เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 200 คุยไม่ถูกคอก็คว้าอาวุธโจมตี
- Home
- All Mangas
- เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง
- ตอนที่ 200 คุยไม่ถูกคอก็คว้าอาวุธโจมตี
ตอนที่ 200 คุยไม่ถูกคอก็คว้าอาวุธโจมตี
โจวเผิงยังคงรู้กาลเทศะเป็นอย่างดี ตั้งแต่วินาทีที่เข้ามาจนถึงตอนนี้เขายืนอยู่ที่ประตูและไม่กล้าเข้าใกล้เสี่ยหวง
อันที่จริงนี่เป็นกฎเก่าแก่ในวงการเช่นกัน เมื่อสนทนากับคนที่มีสถานะสูงส่งต้องไม่เป็นฝ่ายเริ่มก้าวไปข้างหน้าก่อน
เว้นแต่จะมีใครให้คุณเข้ามาใกล้หรือนั่งลง ก็คือไม่มีทางรู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองมีสิทธิ์นั้นหรือไม่
หวงฟามองโจวเผิงขึ้นลงตั้งแต่หัวจรดเท้าและยังไม่ปล่อยให้เขาเข้ามาทันที “นาย…ร่วมมือกับฉันเหรอ ทำไมล่ะ”
“เหอะๆ เสี่ยครับ ผมเข้าใจว่ามันเสียมารยาท แต่ผมก็รู้ดีว่าคุณยิ่งต้องการผมครับ เพราะผมรู้จักซ่งจื่อเซวียน”
เมื่อได้ยินประโยคนี้…
เสี่ยหวงมองไปที่เถียนเหวินคุ่ยอีกครั้ง อีกฝ่ายก็พยักหน้าเล็กน้อย หวงฟาจึงเอ่ย “นายเป็นอะไรกับซ่งจื่อเซวียน”
“เราเคยทำงานด้วยกันที่ต้าสือไต้ครับ ตอนนั้นเขาทำข้าวผัดจักรพรรดิในครัวด้านหลัง ส่วนผมเป็นผู้จัดการโถงด้านหน้าครับ” โจวเผิงตอบ
“นายเป็นผู้จัดการโถงด้านหน้าของต้าสือไต้เหรอ”
โจวเผิงพยักหน้า
หวงฟาเงียบไปสักพัก เมื่อใคร่ครวญดูแล้วอันที่จริงผู้จัดการห้องโถงของต้าสือไต้ก็ไม่สำคัญอะไรแล้ว ตอนนี้ต้าสือไต้ปิดตัวลงแล้ว มากสุดเขาก็เป็นแค่คนตกงานคนหนึ่ง
“แล้วไงล่ะ” หวงฟาถาม
“เสี่ยครับ ผมรู้ว่าคุณอยากจัดการซ่งจื่อเซวียน ผมรู้อีกด้วยว่าคุณทำให้เขาลำบาก แต่ตอนนี้ร้านอาหารร่ำรวยดังแล้ว ผมคิดว่า…คุณควรจะดังมากกว่านะครับ”
หวงฟาเริ่มร้อนรนเมื่อได้ยินประโยคนี้
เดิมทีตัวเองก็โกรธจะแย่แล้ว นี่นายยังเอาความจริงมาพูดกับฉันอีก ซ่งจื่อเซวียนไม่เพียงแค่ไม่ล่มจม แต่กลับกลายเป็นโด่งดัง เรื่องนี้มีเหรอที่ฉันจะไม่รู้ ยังต้องให้นายมาเล่าให้ฉันฟังแบบละเอียดอีกรอบหรือไง
เมื่อรวมกับท่าทางการพูดที่กระมิดกระเมี้ยนของโจวเผิง หวงฟาเองก็เกลียดคนที่อ่อนแอเช่นนี้
“ไสหัวออกไป!”
“เอ๋?”
จู่ๆ เสี่ยหวงก็ออกปากไล่ ทำให้โจวเผิงอึ้งไปทันที กระอักกระอ่วนแทบตายอยู่พักหนึ่ง
เดิมทีตัวเองอยากเสนอคำแนะนำ ใครจะรู้ว่าอีกฝ่ายจะหัวร้อน…
“เสี่ย…”
“ก่อนที่ฉันจะตัดสินใจฟาดนายด้วยมือของฉัน ออกไปซะ!”
