เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 206 ข้าวผัดจักรพรรดิเหรอคะ
ตอนที่ 206 ข้าวผัดจักรพรรดิเหรอคะ
ได้ยินประโยคนี้ของฉินจ้ง ซ่งจื่อเซวียนก็พยักหน้า “แล้วแต่คุณเลยครับว่าจะเห็นแก่หน้าใคร หลังจากนี้สองวัน ทุกคนค่อยมาที่บริษัท จะเรื่องอะไรถึงตอนนั้นค่อยจัดการ!”
พูดจบ ซ่งจื่อเซวียนก็ลุกขึ้นจะเดินออกไป แต่ฉินจ้งกลับยืนขึ้นและรั้งเขาไว้
“ไอ้หนู นายลืมเรื่องบางอย่างนะ”
“หืม” ซ่งจื่อเซวียนมองฉินจ้ง
ฉินจ้งแค่นหัวเราะ ง้างท่อสูบบุหรี่ในมือจะฟาดใส่ซ่งจื่อเซวียน
แต่ท่อสูบบุหรี่ยังไม่ทันเข้าใกล้ซ่งจื่อเซวียน ฟางรุ่ยก็คว้าเอาไว้ทันที
“อยากตีผมเหรอ” ซ่งจื่อเซวียนถามด้วยเสียงเย็นชา
“ไม่ได้งั้นเหรอ ลืมที่นายปฏิบัติกับฉันเมื่อวันนั้นไปแล้วเรอะ วันนี้ฉันต้องการเอาคืนไง!”
ฉินจ้งพูดจบ ประตูห้องประชุมก็เปิด ชายร่างกำยำเจ็ดแปดคนพุ่งเข้ามาทันที แต่ละคนดูโหดเหี้ยมอำมหิต
ซ่งจื่อเซวียนกวาดตามองคนพวกนั้น “ฉินจ้งคุณพาคนมาบริษัทเยอะขนาดนี้ เหอะๆ คุณเตรียมการมาแล้วนี่เอง”
ฉินจ้งยิ้ม มองฟางรุ่ยทันที “นายก็พาคนมาไม่ใช่เหรอ ข้าจะเอาด้วยไม่ได้หรือไง”
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้า “รุ่ยจื่อ ปล่อย ปล่อยเขาเลย!”
“แต่ว่า…”
“ไม่มีแต่อะไรทั้งนั้น!” ซ่งจื่อเซวียนถลึงตาพูด
ฟางรุ่ยกัดฟันปล่อยมือ ฉินจ้งพยักหน้า “โอเค ไอ้หนู สมกับที่เป็นพวกนายท่านเหมือนกัน ตามพ่อแกไปเถอะ!”
ผัวะ!
ขณะที่พูด ท่อสูบบุหรี่ก็ฟาดมาที่หน้าซ่งจื่อเซวียน ส่วนท่อร้อนๆ ที่ฟาดลงตรงหน้า ลวกเป็นรอยแดงในพริบตา
“แก…” ฟางรุ่ยจะลงมือ พวกนักเลงตรงหน้าก็พุ่งเข้ามาคุมเชิงกันทันที
“รุ่ยจื่อ ไปกันเถอะ!”
