เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 205 ให้เวลาผมสองวัน
ตอนที่ 205 ให้เวลาผมสองวัน
พอได้ยินประโยคนี้ ฉินจ้งก็นิ่งอึ้งไปทันที
สำหรับคนอย่างพวกเขา อาศัยบริษัทชิงอวี่หาเงิน และพวกเขาก็คือพนักงานคนเก่าคนแก่ที่คอยรับใช้ซ่งอวิ๋นฮั่นมาสิบกว่าปี
ในบริษัท ซ่งอวิ๋นฮั่นดุจดั่งท้องฟ้า
ต้องพูดว่า ข่าวนี้เหมือนกับฟ้า…ถล่มลงมา!
ฉินจ้งได้ยินแล้วก็นิ่งไม่ได้สติอยู่นาน ไม่พูดแม้แต่ประโยคเดียว เฮ่อเหว่ยก็ไม่พูดอะไร รอฉินจ้งเอ่ยปากก่อน
“นาย…เฮ่อเหว่ย เรื่องนี้ล้อเล่นกันไม่ได้นะ” ฉินจ้งพูด
“ไม่ได้ล้อเล่นครับนายท่านลิ่ว คนของผมสังเกตเห็นเจิ้งอวี่ขอใบมรณบัตรของซ่งอวิ๋นฮั่นแล้วครับ”
“เอ่อ…จะเป็นไปได้ยังไง ไม่น่าใช่นะ…วันนั้นคุณซ่งยัง…”
เฮ่อเหว่ยยิ้มออกมา “เหอะๆ นายท่านลิ่ว นั่นคือครั้งสุดท้ายที่พวกเราได้เจอกับคุณซ่งครับ”
ฉินจ้งได้ยินแล้วก็ถอนหายใจยาว “สิบกว่าปีแล้ว ยังไงก็เป็นพี่น้องกัน จู่ๆ คุณซ่งก็…เฮ้อ ในใจของฉันรู้สึกไม่ดีเลย”
“นายท่านลิ่ว ตอนนี้…ไม่ใช่เวลามาเสียใจนะครับ คุณต้องเตรียมพร้อมตลอดเวลา” เฮ่อเหว่ยกล่าว
“เตรียมพร้อมอะไร”
“คุณซ่งเสียเมื่อวาน แต่ไม่ว่าจะเป็นคุณเสี่ยวซ่งหรือเจิ้งอวี่ก็ไม่มีใครบอกกับที่บริษัทเลย คุณไม่รู้สึกว่ามีเบื้องลึกเบื้องหลังเหรอครับ”
“มีเบื้องลึกเบื้องหลัง?” ฉินจ้งครุ่นคิด “นายหมายความว่า…พวกเขาจงใจปิดข่าวเรื่องนี้งั้นเหรอ”
“ถูกแล้วครับ ถ้าเป็นบริษัททั่วไป ข่าวนี้อาจจะไม่มีผลอะไรมาก เพราะก็แค่เถ้าแก่คนเก่าเสียแล้วเท่านั้น แต่ชิงอวี่ของพวกเราไม่เหมือนกัน คุณซ่งอยู่หรือไม่นั้น…มันเป็นคนละเรื่องกัน”
นายท่านฉินลิ่วพยักหน้า “ก็จริงอยู่นะ ไอ้เด็กนั่นกลัวจะสู้ไม่ไหวก็เลยปิดข่าวนี้ ไอ้เด็กคนนี้…ฉลาดอยู่บ้างแฮะ”
“แต่ไม่มีประโยชน์แล้วครับ คนของผมคอยจับตาดูพวกเขาอยู่ตลอด ผมรู้ข่าวนี้แล้ว นายท่านลิ่ว คุณลองคิดเรื่องนี้ดู จะเก็บข่าวนี้ไว้แค่คุณกับผม หรือจะบอกให้คนทั้งบริษัทได้รับรู้ครับ”
ฉินจ้งนิ่งไปพักหนึ่งแล้วเอ่ยว่า “ถ้ารู้แล้ว ทางซ่งอวิ๋นหล่างจะต้องมีการเคลื่อนไหวแน่นอน แต่อย่าเพิ่งพูดเรื่องนี้ นายคิดว่าพวกเขาแซ่ซ่งเหมือนกันจะรู้เรื่องนี้หรือเปล่า”
“จุดนี้ผมมั่นใจมากครับ นอกจากเจิ้งอวี่กับคุณเสี่ยวซ่งแล้ว ไม่มีใครรู้!”