โจวเผิงได้ยินก็ลอบถอนหายใจ ทำได้เพียงหันหลังกลับและจากไป
แต่ก่อนที่เขาจะเดินออกจากประตู เถียนเหวินคุ่ยก็เอ่ยขึ้น “เดี๋ยวก่อน!”
หวงฟามองไปที่เขา “เหวินคุ่ย นายจะทำอะไร”
หวงฟาไม่พอใจอย่างชัดเจน เขาออกปากไล่ไปแล้วแต่เถียนเหวินคุ่ยยังรั้งโจวเผิงไว้ ดูไม่ไว้หน้าเขาอยู่บ้าง
“เสี่ยครับ อย่าเพิ่งใจร้อน ฟังเขาพูดให้จบก่อนดีกว่าครับ”
“มีอะไรจะพูดกัน นายมาตบหน้าฉันถึงที่นี่น่ะเหรอ” ขณะที่พูด หวงฟาก็ลุกขึ้นและเดินไปหาโจวเผิง
เพียะ!
เสียงโดนฟาดที่ปากดังขึ้น บนใบหน้าของโจวเผิงก็มีความปวดแสบปวดร้อน ตามมาด้วยอาการวิงเวียนศีรษะ และเดินโซเซจนเกือบจะล้ม
“ไอ้หนู ไม่ว่าซ่งจื่อเซวียนจะให้นายมาทำให้ฉันขายหน้าหรือนายมาของนายเอง สำหรับคำพูดแบบนั้น นายสมควรโดนตบแล้วจริงไหม”
เมื่อเผชิญหน้ากับหวงฟา โจวเผิงรู้สึกว่าหัวใจของเขาเต้นเร็วขึ้น เพราะอีกฝ่ายเป็นคนสำคัญในวงการใต้ดินเมืองตู้เหมิน
เขาจะกล้าไม่พอใจที่โดนตบได้อย่างไร เขาพยักหน้าซ้ำแล้วซ้ำอีก “สมควร ผมสมควรครับ!”
เถียนเหวินคุ่ยอดส่ายหัวไม่ได้ ปกติหวงฟาไม่เป็นเช่นนี้ ดูเหมือนเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้จะย่ำแย่จริงๆ
เขาเดินเข้ามาใกล้แล้วเอ่ย “โจวเผิง นายพูดขยายความมาหน่อย”
“ตอนนี้ผมมีทุน รวมถึงเงินลงทุน พนักงานในครัวและห้องโถง ทุกคนล้วนเป็นคนมีความสามารถ และผมเข้าใกล้ซ่งจื่อเซวียนได้จึงทำงานให้กับเสี่ยหวงได้ครับ!”
ได้ยินประโยคนี้ เถียนเหวินคุ่ยก็อดไม่ได้ที่จะเหลือบมองไปที่หวงฟา และหวงฟาก็มองมาที่เขาอย่างเหนือความคาดหมายเช่นกัน
“คุณเถียน แม้ว่าคุณจะให้ความกล้ากับผมนับร้อย ผมก็ไม่กล้าหลอกลวงเสี่ยหวง ผมแทบรอไม่ไหวที่จะเห็นซ่งจื่อเซวียนตกต่ำ แต่ผมต้องมีคนที่พึ่งพาได้ และเสี่ยหวงก็คือคนที่พึ่งพาได้ซึ่งแข็งแกร่งที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัยครับ”
โจวเผิงปิดใบหน้าอย่างเต็มที่ นวดไปพลางพูดไปพลาง
“โอเค เข้ามานั่งเถอะ!”
เสี่ยหวงพูดจบก็กลับไปนั่งบนโซฟาราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น
โจวเผิงเดินเข้ามาด้วยความน้อยใจ ยืนละล้าละลัง อยากจะนั่งแต่ไม่กล้า…
“ฉันบอกให้นั่ง!”