พูดจบ ซ่งจื่อเซวียนก็เดินฝ่านักเลงสองคนออกมาจากห้องประชุมท่ามกลางเสียงหัวเราะของฉินจ้ง
เขาไม่ได้กลับไปที่ห้องทำงาน แต่ตรงออกจากบริษัทไป โดยให้เจิ้งอวี่ขับรถ
“คุณซ่ง หน้าคุณเป็นยังไงบ้างครับ” เจิ้งอวี่ถามขณะที่ขับรถ
ซ่งจื่อเซวียนลูบเบาๆ ก็รู้สึกปวดแปลบ แต่ก็ยังส่ายหน้า “ไม่เป็นไรครับ กลับกันก่อนเถอะ”
“นายท่านรอง คนพวกนั้นทำอะไรผมไม่ได้หรอกครับ ทำไมเมื่อกี้คุณไม่ให้ผมจัดการพวกเขาล่ะ” เห็นได้ชัดว่าฟางรุ่ยยังไม่ค่อยพอใจ
ซ่งจื่อเซวียนพูด “ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลา ฉันก็ไม่มีกะจิตกะใจไปจัดการพวกเขา พรุ่งนี้จัดการเรื่องของพ่อฉันก่อนเถอะ”
ฟางรุ่ยรู้สึกเพียงคับข้องใจ ต้องรู้ว่าการที่มีคนมาทำร้ายซ่งจื่อเซวียนทำให้เขารู้สึกโมโหมากกว่ามาทำร้ายเขาเสียอีก
อย่างไรนับตั้งแต่วันที่ติดตามซ่งจื่อเซวียน เขาก็ตัดสินใจแล้วว่าจะไม่ปล่อยให้ซ่งจื่อเซวียนถูกทำร้ายเด็ดขาด
“นายท่านรอง…”
“เอาน่า ไม่ต้องพูดแล้ว หลังจากนี้สามวัน เรื่องที่บริษัทควรจะแก้ไขต้องแก้ไขได้แน่นอน”
เจิ้งอวี่ส่ายหน้า “คุณซ่ง ผมคิดว่าเรื่องวุ่นวายตอนนี้ค่อนข้างหนักนะครับ เห็นได้ชัดว่าตอนนี้ฉินจ้งกับเฮ่อเหว่ยอยู่ข้างเดียวกัน ในมือของเขาครอบครองตลาดอยู่สองแห่ง แถมตอนนี้เจ้าเจี้ยนกับจั่วอู่…”
“อาเจิ้งไม่ต้องห่วงเรื่องพวกนี้นะครับ สองวันนี้ เราก็จัดการเรื่องของพ่อไป”
เจิ้งอวี่ทำได้แค่ถอนหายใจ ขับรถต่อไป
เพราะไม่ว่าบริษัทจะเป็นอย่างไร เขาก็ต้องฟังซ่งจื่อเซวียนทั้งหมด เหมือนกับที่ทำตามซ่งอวิ๋นฮั่นเมื่อก่อน
สองวันถัดมา ซ่งจื่อเซวียนพร้อมกับครอบครัวนำร่างไร้วิญญาณของซ่งอวิ๋นฮั่นเข้าพิธีฌาปณกิจ อีกทั้งนำอัฐิไปโปรยลงทะเล
สองวันนี้ซ่งจื่อเซวียนไม่ได้ไปร้านอาหาร และไม่ได้ไปบริษัทเช่นกัน กระทั่งปิดโทรศัพท์ ไม่ให้เสี่ยเฉิงปาซักไซ้
เขาไม่ยินดีจะพูดถึงเรื่องที่พ่อจากโลกนี้ไป และไม่มีกะจิตกะใจจะอธิบาย ถือโอกาสปิดกั้นตัวเองเสียเลย อยู่กับครอบครัวอย่างเดียว
บนเรือ เห็นแม่กับพี่สาวโปรยอัฐิไปพลางร้องไห้ไปพลาง เขาจึงตัดสินใจในใจเงียบๆ ว่าจะต้องทำให้บริษัทของพ่อรุ่งเรืองให้ได้!
…………………….
ห้องไฉ่อวิ๋นเฟย หอหงเยวี่ย
ในห้องส่วนตัว หลี่ม่านหงคอยดูพนักงานเสิร์ฟจานผลไม้และเครื่องดื่มต่างๆ แม้แต่หวงฟาก็สั่งการต้วยตนเอง ตกแต่งจานไม่ดีแม้แต่นิดเดียว เขาก็ให้พนักงานถือกลับไปที่ครัวด้านหลังแล้วเอามาวางใหม่
“นี่เสี่ยนัดคนใหญ่คนโตที่ไหนมาอีกแล้วเหรอคะ ถึงตั้งใจขนาดนี้เชียว”
หวงฟาส่ายหน้า “ไม่ตั้งใจไม่ได้หรอก คนคนนี้นับว่าเป็นน้องชาย แต่ฉันต้องปฏิบัติกับเขา…เหอะๆ ดีกว่าพ่อของฉันอีก”
ได้ยินดังนั้น หลี่ม่านหงก็ยิ้ม “เสี่ยก็พูดเป็นเล่นไป อยู่ที่ตู้เหมินจะไปมีคนแบบนี้ได้ยังไงคะ!”
“เธอพูดถูกแล้ว!”