ฉินจ้งพยักหน้าช้าๆ “ถ้างั้นก็ดี ฉันจะบีบให้เขาสละตำแหน่ง เฮ่อเหว่ย ฉันจะไปที่บริษัทเดี๋ยวนี้ นายก็ไปด้วยแล้วแจ้งให้ซ่งอวิ๋นหล่างรู้ซะ!”
“ผมรอประโยคนี้ของนายท่านลิ่วอยู่เลยครับ เดี๋ยวเจอกันที่บริษัทนะครับ!”
พอวางสาย นายท่านฉินลิ่วจึงแค่นหัวเราะไปที
“ซ่งอวิ๋นฮั่นนะซ่งอวิ๋นฮั่น โชคดีไม่ได้อยู่กับนายเสมอไป ตำแหน่งของนาย…นั่งนานเกินไปแล้ว แม้แต่สวรรค์ก็ยังทนดูไม่ได้!
ก่อนตายยังแม่งเอาตำแหน่งให้ลูกชายของตัวเองอีก ถึงตอนนั้นฉันจะดูว่าลูกของแกจะเก่งกาจสักแค่ไหน!”
…
ซ่งจื่อเซวียนไม่เคยรู้สึกถึงบรรยากาศที่อึดอัดภายในบ้านขนาดนี้
ตอนนี้ หานหรงกับซ่งอีหนานนอนหลับแล้ว ในบ้านจึงเงียบผิดปกติ
อันที่จริงเมื่อก่อนเวลาที่ซ่งจื่อเซวียนกลับบ้าน ปกติหานหรงกับซ่งอีหนานจะนอนหลับสนิทแล้ว แต่ไม่เคยรู้สึกอึดอัดแบบนี้มาก่อน
มองรูปไว้อาลัยของซ่งอวิ๋นฮั่นบนโต๊ะ ซ่งจื่อเซวียนรู้สึกปลงอนิจจังเป็นอย่างยิ่ง
เขาหันหน้ามองแม่กับพี่สาวอีกครั้ง พูดพึมพำกับตัวเอง “พ่อ ไปสู่สุคตินะครับ บ้านหลังนี้มีผมอยู่ทั้งคน!”
