เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 201 ไม่ว่าคุณจะเป็นผู้ใหญ่หรือเด็ก
- Home
- All Mangas
- เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง
- ตอนที่ 201 ไม่ว่าคุณจะเป็นผู้ใหญ่หรือเด็ก
ตอนที่ 201 ไม่ว่าคุณจะเป็นผู้ใหญ่หรือเด็ก
นายท่านฉินลิ่วโดนทุบจนมึนไปทั้งตัว เขาคิดไม่ถึงเลยด้วยซ้ำว่าจะโดนคนฟาดในบริษัท
มิหนำซ้ำ คนที่ฟาดเขาเป็นเด็กหนุ่มอายุไม่ถึงยี่สิบปี ไอ้เด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม…
“แก…ไอ้หนู กล้าฟาดฉันเหรอ”
คนที่อยู่ข้างๆ ล้วนตกใจจนนิ่งอึ้ง
เจ้าเจี้ยนเบิกตาโตมองนายท่านฉินลิ่วที่เลือดเต็มหน้า พลางคิดในใจว่าตัวเองโชคดีแล้วที่เลือกถูกข้าง ไม่อย่างนั้นคาดว่าวันนี้ก็คงหัวแตกไปด้วย
จั่วอู่ก็เหมือนกัน วินาทีนี้ เขาพลันตระหนักได้ถึงปัญหาหนึ่ง คุณชายคนนี้…ไม่ธรรมดาจริงๆ อย่างน้อยความกล้าเช่นนี้…สักคนในบริษัทแห่งนี้ก็ไม่มี
บางทีตอนที่คนพวกนี้เป็นวัยรุ่นก็อาจเคยเป็นคนมุทะลุดึงดันมาก่อน แต่โดนลบเหลี่ยมมานานหลายปี จึงไม่มีความแหลมคมมานานแล้ว แต่ละคนกลับลื่นเป็นปลาไหลแทน
หากจะพูดว่าแอบลอดกัด ก็อาจจะพอทำได้อยู่ แต่หากต่อสู้กันอย่างเปิดเผย…กลับไม่มีใครกล้า
เฮ่อเหว่ยที่นั่งอยู่ท้ายสุดก็เบิกตาโตเช่นกัน เขาคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าซ่งจื่อเซวียนจะบุ่มบ่ามขนาดนี้ เช่นนี้แล้ว…ท่าทีที่เขามีต่อเฮ่อเหว่ย…ก็ไม่ยากที่จะอธิบายแล้ว
ได้ยินคำพูดของนายท่านฉินลิ่ว ซ่งจื่อเซวียนกลับใจเย็นมาก เขาหัวเราะ แล้วนั่งลงไปเหมือนเดิม
“วันนี้นายท่านลิ่วขี้โมโหไปหน่อยนะ”
“พูดเชี่ยอะไร ไอ้หนู แกให้พวกเรารอมาเกือบหนึ่งชั่วโมงแล้ว ตอนนี้ยังกล้าต่อยฉันอีก แกรู้ไหมพ่อของแกยังไม่กล้าต่อยฉันเลย” นายท่านฉินลิ่วพูดด้วยความเกรี้ยวกราด
ซ่งจื่อเซวียนหัวเราะหนึ่งที “รุ่ยจื่อ นายท่านลิ่วโมโหมากเลย นายช่วยทำให้เขาใจเย็นหน่อยสิ!”
พอสิ้นเสียง ฟางรุ่ยก็เดินไปข้างหน้าหนึ่งก้าว กดนายท่านฉินลิ่วลงไปทันที ใบหน้าด้านข้างแนบติดกับโต๊ะ ถูกคุมไว้ในทันใด
“แก…ไอ้หนู แกมันบ้าเกินไปแล้ว เฮยจื่อ จั่วอู่ จัดการ!”
