เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 204 มีผมอยู่
ตอนที่ 204 มีผมอยู่
ได้ยินประโยคนี้ ซ่งจื่อเซวียนก็ตกตะลึงนิ่งอึ้งอยู่กับที่ โทรศัพท์ในมือเกือบร่วงลงมา
ชั่วขณะนั้น เขาถือโทรศัพท์ไว้พูดอะไรไม่ออก ดวงตาทั้งสองข้างเบิกโตมองไปข้างหน้า ในห้วงสมองว่างเปล่าไปหมด
“คุณซ่ง…คุณซ่ง…จื่อเซวียน?”
เจิ้งอวี่ตะโกนติดต่อกันสามครั้ง ซ่งจื่อเซวียนถึงได้สติกลับมา
“เอ่อ…เกิดอะไรขึ้นเหรอครับ”
“สองสามวันที่ผ่านมาพี่สะใภ้ หรือก็คือแม่ของคุณคอยอยู่เป็นเพื่อนคุณซ่งอยู่ที่โรงแรมตลอดเวลา ผมเองก็ไม่แน่ใจ สายที่โทรเข้ามาเมื่อกี้นี้บอกว่าเขากำลังได้รับการช่วยเหลือฉุกเฉินแล้ว”
ซ่งจื่อเซวียนรู้สึกว่าตัวเองหายใจลำบากอยู่บ้าง เขาพยายามพยักหน้า “ครับ ผมจะรีบไปเดี๋ยวนี้!”
จากนั้นซ่งจื่อเซวียนจึงสั่งซางเทียนซั่วไปส่งเขาที่โรงพยาบาลทันที
ตอนที่วิ่งพุ่งเข้าไปในห้องคนไข้ ก็เห็นว่าซ่งอวิ๋นฮั่นนอนอยู่บนเตียง ใส่หน้ากากให้ออกซิเจน พร้อมกับมีเครื่องวัดหัวใจและอุปกรณ์อื่นๆ วางอยู่ด้านข้าง
ซ่งอวิ๋นฮั่นในตอนนี้ผอมลงไปกว่าเดิม ผิวหน้าหย่อนคล้อยอย่างชัดเจน ดวงตาทั้งสองข้างลึกโบ๋ลงไป แวบแรกที่เห็นก็มองออกว่าป่วยเกินเยียวยาแล้ว
หานหรงนั่งอยู่ข้างเตียง ห่มผ้านวมให้ซ่งอวิ๋นฮั่นไปพลาง เช็ดน้ำตาไปพลาง
ส่วนซ่งอีหนานนอนหมอบอยู่อีกด้านหนึ่ง ซุกหน้าร้องไห้อยู่บนเตียง
เมื่อเห็นฉากนี้ ซ่งจื่อเซวียนรู้สึกว่าตัวเองพลันจะล้มทั้งยืน ตั้งแต่เด็กจนโตเขาไม่เคยมีความรู้สึกแบบมาก่อน
เขาเดินไปข้างเตียงด้วยสีหน้านิ่งทื่อ หานหรงมองเขา “เจ้ารอง ลูกรีบไปดูเขาเถอะ”
ได้ยินเสียงร้องไห้กระซิกของแม่ ซ่งจื่อเซวียนรู้สึกว่าดวงตาของตัวเองมีน้ำตาเอ่อขึ้นมาทันที
เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าตัวเองจะมีความรู้สึกอะไรกับซ่งอวิ๋นฮั่น แต่เวลานี้ แม้แต่ตัวของเขาเองก็ยากที่จะปฏิเสธ
เลือดข้นกว่าน้ำ อย่างไรคนคนนี้คือพ่อแท้ๆ ของตน
วินาทีที่ซ่งจื่อเซวียนเข้าไปใกล้ เขาเห็นซ่งอวิ๋นฮั่นลืมตาเล็กน้อย ตอนที่อีกฝ่ายเห็นซ่งจื่อเซวียน สีหน้าก็เปลี่ยนไปอย่างชัดเจน
ซ่งจื่อเซวียนเบิกตาโตเล็กน้อย พยายามกลั้นไม่ให้น้ำตาไหลออกมา เอ่ยว่า “คุณ…มีอะไรอยากพูดกับผมเหรอ”
ซ่งอวิ๋นฮั่นพยักหน้า ซ่งจื่อเซวียนรีบขยับเข้าไปใกล้ใบหน้าของเขาทันที ซ่งอวิ๋นฮั่นพลันพูดว่า “ฉันจะไปแล้ว…”