เวลานี้เอง โทรศัพท์ก็ดังขึ้นมา
“คุณซ่ง เกรงว่าพวกเราต้องไปบริษัทสักหน่อยแล้วครับ”
ซ่งจื่อเซวียนถอนหายใจ เอ่ยว่า “อาเจิ้ง วันนี้ช่างเถอะครับ มีเรื่องอะไรผมคิดว่ารอจัดการเรื่องของพ่อผมเรียบร้อยแล้วค่อยว่ากันครับ”
“แต่ว่า…คุณซ่ง ตอนนี้พวกฉินจ้งกับเฮ่อเหว่ยมาถึงบริษัทแล้ว บอกว่าอยากเจอคุณครับ”
“อะไรนะ”
ซ่งจื่อเซวียนชะงักไป ตามหลักแล้วเรื่องนี้ไม่ควรเกิดขึ้น ต้องเป็นเขาต่างหากที่เรียกทุกคนมาประชุมกันถึงจะถูก
แต่วันนี้เกิดอะไรขึ้น กลับตาลปัตร
เขาสูดลมหายใจลึกๆ เอ่ยว่า “สงสัย…เรื่องของพ่อผมคงจะแพร่กระจายออกไปแล้ว”
“หืม จะเป็นไปได้ยังไง นอกจากพวกเราสองคนแล้ว ก็มีคนที่บ้าน นอกนั้นก็ไม่มีใครรู้แล้วนะครับ” เจิ้งอวี่พูดอย่างไม่เข้าใจ
ซ่งจื่อเซวียนครุ่นคิด “ก็ไม่แน่ครับ ที่ที่พวกเราไปมีคนอยู่เยอะ พวกเราแอบตามสืบพวกเขา ใครจะไปรู้ว่าพวกเขาตามสืบผมบ้างหรือเปล่า”
“แบบนี้นี่เอง…หึ สงสัยครั้งนี้พวกเขาอยากจะมาพิสูจน์เรื่องนี้แน่นอน คุณซ่ง ถ้างั้นพวกเราจะไปหรือเปล่าครับ”เจิ้งอวี่ถาม
“ต้องไปอยู่แล้วครับ คุณมารับผมตอนนี้ได้เลยครับ”
……………
ภายในห้องประชุมบริษัทชิงอวี่ พนักงานคนเก่าคนแก่นั่งล้อมโต๊ะอยู่
เฮ่อเหว่ยยิ้มบางๆ “นายท่านรองอย่าเพิ่งรีบร้อน ที่ให้คุณมาในวันนี้…มีของดีให้ดูแน่นอนครับ”
ได้ยินดังนั้น เจ้าเจี้ยนกับจั่วอู่ที่อยู่ข้างๆ ต่างสบตากัน ในใจรู้สึกประหม่าขึ้นมา
ตอนนี้เอง นายท่านฉินลิ่วนั่งอยู่บนเก้าอี้สูบกล้องยาสูบทองแดงอย่างสบายใจ เห็นได้ชัดว่าตั้งใจเตรียมตัวมา และวันนี้นายท่านลิ่วตั้งใจพาพวกลูกน้องมาด้วย ยิ่งอธิบายถึงปัญหาได้ชัดเจน
อย่างน้อยที่สุดก็อธิบายได้ว่าวันนี้ต้องมีเรื่องแน่
เจ้าเจี้ยนกับจั่วอู่เพิ่งเลือกยืนข้างซ่งจื่อเซวียนไปไม่นาน แต่ดูจากสถานการณ์ในตอนนี้แล้ว…ดูเหมือนจะไม่เป็นผลดีกับพวกเขา ดังนั้นจึงประหม่าขึ้นมา
ฉินจ้งพ่นควันบุหรี่ออกมา เอ่ยว่า “เฮยจื่อ จั่วอู่ เหอะๆ หนีจากฉันออกไปรวยเอง ทำงานเป็นยังไงบ้างล่ะ”
เมื่อได้ยินดังนั้น ทั้งสองคนจึงก้มหน้าไม่พูดอะไร
“หึ หักหลังฉัน ฉันจะทำให้พวกแกเสียใจ ไอ้พวกเชี่ย เมื่อก่อนมองไม่ออกจริงๆ ว่าพวกแกจะคิดทรยศ!”
จั่วอู่พูดอย่างลำบากใจ “นายท่านครับ ถึงแม้ในบริษัทพวกเราจะเป็นคนดูโครงการ แต่คุณก็รู้ ตำแหน่งของพวกเราสู้คุณไม่ได้ บางครั้ง…ก็ทำไม่ดีลงไป”
“อย่ามาพูดกับฉันมุกนี้เลย ไอ้ชาติหมา ถึงตอนนั้นฉันจะไล่ออกให้หมด!”