แต่นายท่านฉินลิ่วเพิ่งได้รู้ตัว พอตัวเองพูดจบ ไม่ว่าจะเป็นเจ้าเจี้ยนหรือจั่วอู่ ก็ไม่มีใครตอบสนองเขาเลย
ซ่งจื่อเซวียนส่ายหน้าหัวเราะหนึ่งที จากนั้นก็หันหน้ามองซ่งอวิ๋นหล่าง อีกฝ่ายเบิกตาโต มีหรือจะกล้าสบตาซ่งจื่อเซวียน รีบหลบสายตาทันที
ไอ้เด็กคนนี้โหดเกินไปแล้ว พี่ชายของฉันทำไมมีลูกที่โหดเหี้ยมขนาดนี้…
“ไอ้สัต* พวกแกคิดจะทรยศเหรอ”
ซ่งจื่อเซวียนเอ่ยยิ้มๆ “นายท่านลิ่ว คุณต้องทำความเข้าใจให้ดี ที่นี่…ผมมีสิทธิ์พูดคนเดียวเท่านั้น ตอนนี้คนที่คิดทรยศคือคุณต่างหาก!”
“เหอะ ซ่งจื่อเซวียน แกแน่มาก แกมันเก่งจริงๆ แกไม่กลัวกรรมตามสนองใช่ไหม!” นายท่านฉินลิ่วตวาดใส่
“ฮ่าๆๆ บริษัทนี้ซ่งอวิ๋นฮั่นเป็นคนสร้างมากับมือ ถูกต้อง พวกคุณล้วนทำคุณงามความดี เป็นคนเก่าคนแก่ แต่มาอาศัยฐานะเหล่านี้คิดอยากจะแยกบริษัท คุณไม่กลัวกรรมตามสนองหรือไงวะ”
ขณะที่ซ่งจื่อเซวียนพูดก็ลุกขึ้น ถลึงตามองไปยังใบหน้าของนายท่านฉินลิ่วที่อยู่บนโต๊ะ
พอพูดประโยคนี้ออกไป ความเงียบก็ครอบคลุมทั่วทั้งห้องนี้
รวมทั้งนายท่านฉินลิ่วก็เช่นกัน เพราะเขายังไม่ทันเล่นงาน ซ่งจื่อเซวียนกลับล้มแผนการเสียแล้ว
หากจะแยกตัวบริษัท เขาก็เตรียมตัวหาเหตุผลที่สวยหรูเอาไว้แล้ว แต่ตอนนี้ซ่งจื่อเซวียนกลับตำหนิตรงๆ ว่าเขาจะแยกบริษัท ต่อให้เขาหาเหตุผลอื่นก็พูดอะไรไม่ได้แล้ว
ชั่วขณะนั้น ซ่งอวิ๋นหล่างและเฮ่อเหว่ยก็กำลังแอบวางแผนอยู่ในใจ แยกบริษัท…ที่จริงพวกเขาก็คิดไว้เหมือนกัน
บริษัทรวมเป็นหนึ่งสามารถทำกำไรได้เยอะกว่าก็จริง แต่การแยกบริษัทออกมาจะทำให้พวกเขาได้ครอบครองตลาดที่มีมูลค่ามากกว่าหนึ่งร้อยล้าน
จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมเงินก้อนยักษ์ทำให้คนรู้สึกตื่นเต้นมากกว่ารายได้ที่เข้ามาอย่างมั่นคง
จากนั้น ซ่งจื่อเซวียนจึงนั่งลงไปอีกครั้ง “รุ่ยจื่อ ปล่อยเขา ตอนนี้พวกเราจะประชุมกันแล้ว!”