ได้ยินประโยคนี้ ซ่งจื่อเซวียนก็อดกลั้นไม่ไหวอีกต่อไป น้ำตาหยดลงบนผ้าห่มสีขาว
เห็นเช่นนั้น ซ่งอวิ๋นฮั่นพยายามยิ้มออกมา ส่ายหน้าช้าๆ
“ไม่ต้องร้องไห้ ลูกชายของฉัน พ่อ…ชาตินี้รู้สึกขอโทษพวกแกจริงๆ แต่ชดใช้ให้ไม่ได้แล้ว…”
น้ำตาของซ่งจื่อเซวียนไหลพรากออกมาไม่หยุด ใบหน้าหล่อเหลาของเด็กหนุ่มอายุไม่ถึงยี่สิบปี เต็มไปด้วยน้ำตาอาบเป็นทางยากที่จะควบคุม
“พ่อ…”
การเรียกว่าพ่อครั้งนี้ ทำให้ทุกคนที่อยู่ในห้องคนไข้ต่างมองไปที่ซ่งจื่อเซวียน
ต้องรู้ไว้ว่า ในสายตาของพวกเขา ต่อให้ซ่งอวิ๋นฮั่นตายซ่งจื่อเซวียนก็คงไม่ยอมเรียกว่าพ่อ
แต่ตอนนี้ เขาไม่มีความดื้อดึงอะไรอีกแล้ว เหลือเพียงความอ่อนแอตามสัญชาตญาณของมนุษย์เท่านั้น
ซ่งอวิ๋นฮั่นมองซ่งจื่อเซวียนด้วยความตกใจ พยายามออกแรงทั้งหมดยกมือขึ้นมา ลูบไปที่ศีรษะของเขา
ในที่สุด รอยยิ้มของความชื่นใจก็ได้ปรากฏอยู่บนใบหน้าที่ซีดเซียวของเขา
และมือที่ลูบศีรษะของลูกชายตัวเองก็ได้ร่วงลงมาจากศีรษะของซ่งจื่อเซวียนในท้ายที่สุด
“พ่อ!”
เสียงตะโกนสุดขาดใจนี้ นับเป็นการบอกลาครั้งสุดท้ายของซ่งจื่อเซวียนกับซ่งอวิ๋นฮั่น
ตอนเย็นวันนั้น หลังจากจัดการเรื่องที่โรงพยาบาลเรียบร้อยแล้ว เจิ้งอวี่ก็ไปส่งซ่งจื่อเซวียน หานหรงและซ่งอีหนานกลับบ้าน
พอกลับถึงบ้าน ซ่งจื่อเซวียนบอกให้หานหรงกับซ่งอีหนานไปพักผ่อนก่อน ตนเองกับเจิ้งอวี่จะกลับไปที่บริษัทอีกครั้ง
เมื่อนั่งอยู่ในห้องทำงานของซ่งอวิ๋นฮั่น ดวงตาของซ่งจื่อเซวียนจ้องมองไปข้างหน้า ไม่ยอมเอ่ยปากพูดอะไรสักประโยค
“จื่อเซวียน ผมรู้ว่ายากที่คุณจะยอมรับความจริงแบบนี้ แต่คุณซ่งเขาก็…คุณยังต้องพักผ่อนนะครับ”
เจิ้งอวี่มองซ่งจื่อเซวียน เขารู้สึกสงสารจากใจจริง อย่างไรพวกเขาก็รู้จักกันมาสิบกว่าปี
ซ่งจื่อเซวียนยังคงไม่พูดเหมือนเดิม เขาหยิบบุหรี่หนึ่งมวนขึ้นมาจุด ที่เขี่ยบุหรี่ตรงหน้าไม่รู้ว่ามีก้นบุหรี่เท่าไรแล้ว
“จื่อเซวียน ดึกป่านนี้แล้วคุณนอนที่บริษัทเถอะนะครับ ในห้องนี้มีเตียงอยู่” เจิ้งอวี่พูดอีก
ซ่งจื่อเซวียนสูบบุหรี่เต็มแรง “อาเจิ้ง ตอนนี้เรื่องสำคัญที่สุดคือปิดข่าวนี้ อย่าให้คนอื่นรู้เรื่องพ่อของผม ไม่อย่างนั้นในช่วงเวลาที่สำคัญแบบนี้ ไม่ว่าฉินจ้งหรือว่าเฮ่อเหว่ย ก็จะเป็นตัวยุ่งยากทั้งนั้น!”