ทั้งสองคนพอเข้าใจความหมายในคำพูดของนายท่านฉินลิ่ว
ฉินจ้งในตอนนี้ทำท่าเหมือนกำลังจะเลื่อนตำแหน่ง ไม่เพียงแต่ร่วมมือกับเฮ่อเหว่ยเท่านั้น ยังเตรียมตัวมาพร้อมอีก
ขณะที่พวกเขากำลังพูดคุยกัน ประตูห้องประชุมก็ถูกผลักออก ซ่งจื่อเซวียนพาฟางรุ่ยกับเจิ้งอวี่เดินเข้ามา
“อ้าว วันนี้ไม่มาสาย ไอ้หนู พอใช้ได้” นายท่านฉินลิ่วยิ้มพลางส่ายหน้า
ซ่งจื่อเซวียนเหลือบตามองเขาหนึ่งที จากนั้นเดินไปนั่งตำแหน่งตรงกลาง
ยังไม่ทันนั่ง นายท่านฉินลิ่วก็พูดว่า “เดี๋ยวก่อน ไอ้หนู ตำแหน่งตรงนั้นเก็บไว้ให้คุณซ่ง ไม่ใช่นาย นายไปนั่งข้างหลัง!”
ได้ยินดังนั้น ซ่งอวิ๋นหล่าง จั่วอู่ เจ้าเฮยจื่อ รวมไปถึงเจิ้งอวี่ก็ยังตกตะลึง
พวกเขาไม่รู้ว่าฉินจ้งมาไม้ไหน อย่างไรตำแหน่งนั้นก็เป็นของซ่งจื่อเซวียนแล้ว และซ่งอวิ๋นฮั่นเป็นคนพูดเอง
มีเพียงเฮ่อเหว่ยที่ยังนิ่งเงียบ เขายิ้มเล็กน้อย นั่งพิงเก้าอี้ จุดบุหรี่หนึ่งมวน
“นายท่านลิ่ว คุณหมายความว่ายังไงครับ” ซ่งจื่อเซวียนยังไม่นั่งลงไป สองมือยันโต๊ะพลางพูด
ฉินจ้งทำเสียงฮึดฮัดเย็นชาเอ่ยว่า “ความหมายอย่างที่พูดไง ตำแหน่งนั้น…ไม่ใช่นายที่สมควรนั่ง!”
“หืม อย่างนั้นคุณคิดว่าใครควรนั่งล่ะครับ” ซ่งจื่อเซวียนถาม
“คุณซ่งอวิ๋นฮั่น เถ้าแก่ของพวกเรา ฉันยอมรับเขาเป็นเถ้าแก่เพียงคนเดียว!” ฉินจ้งกล่าว
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้า “คุณหมายความว่า…ถึงพ่อของผมจะมอบตำแหน่งนี้ให้ผมแล้ว ณ จุดนี้คุณก็ไม่ยอมรับใช่ไหมครับ”
“เหอะๆ นายพูดถูก ฉันไม่ยอมรับ ฉันติดตามคุณซ่งมานับสิบปี ฉันจะยอบรับในสิ่งที่คุณซ่งพูดด้วยตัวเองเท่านั้น!”
ฉินจ้งพูดประโยคนี้จบก็แสดงความหมายออกมาแล้ว ซ่งอวิ๋นฮั่นสั่งให้ซ่งจื่อเซวียนนั่งตำแหน่งของเขาในวันนั้น คนที่อยู่ในห้องประชุมได้ยินทั้งหมด แต่มีเพียงสองคนที่ไม่ได้อยู่ในห้องประชุม
คนหนึ่งคือซ่งอวิ๋นหล่าง อีกคนหนึ่งคือฉินจ้ง
เวลานี้พูดออกมาแบบนี้ เห็นได้ชัดว่าต้องให้ซ่งอวิ๋นฮั่นออกมาพูดต่อหน้าฉันอีกครั้ง ไม่อย่างนั้นฉันจะไม่ยอมรับนายเป็นเถ้าแก่ของบริษัทชิงอวี่!