ทันใดนั้นทุกคนต่างนั่งนิ่ง รวมไปถึงนายท่านฉินลิ่ว ที่ได้แต่หยิบกระดาษทิชชูมาเช็ดเลือดที่หัวคิ้วเท่านั้น แล้วนั่งนิ่งอย่างเชื่อฟังต่อไป
“ตอนนี้บริษัทภาพยนตร์และโทรทัศน์กับคลับเฮาส์ผมเป็นคนดูแลอยู่ ในด้านนี้ผมจะไม่พูดอะไรอีก อีกสักพักผมจะประกาศสภาพการเงินใหม่ให้ทุกคนได้รับทราบกันครับ
ตลาดทั้งสามแห่งที่แบ่งผู้ดูแลเป็นฉินจ้ง ซ่งอวิ๋นหล่างและเฮ่อเหว่ย ในด้านนี้ผมจะปรับเปลี่ยนบางส่วน ต่อไปตลาดทั้งสามแห่งนี้พวกคุณเป็นคนดูแลเหมือนเดิม แต่การตัดสินใจใดๆ จำเป็นต้องรายงานให้บริษัททราบด้วย”
“การตัดสินใจทุกอย่างเลยเหรอ” เฮ่อเหว่ยเอ่ยถาม
“ถูกต้อง ทุกอย่างครับ!”
ได้ยินดังนั้น ฉินจ้งทำเสียงฮึดฮัดหนึ่งที “หรือว่าถ้าฉันจะทำห้องน้ำ เปลี่ยนตำแหน่งของตลาดทั้งสองแห่งก็ต้องรายงานให้บริษัทรู้เหรอ”
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้าเบาๆ “คุณเข้าใจถูกต้องแล้วครับนายท่านลิ่ว ไม่มีการอนุมัติด้วยตราประทับบริษัท พวกคุณจะบริหารงานของตลาดได้เท่านั้น แต่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงบุคลากรและการบริหารใดๆ ได้เลยครับ”
“ถ้างั้นจะให้พวกเราดูแลไปทำไม” ฉินจ้งถาม
ซ่งจื่อเซวียนยักไหล่ “ถ้าคุณไม่อยากดูแลก็ถอนหุ้นได้ครับ ผมรู้ว่านายท่านลิ่วถือหุ้นยี่สิบเปอร์เซ็นต์ คุณอยากแยกบริษัทไม่ใช่เหรอ อย่างนั้นก็ถอนหุ้นแล้วรับเงินไม่เร็วกว่าเหรอครับ!”
“นาย…ไอ้หนู ฉันพูดตั้งแต่เมื่อไรว่าจะแยกบริษัท เมื่อกี้นายพูดเองตลอด ฉันไม่ได้พูดเลยสักนิด!”
ซ่งจื่อเซวียนเม้มปากหัวเราะแล้วพูดว่า “นี่คือการเจอหน้ากันครั้งแรกกับนายท่านลิ่วไม่ใช่เหรอครับ ถือเสียว่าเป็นของขวัญที่ได้เจอหน้ากัน จั่วอู่ เฮยจื่อ ถึงเวลาที่พวกคุณต้องพูดแล้วหรือเปล่า”
พอพูดจบ เจ้าเจี้ยนกับจั่วอู่จึงเข้าสู่สถานการณ์กระอักกระอ่วนอย่างไม่ต้องสงสัย
ซ่งจื่อเซวียนกำลังไล่เป็ดขึ้นชั้นชัดๆ บังคับพวกเขาให้เลือกข้าง
ทั้งสองคนสบตากันหนึ่งที ปกติจั่วอู่จะเงียบมากกว่า มีแต่เจ้าเฮยจื่อที่อดไม่ได้ชอบตะโกนพูดเสียงดัง
แต่ครั้งนี้ จั่วอู่กลับพูดก่อน “นายท่านลิ่ว คุณยอมรับเถอะนะครับ”
“อะไรนะ ให้ฉันยอมรับอะไร ไอ้เลว แกคิดจะทรยศใช่ไหมวะ” ฉินจ้งชี้แล้วด่าจั่วอู่
ซ่งจื่อเซวียนส่ายหน้าพูดว่า “ทรยศเหรอ นายท่านลิ่ว คุณลืมแล้วเหรอว่าพวกเราเป็นคนกันเอง ตอนนี้ผมใช้คนในบริษัทของผม กลับถูกคุณบอกว่าคิดทรยศ ตอนนี้คุณอยู่ฝ่ายไหนกันแน่น่ะครับ”
“ฉัน…” ฉินจ้งโดนถามจนไม่รู้ว่าควรจะตอบอะไร หากจะพูดว่าซ่งจื่อเซวียนเป็นคนกันเอง…เขาไม่ยอม แต่หากบอกว่าไม่ใช่ เช่นนั้นก็ขีดเส้นกั้นตัวเองให้อยู่นอกบริษัทแล้ว
ไอ้เด็กเวรคนนี้ เหี้ยมจริงๆ!