ได้ยินอีกฝ่ายพูดแบบนี้ เจิ้งอวี่ก็อึ้งไป เขาคิดไม่ถึงว่าเด็กอายุสิบเก้าปีจะใจเย็นมากในช่วงเวลานี้ ขณะที่ต้องยอมรับความเจ็บปวดที่พ่อของตัวเองเพิ่งจะจากไป แต่กลับยังนึกถึงปัญหาสำคัญมากของบริษัทในตอนนี้อีก
เขาพยักหน้า “ครับ ผมจะไม่พูดออกไป ผมจะจัดการเรื่องของคุณซ่งให้เสร็จภายในสองวันนี้ครับ”
ซ่งจื่อเซวียนครุ่นคิด ก่อนจะเอ่ยว่า “แม่ผมบอกว่า พ่อเคยบอกว่าไม่ต้องทำพิธีฝังศพ หลังจากเผาศพแล้วก็ให้เอาอัฐิไปโปรยในทะเล อาเจิ้ง เลือกสักวันหนึ่งมาออกทะเลกันเถอะครับ”
“ได้ครับ ผมจะจัดตารางให้ ผมติดต่อกับฝ่ายจัดงานศพแล้ว หลังจากเผาศพแล้วพวกเราก็ไปกันครับ”
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้า สูดลมหายใจเข้าลึกๆ หนึ่งที “โอเคครับอาเจิ้ง คุณก็ยุ่งจนเหนื่อยแล้ว กลับบ้านก่อนเถอะครับ วันนี้ผมจะพักอยู่ที่นี่”
“อย่างนั้นก็โอเคครับ คุณซ่ง คุณรีบพักผ่อนนะครับ”
หลังจากเจิ้งอวี่ออกไปแล้ว ซ่งจื่อเซวียนทรุดตัวนั่งบนเก้าอี้หนังเพียงลำพัง ย้อนนึกถึงแต่ละฉากที่ตัวเองกับพ่อได้ใกล้ชิดกัน
ตั้งแต่ได้เจอกันครั้งนั้นสมัยเด็กมาก จนได้พูดคุยกันครั้งแรกที่โรงแรมข่ายอ้อ หลังจากนั้นสองคนพ่อลูกก็พูดคุยหัวเราะเสียงดังอยู่ในห้อง…
ราวกับภาพยนตร์เรื่องหนึ่ง เล่นซ้ำไปมาอยู่ในหัวของเขา
น้ำตาไหลลงมาอย่างอดกลั้นไม่ไหวอีกต่อไป ซ่งจื่อเซวียนส่ายหน้าไม่หยุด แอบรู้สึกเสียใจว่าเหตุใดตนต้องดื้อรั้นขนาดนั้น
หากเรียกเขาว่าพ่อเร็วกว่านี้สักนิด ทำไมต้องให้เขารอจนถึงช่วงเวลาสุดท้ายในชีวิตด้วย
บุญคุณความแค้นแบบใดที่ชนะความเป็นและความตายได้? การเกิดแก่เจ็บตายเช่นนี้เป็นสิ่งที่แน่นอนชั่วนิรันดร์ ส่วนช่วงเวลาที่ผ่านมานั้น จึงจะมีค่าให้ทะนุถนอม
เขานอนไม่หลับทั้งคืน จนกระทั่งเช้าวันรุ่งขึ้นมีพนักงานมาที่บริษัท ซ่งจื่อเซวียนจึงเดินออกมาจากโลกของตัวเอง
ฟางรุ่ยก็มาที่บริษัทแต่เช้าเหมือนกัน และยังเอาอาหารเช้ามาให้ซ่งจื่อเซวียน
แต่ซ่งจื่อเซวียนไม่อยากกินอะไรจริงๆ ได้แต่ถอนหายใจเป็นระยะ
“นายท่านรอง ผมรู้เรื่องที่บ้านแล้วครับ ซางเทียนซั่วบอกผมเมื่อวาน”
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้า ไม่ได้พูดอะไร
“ผมไปที่บ้านตอนเช้า คุณน้ากับอีหนานก็นอนไม่หลับเหมือนกัน พวกคุณจะเป็นแบบนี้ไม่ได้นะครับ คุณอาจากไปแล้ว แต่พวกคุณยังต้องใช้ชีวิตให้ดีถึงจะถูกไม่ใช่เหรอครับ”
เมื่อได้ยินดังนั้น ซ่งจื่อเซวียนก็ค่อยๆ เงยหน้า ยิ้มอย่างขมขื่น “ขอบใจนะรุ่ยจื่อ อีกสักพักเทียนซั่วมาแล้ว พวกเราไปที่ร้านอาหารร่ำรวยกัน”
“นายท่านรอง เรื่องที่ร้าน…ถ้าไม่ไหวก็พักสักหนึ่งวันเถอะครับ สภาพของคุณตอนนี้ ทางที่ดีต้องพักผ่อนก่อนนะครับ”
“ไม่ต้องหรอก เรื่องที่ควรทำก็ต้องทำ เพียงแต่…ไอ้แก่พวกนั้นปล่อยให้บ้าไปอีกสองสามวันก่อน พอจัดการเรื่องของพ่อฉันเสร็จแล้ว ฉันค่อยไปจัดการพวกเขา!”
