอะไรเนี่ย โกรธอะไรขนาดนี้” ซ่งจื่อเซวียนพูดด้วยสีหน้าน้อยใจ
“พูดอะไรไร้สาระ แม่คุยเรื่องร้านลงตัวหมดแล้ว รอนายมาดูแล้วก็คอนเฟิร์มเนี่ย ตาแก่คนนี้มันจริงๆ เลย สองวันมานี่ปิดโทรศัพท์ตลอดทำไม ลงทุนไม่ไหวแล้วใช่ไหม นายก็ไม่ต้องถึงขนาดปิดโทรศัพท์เลยนี่”
ซ่งจื่อเซวียนหน้าเจื่อน ถ้าสาวน้อยคนนี้หัวร้อนแล้ว เพลิงโทสะก็ไม่ใช่กองเล็กๆ จริงๆ
“ไม่มีทางน่า เธอวางใจได้ ฉันจัดการเรื่องในมือเรียบร้อยแล้วก็จะไปดูร้านกับเธอ โอเคไหม”
“โอเคไหมเหรอ ไม่โอเค! ตอนนี้ฉันไม่พอใจอย่างยิ่งเลยค่า ซ่งจื่อเซวียน ฉันสั่งให้นายมาดูร้านตอนนี้เดี๋ยวนี้เลย คอนเฟิร์มเรียบร้อยแล้วถึงจะทำอย่างอื่นได้!”
“เรื่องนี้…”
“ฉันจะบอกนายให้นะซ่งจื่อเซวียน วันนี้ถ้านายไม่มา จากนี้ก็ไม่ต้องมาหาฉันอีกแล้ว!”
พูดจบ ถังหย่าฉีก็ตัดสายไป
ซ่งจื่อเซวียนมีสีหน้าลำบากใจ บริษัทก็ต้องไป แต่ทางถังหย่าฉีนี่…
ตอนนี้เอง เจิ้งอวี่ก็มาถึงหน้าร้าน ซ่งจื่อเซวียนก็พารุ่ยจื่อขึ้นรถ
“อาเจิ้ง ไปมหา’ลัยหนานกวนก่อนนะครับ”
“หืม” เจิ้งอวี่ชะงัก “คุณซ่งบอกว่า…จะไปบริษัทไม่ใช่เหรอครับ แถมตอนนี้พวกฉินจ้งก็มาถึงแล้วด้วย”
“ไม่มีทางเลือกครับ เกี่ยวพันถึงชีวิต ไปมหา’ลัยหนานกวนก่อนเถอะครับ”
ถึงเจิ้งอวี่จะไม่รู้ว่าเพราะอะไร แต่เขาก็ไม่ได้ถามให้มากความ สตาร์ทรถออกไป
ประมาณยี่สิบนาที รถก็จอดที่ข้างร้านค้าฝั่งตรงข้ามมหาวิทยาลัยหนานกวน เจิ้งอวี่หันหน้าไปมองซ่งจื่อเซวียน “ถึงแล้วครับคุณซ่ง แต่ว่า…จะทำยังไงกับพวกฉินจ้งล่ะครับ”
“เหอะๆ รอนานสักหน่อยก็ไม่ต้องสนใจหรอก รอจัดการเรื่องทางนี้เสร็จ ผมจะจัดฉากละครให้พวกเขาแสดงเอง!”
…………………………………….