เห็นฉากนี้ ซ่งอวิ๋นหล่างจึงหัวเราะออกมา หลายปีมานี้ นอกจากตำแหน่งของซ่งอวิ๋นฮั่นที่อยู่เหนือสุดแล้ว ก็มีแต่เขากับฉินจ้งที่แย่งชิงกันอย่างหนัก
เห็นอีกฝ่ายโดนเหยียบย่ำขนนาดนี้ ซ่งอวิ๋นหล่างสะใจมากจริงๆ
“ฮ่าๆๆ คุณก็พูดออกมาสิว่าคุณอยู่ข้างไหน นายท่านลิ่ว ผมคิดว่าคุณหาจุดยืนที่ถูกต้องให้ได้ก่อนจะดีกว่า!”
ซ่งจื่อเซวียนเหลือบตามองซ่งอวิ๋นหล่างหนึ่งที แต่ไม่สนใจ แล้วเอ่ยว่า “ต่อจากนี้ไปตลาดทั้งสามแห่งถ้าเกิดเหตุการณ์ไม่รายงานและตัดสินใจเองโดยพลการ ผมจะถอนสิทธิ์การดูแลบริหารของพวกคุณ แน่นอนว่า เงินปันผลของผู้ถือหุ้นยังมีเหมือนเดิม แต่กลับบ้านไปกินเงินบำนาญแทนเถอะครับ”
พอเขาพูดจบ ก็ไม่มีใครเถียงอีก
เมื่อได้เห็นการกระทำทุกอย่างของซ่งจื่อเซวียนก่อนหน้านี้ ทุกคนที่อยู่ในห้องประชุมจึงเข้าใจหลักการอย่างหนึ่ง
เขาจะไม่พูดด้วยท่าทีขอคำปรึกษา ทุกเรื่องจะถูกกำหนดมาเรียบร้อยแล้วจึงมาแจ้งทุกคน
ส่วนพวกฉินจ้ง ซ่งอวิ๋นหล่างและเฮ่อเหว่ย หลังจากได้ยินแค่พยักหน้าก็พอแล้ว
ซ่งจื่อเซวียนมองซ้ายแลขวา เห็นทุกคนไม่พูดอะไรจึงเอ่ยว่า “โอเค ถ้าไม่มีความคิดเห็นอะไรก็เลิกประชุมครับ”
พูดจบ พวกฉินจ้ง ซ่งอวิ๋นหล่างและเฮ่อเหว่ยต่างลุกขึ้นเตรียมจะออกไป ซ่งจื่อเซวียนจึงพูดว่า “ซ่งอวิ๋นหล่าง คุณอยู่ก่อนครับ”
พอได้ยินประโยคนี้ ซ่งอวิ๋นหล่างก็อึ้งไป
ถึงแม้จะเพิ่งได้เจอหน้าหลานชายคนนี้ของตัวเองเป็นครั้งแรก แต่สไตล์การทำงานเมื่อครู่ของซ่งจื่อเซวียน บวกกับตอนนี้เรียกตัวเองให้อยู่เพียงคนเดียว ซ่งอวิ๋นหล่างจึงรู้สึกใจเต้นตึกตัก
เขาไม่รู้สึกเลยจริงๆ ว่าซ่งจื่อเซียนอยากจะทำตัวสนิทสนมตามประสาอากับหลาน…
แต่ตอนนี้อีกฝ่ายเป็นเถ้าแก่ สั่งให้เขาอยู่ ดังนั้นเขาก็ต้องอยู่
ซ่งจื่อเซวียนรอให้ทุกคนออกไปเพื่อจะได้คุยกับซ่งอวิ๋นหล่าง แต่ตอนนี้เฮ่อเหว่ยกลับเดินเข้ามา
เขายันโต๊ะประชุมด้วยมือข้างหนึ่ง ยิ้มเล็กน้อยแล้วพูดว่า “คุณเสี่ยวซ่ง ขอคุยส่วนตัวสักประโยคสองประโยคได้ไหมครับ”
ซ่งจื่อเซวียนได้ยินแล้วจึงหรี่ตามองเฮ่อเหว่ย แน่นอนเขารู้ว่าอีกฝ่ายอยากคุยอะไรกับตัวเอง
เมื่อวานตนเองทำให้ลูกชายของเขาใช้งานไม่ได้แล้ว เขาผู้เป็นพ่อจะไม่มาพูดทวงความยุติธรรมเหรอ