ขณะพูด ซ่งจื่อเซวียนหยิบน้ำเต้าหู้ขึ้นมาดื่มหนึ่งที “รุ่ยจื่อ นายพูดถูก พ่อฉันเสียแล้ว พวกเรายังต้องใช้ชีวิตให้ดี ฉันยังต้องดูแลแม่ของฉันต่อ!”
ฟางรุ่ยพยักหน้าอย่างแรง “แมนมาก แบบนี้ถึงจะสมเป็นนายท่านรองของผม”
ซางเทียนซั่วก็มาบริษัทแต่เช้าเหมือนกัน เมื่อวานเขาไปส่งซ่งจื่อเซวียนที่โรงพยาบาล ดังนั้นจึงรู้เรื่องนี้แล้ว
ตอนเช้าวันนี้ ซางเทียนซั่วกับฟางรุ่ยทำเหมือนกัน คือตรงไปที่บ้านก่อน แสดงความอาลัยกับหานหรง จากนั้นพอได้ยินว่าซ่งจื่อเซวียนอยู่ที่บริษัทตั้งแต่เมื่อคืนก็รีบมาดูทันที
“อาจารย์โอเคไหม เมื่อวานผมรู้ว่าอาจารย์อารมณ์ไม่ดีเลยไม่กล้ารบกวน อาจารย์อย่าเศร้าไปเลยนะ”
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้า “ขอบใจนะ เทียนซั่ว รุ่ยจื่อ มีพวกนายสองคนเป็นเพื่อน เป็นความโชคดีของฉันซ่งจื่อเซวียนคนนี้จริงๆ”
“นายท่านรอง คุณพูดห่างเหินไปแล้ว เพื่อนก็ต้องก้าวออกมาในเวลาแบบนี้สิ”
“พูดถูกแล้ว อาจารย์ ไม่มีอุปสรรคไหนที่ผ่านไปไม่ได้ ผมก็จะช่วยอาจารย์จัดการเรื่องนี้ด้วย จัดให้เอิกเกริกไปเลย” ซางเทียนซั่วพูด
ซ่งจื่อเซวียนโบกมือ “ไม่ต้องหรอก พ่อของฉันบอกว่าจะไม่จัดงานศพ และตอนนี้ฉันก็ยังไม่อยากไว้ทุกข์ เพราะจะปล่อยให้พวกตาแก่ฉินจ้งรู้เรื่องของพ่อฉันไม่ได้”
“ก็จริงนะ นี่คือเรื่องใหญ่ ไม่ยอมให้คนพวกนี้ได้ผลประโยชน์จากบริษัทที่ปู่ของผมสร้างขึ้นมาเด็ดขาด!” ซางเทียนซั่วพูด
จากนั้น พวกเขาก็ไปที่ร้านอาหารร่ำรวย เหมือนเมื่อสองสามวันก่อน เวลาเที่ยงกว่าๆ ก็ทำข้าวผัดยี่สิบออร์เดอร์เสร็จ
แต่อย่างไรก็เป็นร้านของตัวเอง ซ่งจื่อเซวียนจะไม่เลิกงานทันทีเหมือนตอนที่อยู่ต้าสือไต้ แต่ยังนั่งเฝ้าอยู่ครู่หนึ่ง จนกระทั่งสิ้นสุดช่วงเวลาเร่งด่วนตอนกลางวัน เขาจึงค่อยออกไปที่บริษัท
ตอนบ่าย เจิ้งอวี่จัดการเรื่องของซ่งอวิ๋นฮั่นเรียบร้อยแล้ว สามารถนำศพไปเผาได้ทุกเมื่อ
ซ่งจื่อเซวียนกลัวว่าร่างกายของหานหรงจะรับไม่ไหว จึงกำหนดเป็นวันถัดไป เพื่อให้แม่ได้นอนหลับพักผ่อนดีๆ
และซ่งจื่อเซวียนก็เป็นห่วงที่บ้านเหมือนกัน จึงออกจากร้านอาหารร่ำรวยแล้วกลับบ้านไป
ถึงแม้จะไม่จัดงานศพ แต่ก็ยังตั้งรูปไหว้ศพของซ่งอวิ๋นฮั่นอยู่ในบ้าน เดินเข้ามาในบ้านก็ได้กลิ่นธูปพอดี