ซ่งจื่อเซวียนสูดลมหายใจลึกๆ “เหอะๆ นายท่านลิ่ว ความจงรักภักดีของคุณ…ผมขอขอบคุณแทนพ่อของผมนะครับ แต่…”
ขณะพูด ซ่งจื่อเซวียนก็นั่งลงไปทันทีพร้อมกับเอ่ยว่า “ตำแหน่งนี้ ผมต้องเป็นคนนั่งแน่นอน!”
ฉินจ้งเหลือบตามองเขาหนึ่งที “อย่าทำเป็นเอาต้นหอมมาเสียบจมูกหมูหน่อยเลย[1] นายคิดว่านายนั่งตรงนั้นก็จะเป็นเจ้าของบริษัทชิงอวี่แล้วเหรอ หึ บอกคุณซ่งให้มาพูดกับฉันก่อน!”
ที่จริงซ่งจื่อเซวียนรู้อยู่แก่ใจแล้ว ฉินจ้งมาในครั้งนี้เพราะต้องการคำอธิบาย พูดง่ายๆ คืออยากบีบบังคับให้ออกจากตำแหน่ง
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เขาจึงได้แต่พยักหน้า “คุณพ่อมาไม่ได้แล้วครับ จริงๆ แล้วผมกำลังปรึกษาเรื่องนี้กับเจิ้งอวี่อยู่เหมือนกันว่าจะบอกทุกคนยังไง”
“แต่ในเมื่อนายท่านลิ่วเอ่ยถามแล้ว โอเค ผมจะพูดกับทุกคนตามตรง พ่อของผม…เพิ่งจะเสียชีวิตไปไม่นานครับ!”
พูดประโยคนี้จบ ความเงียบก็ปกคลุมไปทั่วทั้งห้อง
ซ่งอวิ๋นหล่าง จั่วอู่และเจ้าเฮยจื่อนิ่งอึ้งไป โดยเฉพาะซ่งอวิ๋นหล่าง อย่างไรนั่นคือพี่ชายแท้ๆ ของเขา ถึงแม้ความผูกพันฉันท์พี่น้องจะจืดจาง แต่ก็ยังรู้สึกใจสั่น
ส่วนเฮ่อเหว่ยกลับเงยหน้าฟังการเล่นละครเรื่องนี้ต่อไป เพราะละครเรื่องนี้กำลังเล่นตามบทที่เขาเขียนขึ้นมา
วินาทีต่อมา ซ่งอวิ๋นหล่างก็ร้องไห้ออกมาทันที “อะไรนะ พี่ของฉันตายแล้วเหรอ พี่ของฉัน…”
เขาฟุบหมอบไปกับโต๊ะแล้วเริ่มร้องไห้ ฉินจ้งที่อยู่ข้างๆ เอ่ยว่า “คุณซ่งเสียชีวิตแล้วเหรอ ตั้งแต่เมื่อไร”
ซ่งจื่อเซวียนมองเขา ในใจพลางคิดว่าตาแก่คนนี้ยังจะเสแสร้งกับฉันอีก ที่มาในวันนี้เพราะอยากจะยั่วยุเรื่องนี้ไม่ใช่เหรอ
อันที่จริงนี่คือเหตุผลที่ซ่งจื่อเซวียนตัดสินใจจะพูดออกมาด้วยตัวเอง เพราะยังดีกว่าที่ฉินจ้งเป็นฝ่ายพูดก่อน
“ใช่ครับ คุณซ่งเสียชีวิตแล้ว เกิดขึ้นเมื่อวานครับ” เจิ้งอวี่กล่าว
ชั่วขณะนั้น ความเศร้าโศกเสียใจปรากฏบนใบหน้าของทุกคนอยู่บ้าง แม้แต่ฉินจ้งก็ยังแสร้งทำสีหน้าเสียใจออกมา
แต่มีเพียงเฮ่อเหว่ยเท่านั้น ที่ยังคงนิ่งเฉยเหมือนเดิม