“หืม”
ได้ยินดังนั้น เถียนเหวินคุ่ยข้างๆ ก็ยิ้มพูด “เจ๊หงรู้จักท่านเป้ยเล่อแห่งปักกิ่งไหม”
“อะไรนะ เสี่ยนัดกับท่านเป้ยเล่อเหรอคะ” หลี่ม่านหงตกใจ
ที่จริงเธอก็เคยติดต่อกับท่านเป้ยเล่อมาก่อน แต่แค่ไม่ใช่ที่หอหงเยวี่ย
ตอนนั้นเธอไปทำธุระที่ปักกิ่ง เคยร่วมงานทางธุรกิจเดียวกันกับท่านเป้ยเล่อ
ตอนนั้นจากในรัศมีดาวล้อมเดือนนั่น เธอก็สัมผัสได้ถึงตำแหน่งที่ไม่ธรรมดาของท่านเป้ยเล่อแล้ว
ความไม่ธรรมดาประเภทนี้ กระทั่งเหนือกว่าตำแหน่งของหวงฟาในเมืองตู้เหมิน
“ม่านหง เพราะงั้นวันนี้ต้องพึ่งเธอแล้ว ท่านเป้ยเล่อไม่ชอบอะไรที่ดูฝันเฟื่อง หงหอเยวี่ยมีระดับเพียงพอ ทั้งยังเงียบสงบ ฉันเลยอยากนัดมาพบที่นี่คืนนี้น่ะ” หวงฟาพูด
“ได้ค่ะ เสี่ยวางใจเถอะ คืนนี้ฉันจะทำอาหารจานพิเศษให้สักสองสามอย่าง โต๊ะหนึ่งหกพันโอเคไหมคะ”
หวงฟาพยักหน้า “เธอจัดการตามสมควรเถอะ”
ประมาณบ่ายสองโมง หลี่ม่านหงก็ออกไปต้อนรับด้วยตนเอง ในเมืองตู้เหมิน คนที่ทำให้เธอออกมาต้อนรับด้วยตัวเองได้มีไม่มากนัก ต่อให้เป็นหวงฟา เธอก็ไม่ได้ออกไปต้อนรับมาแต่ไหนแต่ไร
นี่ก็เพียงพอที่จะทำให้รู้ตำแหน่งของท่านเป้ยเล่อได้
ตอนที่เธอเห็นป้ายทะเบียนปักกิ่งที่มีเลขเลขเก้าอยู่ห้าตัว ก็มั่นใจว่าผู้ที่มาจะต้องเป็นท่านเป้ยเล่ออย่างแน่นอน
เธอเดินไปที่ประตูรถอย่างกระตือรือร้น เห็นท่านเป้ยเล่อที่สวมเสื้อกันลมสีดำลงมาจากรถ หลี่ม่านหงจึงเอ่ย “ท่านเป้ยเล่อใช่ไหมคะ เสี่ยหวงรอคุณอยู่ด้านในแล้วค่ะ”
ท่านเป้ยเล่อพยักหน้า เงยหน้ามองป้ายร้านหอหงเยวี่ย “หอหงเยวี่ย…กลิ่นอายโบราณ ไม่เลวเลยจริงๆ เธอเป็นเจ้าของร้านเหรอ”
“ใช่ค่ะ ดิฉันชื่อหลี่ม่านหง ท่านเป้ยเล่อ เราเคยเจอกันที่ปักกิ่งมาก่อนค่ะ” หลี่ม่านหงยิ้มให้
“งั้นเหรอ งั้นฉันความจำไม่ดีแล้วล่ะ ฉันนึกไม่ออกจริงๆ ว่าเคยเจอพี่สาวที่สวยขนาดนี้เมื่อไร” ท่านเป้ยเล่อยิ้ม พูดหยอกเย้า
“โอ้ ดูคุณสิ ช่างพูดช่างจานัก ในเมื่อคุณเรียกว่าพี่สาวแล้ว ดิฉันจะไม่ยอมรับว่าคุณเป็นน้องชายได้ที่ไหนกันคะ”
ท่านเป้ยเล่อยิ้มพูด “เธอบอกว่าใช่ก็คือใช่แล้ว หลังจากนี้ถ้าฉันมาพัฒนาตู้เหมิน ก็ต้องพึ่งความช่วยเหลือจากพี่สาวนะ”
อย่างไรก็เป็นเจ้าของหอหงเยวี่ย ถือว่าอยู่ในระดับที่พูดคุยหยอกล้อกับท่านเป้ยเล่อได้แล้ว
เข้าไปในห้องส่วนตัว หวงฟาก็ลุกขึ้นประสานหมัดก่อนทันที “เหอะๆ น้องชาย ในที่สุดนายก็มาแล้ว”
“ขอโทษเสี่ยหวงด้วย คงทำให้เสี่ยรอนานแล้วมั้ง” ท่านเป้ยเล่อพูดพลางเดินไปนั่งลงที่โซฟาข้างๆ