แต่ได้จังหวะพอดี ซ่งจื่อเซวียนอยากจัดการปัญหานี้เหมือนกัน นายมาหาฉันก่อน อย่างนั้นฉันก็จะรับมือ!
“โอเคครับ ไปที่ห้องทำงานของผมก็แล้วกัน!”
ภายในห้องทำงาน
ซ่งจื่อเซวียนนั่งอยู่หน้าโต๊ะทำงาน ส่วนเฮ่อเหว่ยนั่งบนโซฟา จุดบุหรี่หนึ่งมวน
ถึงแม้จะได้เห็นซ่งจื่อเซวียนแสดงความหยาบคายเล็กน้อยกับนายท่านฉินลิ่วไปเมื่อครู่แล้ว แต่ใบหน้าของเฮ่อเหว่ยในตอนนี้กลับยังคงเรียบเฉยเหมือนเดิม
“คุณเสี่ยวซ่ง ที่จริง…พวกเราน่าจะรู้จักกันเร็วกว่านี้ใช่ไหมครับ”
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้า “อาจจะใช่ครับ”
ซ่งจื่อเซวียนรู้ว่าเฮ่อเหว่ยเป็นคนฉลาด คาดว่าตอนนี้อีกฝ่ายก็พอคิดได้ว่า คนที่มีเรื่องกับเฮ่อเหยียนข่ายที่ตลาดเฉิงหนานในตอนนั้นก็คือตัวเอง
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ไม่มีความจำเป็นอะไรที่ต้องปฏิเสธ
“ผมคิดไม่ถึงเหมือนกัน เหอะๆ ว่าโลกมันจะแคบขนาดนี้ ตอนนี้คุณกลายเป็นเถ้าแก่ของผมซะงั้น” เฮ่อเหว่ยนั่งไขว่ห้าง สูบบุหรี่หนึ่งที
“โชคดีที่ผมนึกได้ เฮ่อเหว่ย นี่คือสิ่งที่คุณอยากจะพูดกับผมใช่ไหม” ซ่งจื่อเซวียนถาม
เฮ่อเหว่ยพลันยิ้ม “ถือว่าใช่ แต่…ไม่ใช่ทั้งหมด คุณเสี่ยวซ่ง คุณยังเด็ก บางครั้ง…ทำอะไรต้องคิดให้มาก”
“เหอะๆ คุณกำลังให้คำแนะนำผมงั้นเหรอ ผมรู้สึกว่าผมรับมือได้นะ!” ซ่งจื่อเซวียนกล่าว
เฮ่อเหว่ยพยักหน้า “อย่างนั้นก็ดี ยังไงบริษัทก็เป็นเพียงสถานที่ทำงานของพวกเราเท่านั้น ตลาดก็เหมือนกัน แต่…คนเราก็ต้องเดินออกไปข้างนอกอยู่ดี ไม่ใช่เหรอ”
ได้ยินดังนั้น ซ่งจื่อเซวียนหรี่ตาทั้งสองข้างเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าฟังคำข่มขู่จากปากของเฮ่อเหว่ยออก
“เหอะๆ เฮ่อเหว่ย คุณพูดแบบนี้ผมไม่ค่อยเข้าใจ”
เฮ่อเหว่ยส่ายหน้าหัวเราะ “ไม่เข้าใจเหรอ เป็นไปไม่ได้ เหอะๆ ด้วยมันสมองของคุณเสี่ยวซ่งจะไม่เข้าใจได้ยังไงครับ”
ซ่งจื่อเซวียนมองเฮ่อเหว่ย แล้วไม่พูดอะไรอีก แต่กลับเผยให้เห็นรอยยิ้มที่ชวนให้ขบคิด
ในใจของเขา รู้สึกถึงเจตนาของเฮ่อเหว่ยแล้ว เขากำลังทำให้ตนหวาดกลัว หรือกำลังข่มขวัญอยู่กันแน่
แท้จริงแล้วไม่ใช่เลย!