เมื่อเทียบกับความเจ็บปวดของลูกชายตัวเองแล้ว ซ่งอวิ๋นฮั่นตายคนเดียว เขายังไม่พอใจ
บรรยากาศเช่นนี้ดำเนินต่อไปประมาณสิบนาทีกว่า ฉินจ้งเอ่ยว่า “ในเมื่อเป็นแบบนี้ ทุกคนเสียใจก็ส่วนเสียใจ แต่บริษัทยังต้องดำเนินต่อไป ฉันคิดว่า…ทุกคนน่าจะเลือกเถ้าแก่คนใหม่”
พอพูดประโยคนี้จบ เฮ่อเหว่ยจึงยกมือขึ้น “ผมเห็นด้วยที่คุณฉินจ้งจะบริหารบริษัทเป็นการชั่วคราวครับ”
ที่เฮ่อเหว่ยรอก็คือเวลานี้ และเขายังจงใจใช้คีย์เวิร์ดว่าบริหารชั่วคราว เขารู้ว่าถึงแม้จะสนับสนุนฉินจ้งก็ไม่สามารถสนับสนุนได้เต็มที่ ไม่อย่างนั้นต่อไปเขาจะเป็นฝ่ายถูกกระทำแทน
“เฮ่อเหว่ย คุณ…” เจิ้งอวี่พูดพลางเบิกตาโต
แต่ซ่งอวิ๋นหล่างตอนนี้กลับสับสน ถ้าซ่งจื่อเซวียนเป็นเถ้าแก่ อย่างน้อยเขายังทำตัวเป็นนายท่านรองต่อไปได้ แต่ถ้าฉินจ้งเป็น…
เขาลุกขึ้นพูดว่า “หึ เฮ่อเหว่ย วันนี้จู่ๆ นายมาเล่นไม้นี้หมายความว่ายังไง ทำตัวเสแสร้งมานานหลายปี ในที่สุดก็โผล่หางจิ้งจอกออกมาแล้วใช่ไหม”
เฮ่อเหว่ยได้แต่ทำเสียงฮึดฮัดเย็นชา ไม่สนใจ ตอนนี้เองฉินจ้งก็พยักหน้า “ฉันขอเสนอตัวเอง สองคะแนนแล้ว”
“ฉันเสนอซ่งจื่อเซวียน!” ถึงแม้ซ่งอวิ๋นหล่างจะฝืนใจอยู่บ้าง แต่ก็ไม่มีทางอื่นจริงๆ
ตอนนี้ฉินจ้งมองไปที่จั่วอู่กับเจ้าเจี้ยน
มองดูสายตาของนายท่านฉินลิ่ว เจ้าเจี้ยนจึงยกมือ “ผม…ผมก็เห็นด้วยกับนายท่านลิ่วครับ”
ต่อมาจั่วอู่ก็ทำเหมือนกัน ฉินจ้งก็ยิ้มออกมา “ดูท่า…การโหวตจะจบแล้วหรือเปล่านะ”
ซ่งจื่อเซวียนแค่นหัวเราะ “โอเคครับ ดีมาก ผมเห็นด้วยกับการโหวตของทุกคน แต่งานศพของพ่อผมยังจัดการไม่เรียบร้อย ผมหวังว่าทุกคนจะให้เวลาผมสองวัน แล้วผมจะมาสละตำแหน่งของผมครับ”
พูดจบ เขาก็มองฉินจ้ง “นายท่านลิ่ว คงไม่ใช่ว่าอีกแค่สองวันคุณก็รอไม่ไหวหรอกนะครับ”
“นายหมายความว่ายังไง ฉันก็ทำเพื่อผลประโยชน์ของบริษัทเหมือนกัน โอเค ให้เวลานายสองวัน แต่เพราะเห็นแก่หน้าของคุณซ่งเท่านั้นนะ!”
…………………………………………….
[1]เอาต้นหอมมาเสียบจมูกหมู (猪鼻子插大葱) หมายถึงคนเสแสร้ง เหมือนหมูที่เอาต้นหอมมาเสียบจมูกให้ตัวเองเป็นเหมือนช้าง