“ไม่เลยๆ ฉันก็เพิ่งมาถึงไม่นาน น้องชาย เราไม่ได้เจอกันเกินครึ่งปีแล้วหรือเปล่า” หวงฟาถาม
ท่านเป้ยเล่อตอบด้วยรอยยิ้ม “ใช่ครับ ผมมาที่ตู้เหมินสองสามครั้ง แต่ไม่ทันได้นั่งคุยกับเสี่ยหวงเลย พูดแล้วก็น่าอาย”
“ที่ไหนกัน เราคนกันเองไม่จำเป็นต้องเกรงใจกันขนาดนั้น”
ท่านเป้ยเล่อดูสภาพของห้องส่วนตัว ก่อนจะพูดว่า “เสี่ยหวง ที่นี่เป็นแดนสุขาวดีของตู้เหมินเลยนะ ปักกิ่งกับตู้เหมินต่างเป็นเมืองใหญ่ ตอนนี้ศูนย์กลางของเมืองยังมีที่ที่เงียบสงบขนาดนี้ได้ หายากนะครับ”
หวงฟาพยักหน้า “ใช่แล้ว ที่นี่มีความวุ่นวายน้อยกว่าหลายส่วน เงียบสงบสุดๆ ปกติฉันก็มักจะมาดื่มชาที่นี่แหละ”
“เหอะๆ ค่าใช้จ่ายของที่นี่คงไม่ใช่ถูกๆ เสี่ยหวงร่ำรวยจริงๆ”
ได้ยินดังนั้น หวงฟาก็ยิ้มเจื่อนอย่างจนใจ “เรื่องนี้…ต้องพูดให้น้องชายเข้าใจจริงๆ อย่าพูดว่าร่ำรวยเลย ช่วงก่อนหน้านี้แทบจะตัดแขนข้างหนึ่งอยู่แล้ว”
“โอ้ ในวงการนี้ของตู้เหมิน ยังมีคนที่ทำให้เสี่ยเสียเปรียบได้ด้วยเหรอครับ” ท่านเป้ยเล่อพูด
“ที่จริงเรื่องนี้ก็เป็นจุดประสงค์ที่ฉันขอให้นายมาหาครั้งนี้นี่แหละ หวังว่าจะปรึกษากับน้องชายได้ เรื่องนี้ควรจัดการยังไง ถือว่านายช่วยพี่ชายสักเรื่องนะ!”
จากนั้น หวงฟาก็เล่าเรื่องช่วงนี้ให้ฟัง อย่างไรท่านเป้ยเล่อก็ถือว่าครอบครองวงการใต้ดินอยู่ครึ่งหนึ่ง
ฟังเรื่องของหวงฟาจบ ท่านเป้ยเล่อก็กินผลไม้เงียบๆ ไม่พูดไม่จา
หวงฟางุนงง ไม่รู้ว่านี่หมายความว่าอย่างไร
“น้องชาย นายออกความเห็นหน่อยสิ พี่ชายร้อนใจนะ นายก็รู้ว่าพี่ชายเคยก่อเรื่องล้มเหลวไม่เป็นท่าขนาดนี้เสียเมื่อไร” หวงฟาพูด
“เหอะๆ เสี่ยหวงคิดจะให้ผมทำยังไงล่ะ” ท่านเป้ยเล่อถาม
“เรื่องนี้…น้องชาย ฉันคิดแบบนี้ ข้าวผัดจักรพรรดิมันร้ายเกินไปแล้ว ไม่แน่ว่าพ่อครัวของทางตู้เหมินอาจจะเคยทำได้มาก่อน ถ้านายช่วยฉันได้…”
ท่านเป้ยเล่อยิ้ม “เสี่ยหวง พูดตามตรง…ผมไม่ได้สนใจอะไร ถึงยังไงข้าวผัดจักรพรรดินี่ก็ไม่ได้ร้ายอย่างที่เสี่ยพูด”
“หืม น้องชาย นี่นาย…”
“เหอะๆ เสี่ยหวง คืนนี้เรามีแผนยังไงบ้างครับ”
เห็นท่านเป้ยเล่อเปลี่ยนเรื่อง หวงฟาก็ไม่พูดมากอีก
“คืนนี้ก็กินอาหารง่ายๆ ที่หอหงเยวี่ยนี่แหละ น้องชายอย่ารังเกียจนะ”
ท่านเป้ยเล่อยิ้ม “ถ้าอาหารของที่นี่ง่ายๆ ก็เกรงว่าจะไม่มีอาหารดีๆ อะไรแล้ว แต่ว่า…เอาอย่างนี้แล้วกันครับเสี่ยหวง คืนนี้ให้ผมโชว์ฝีมือหน่อยไหม”
“หืม นายจะทำอาหารเหรอ”
“เหอะๆ ไม่ได้ฝีมือดีขนาดนั้น อาหารหลักให้เชฟของที่นี่ทำเถอะ ผมแค่จะเพิ่มอาหารอีกอย่างให้ทุกคนเอง!”