เขากำลังยั่วยุ ถึงแม้เขาจะไม่พูดให้ชัดเจน แต่ความหมายในคำพูดเป็นดังนี้ นายทำให้ลูกชายของฉันเดินไม่ได้ ต่อไปนายเดินตอนกลางคืนก็ระวังตัวหน่อย
เห็นซ่งจื่อเซวียนไม่พูด เฮ่อเหว่ยจึงลุกขึ้นเดินออกไป
ฟางรุ่ยเดินไปข้างหน้าขวางทางเขาทันที
“เหอะๆ ฉันพูดกับคุณเสี่ยวซ่ง ไม่ใช่นายที่มายืนตรงนี้กับฉัน!”
ขณะพูด เฮ่อเหว่ยก็เอามือวางบนไหล่ของฟางรุ่ย แล้วดันไปด้านข้าง
ดังนั้นฟางรุ่ยจึงยากที่จะขยับตัว ดวงตาสองข้างมองเฮ่อเหว่ยตาเขม็ง แต่ซ่งจื่อเซวียนกลับพูดว่า “รุ่ยจื่อ ถอย!”
ฟางรุ่ยจึงหลีกทางให้เฮ่อเหว่ยเดินออกไป แต่กลับเตรียมพร้อมลงมือตลอดเวลา
เฮ่อเหว่ยเข้าใกล้ซ่งจื่อเซวียน ยิ้มเล็กน้อยพูดว่า “น้องชาย จะทำอะไร…ก็อย่าบุ่มบ่ามเกินไป และอย่าสุดโต่งเกินไป นายท่านลิ่วไม่ธรรมดา”
ซ่งจื่อเซวียนพลันยิ้ม นายท่านลิ่วไม่ธรรมดางั้นเหรอ กำลังบอกว่าเฮ่อเหว่ยก็ไม่ธรรมดาใช่ไหม
“เหรอครับ แต่…เฮ่อเหว่ย ผมขอไม่รับคำแนะนำนี้นะครับ ผมชอบทำอะไรสุดโต่ง แบบนี้ศัตรูของผมถึงจะไม่มีแรงตอบโต้กลับ!”
ขณะพูด ซ่งจื่อเซวียนก็ลุกขึ้น มองเฮ่อเหว่ยที่สูงกว่าตัวเองเล็กน้อย เอ่ยว่า “และ…ผมก็มีความเคยชินอย่างหนึ่ง คนที่กล้าทำอะไรผมหรือคนของผม…ผมก็จะใช้วิธีที่ง่ายที่สุดตรงๆ ไม่ว่าคุณจะเป็นผู้ใหญ่หรือเด็กก็ตาม!”
เมื่อได้ยินประโยคนี้ เปลวไฟในใจของเฮ่อเหว่ยพลันลุกโชนขึ้นมา แววตาที่เกรี้ยวโกรธยากจะปิดบัง!
………………………………………………