เห็นหานหรงนั่งอยู่ข้างเตียง ใบหน้าซีดเซียว ซ่งจื่อเซวียนเดินเข้าไปใกล้แล้วพูดว่า “แม่ครับ ลูกได้ยินว่าแม่ไม่ได้นอนทั้งคืน พักผ่อนเถอะครับ”
หานหรงพยักหน้าช้าๆ “เฮ้อ…ตานี่ ไปเสียแล้ว ในใจของแม่…นึกถึงเรื่องในอดีตของพวกเราอยู่ตลอด ไม่สบอารมณ์เลยจริงๆ”
ซ่งจื่อเซวียนนั่งยองๆ ตรงหน้าของแม่ เอ่ยว่า “แม่ครับ พ่อจากไปแล้ว แต่ยังมีลูกอยู่ ลูกดูแลบ้านหลังนี้ได้ ลูกเลี้ยงแม่จนแก่เฒ่าได้ ลูกจะดูแลแม่ตลอดไปเองครับ”
“เจ้ารอง ลูกเป็นเด็กดี ไม่เสียแรงที่แม่เลี้ยงมา”
หานหรงลูบศีรษะของซ่งจื่อเซวียน มองใบหน้าใบนี้ เหมือนเห็นซ่งอวิ๋นฮั่นตอนเป็นหนุ่ม
สุภาพสง่างาม น่ามองอยู่ไม่น้อย
…………………..
เขตหงเหอ ตลาดค้าส่งอาหารทะเล
หน่วยงานควบคุมตลาด
ฉินจ้งมองสมุดบัญชีตรงหน้า อดพ่นลมหายใจออกมาไม่ได้
หลายปีที่ผ่านมา งานที่เขาทำบ่อยที่สุดก็คือทำบัญชี สมุดบัญชีที่ทำขึ้นมา เขาจะต้องทำซ้ำอีกหนึ่งรอบ จากนั้นค่อยรายงานให้บริษัท
และการทำเช่นนี้ ทำให้เขามีรายได้อย่างน้อยสองสามหมื่นหยวน หากไม่มีรายได้ตรงนี้ ฉินจ้งจะเลี้ยงดูเมียน้อยทั้งสามคนได้อย่างไร
ขณะที่เขากำลังควงดินสอด้วยความกลุ้มใจนั้น เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นมา เห็นเป็นเฮ่อเหว่ยโทรมา ฉินจ้งจึงรีบรับสาย
“เฮ่อเหว่ย มีเรื่องอะไร” ฉินจ้งถาม
“แหะๆ นายท่านลิ่ว การประชุมครั้งที่แล้ว…คุณทำตัวไม่โดดเด่นเลยนะครับ”
ได้ยินดังนั้น ฉินจ้งจึงขมวดคิ้ว “หยุดพูดไร้สาระเลย นายโทรมาเพื่อคุยเรื่องนี้งั้นเหรอ”
“แน่นอนว่าไม่ใช่ครับ นายท่านลิ่ว ถ้ามีเวลาพวกเราไปที่บริษัทกันสักหน่อยไหม คุณเสี่ยวซ่งคนนี้โอหังอวดดีขนาดนี้ คุณทนมองไหวเหรอ” เฮ่อเหว่ยถาม
ฉินจ้งครุ่นคิด “นายหมายความว่ายังไง อยากให้ฉันไปโดนทุบตีอีกหรือไง ฉันจะบอกนายนะ ถ้าฉันไม่ไว้หน้าเขาเพราะเป็นลูกชายของคุณซ่ง ฉันจะจัดการเขาแน่นอน ไอ้คนไม่รู้จักเด็กไม่รู้จักผู้ใหญ่!”
เฮ่อเหว่ยได้ยินแล้วก็หัวเราะ “ถ้าเป็นแบบนี้…ผมคิดว่าคุณไม่ต้องไว้หน้าใครแล้วครับ”
“หืม เฮ่อเหว่ย นายมีอะไรก็พูดมาตรงๆ อย่าทำให้ฉันหงุดหงิด” ฉินจ้งพูดอย่างหมดความอดทน
“ได้ครับ ถ้างั้นผมจะพูดตามตรง คุณซ่งเสียชีวิตแล้วครับ!”
………………………………………..