จากนั้น พวกเขาก็พูดคุยสัพเพเหระกันในห้องส่วนตัว หลักๆ ก็ยังคุยพวกเรื่องในวงการกัน
ส่วนหลี่ม่านหงอยู่ด้วยตลอด เนื่องจากคนอย่างท่านเป้ยเล่อนับว่าเป็นแขกกิตติมศักดิ์ เธอย่อมไม่มีทางปล่อยโอกาสแบบนี้ให้หลุดมือ
จนถึงช่วงค่ำ หลี่ม่านหงก็จัดการอาหารที่มีมูลค่าหกพันหยวนโต๊ะหนึ่ง
“น้องชาย เมนูซิกเนอเชอร์ธรรมดาๆ นายอย่าถือสาเลยนะ” หวงฟายิ้มพูด
ท่านเป้ยเล่อมองอาหารพวกนี้ “นี่ยังธรรมดาอีกเหรอครับ คิดไม่ถึงว่าในหอหงเยวี่ยจะมีเชฟอาหารซานตงชั้นนำอยู่ด้วย”
“เหอะๆ ท่านเป้ยเล่ออยู่ในวงการจริงๆ แค่มองก็รู้ว่าเป็นเชฟอาหารซานตงแล้วเหรอ”
ท่านเป้ยเล่อพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม “ทำตัวน่าอายเสียแล้ว อาหารโต๊ะนี้มีอาหารซานตงเป็นหลัก แล้วก็มีอาหารเสฉวน แต่จากสีของอาหาร เชฟอาหารซานตงก็น่าจะเป็นคนทำ”
หวงฟายกนิ้วโป้ง “คิดไม่ถึงว่าน้องชายก็ยังอยู่ในวงการอาหารด้วยนะเนี่ย”
“เหอะๆ เสี่ยหวงลืมแล้วเหรอ ผมบอกแล้วว่าคืนนี้จะโชว์ฝีมือให้พวกคุณดูน่ะ”
พูดจบ พวกเขาก็ชะงักไป ใครจะไปคิดว่าท่านเป้ยเล่อจะพูดจริง มาจากปักกิ่งเพื่อทำอาหารเนี่ยนะ
“เจ๊หง รบกวนพาฉันไปที่ครัวด้านหลังหน่อยสิ เรื่องนี้…ไม่ได้ผิดกฎอะไรใช่ไหม”
“เอ่อ ไม่หรอกๆ เชิญทางนี้ค่ะ” ถึงสถานที่สำคัญอย่างห้องครัวจะห้ามไม่ให้คนนอกเข้า แต่หลี่ม่านหงไม่กล้านับท่านเป้ยเล่อเป็นคนนอก…
ถึงครัวด้านหลัง ท่านเป้ยเล่อก็ผูกผ้ากันเปื้อนลวกๆ เริ่มลงมือ
เห็นวัตถุดิบที่ท่านเป้ยเล่อต้องการ อีกทั้งกลิ่นหอมๆ ที่ฟุ้งออกมาขณะที่กำลังทำอยู่ หลี่ม่านหงก็อึ้งไป
“ท่านเป้ยเล่อ นี่คือ…ข้าวผัดจักรพรรดิเหรอคะ”
……………………………………….