หวงฟาตะเบ็งเสียง โจวเผิงตกใจมากจนถลานั่งกองอยู่บนโซฟา
“บอกมาสิว่านายวางแผนจะทำยังไง”
“ผมวางแผนว่าจะไปร้านอาหารร่ำรวยของซ่งจื่อเซวียน ถึงเมื่อก่อนเราจะเข้ากันไม่ค่อยได้ แต่ไม่ได้มีความขัดแย้งกัน ผมคิดว่าเขาจะเก็บผมไว้ครับ”
หวงฟาพยักหน้า หากคิดจะกำจัดซ่งจื่อเซวียนในเวลานี้ เขาก็ต้องการคนในจริงๆ
หากเป็นเช่นนี้ก็จะสามารถรู้ความเคลื่อนไหวเงียบๆ ของทางนั้นได้ตลอดเวลา รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง
“แล้วไงอีก” หวงฟาเอ่ยถาม
“ผมจะเปิดร้านอาหารแห่งหนึ่งและหวังว่าเสี่ยหวงจะสนับสนุนผม เรื่องการลงทุนและพนักงานผมจะเป็นคนดูแลเอง และผมต้องการให้เสี่ยหวงบอกเพื่อนร่วมอาชีพให้รู้ว่าเสี่ยหวงสนับสนุนร้านอาหารของผมครับ” โจวเผิงพูด
หวงฟาหรี่ตาอย่างอดไม่ได้ “หืม? เหอะๆ แล้วฉันจะได้อะไรล่ะ”
“เสี่ย คุณแค่รับปากแล้วผมจะให้กำไรคุณสิบเปอร์เซ็นต์ครับ!”
หวงฟาได้ยินก็หัวเราะครืนใหญ่ออกมา “ฮ่าๆๆ ไอ้หนู บ้าหรือเปล่า ยกเรื่องกำไรสิบเปอร์เซ็นต์มาคุยกับหวงฟาอย่างฉันเนี่ยนะ”
โจวเผิงส่ายหัว “ไม่ใช่ครับ เสี่ยหวง นี่ไม่ใช่แค่กำไรสิบเปอร์เซ็นต์เท่านั้น แต่ซ่งจื่อเซวียนจะถูกพวกเราบดขยี้ด้วยครับ!”
“นายมั่นใจแค่ไหน”
“ร้อยเปอร์เซ็นต์ ผมจะขโมยสูตรข้าวผัดจักรพรรดิของซ่งจื่อเซวียนครับ!” โจวเผิงกล่าว
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ หวงฟาก็หายใจเข้าเฮือกหนึ่ง “ถ้าเป็นแบบนี้ล่ะ…กำไรยี่สิบเปอร์เซ็นต์ ฉันจะรับปากนาย!”
“เสี่ยครับ ผมไม่มีทางเป็นเถ้าแก่ได้ ผมแค่อยากลงทุนทำร้านอาหาร อีกอย่างถ้าผมอยู่ที่ร้านอาหารร่ำรวยก็คงไม่มีส่วนร่วมในการบริหาร ในจุดนี้…เกรงว่าผมต้องขออภัยคุณจริงๆ”
เถียนเหวินคุ่ยพูดขึ้นว่า “เสี่ยครับ สิ่งที่เราสนใจไม่ใช่กำไรสิบหรือยี่สิบเปอร์เซ็นต์ แต่คือร้านอาหารร่ำรวยเจ๊งและคู่แข่งอย่างซ่งจื่อเซวียนล้มเหลว ผมคิดว่าเราทำตามที่เขาพูดได้ครับ!”
หวงฟาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ถ้าอย่างนั้นก็ฟังเหวินคุ่ย ฟังนะไอ้หนู เสี่ยหวงไม่ชอบคนที่สักแต่พูด นายไปที่ร้านอาหารร่ำรวยให้ได้ก่อนแล้วค่อยมาหาฉัน!”
“ครับ ครับ!”
“ไปซะ!”
……
เวลาสี่โมงยี่สิบนาที ณ บริษัทชิงอวี่
ในห้องทำงาน ซ่งจื่อเซวียนกำลังนั่งไขว่ห้างเล่นโทรศัพท์อยู่บนเก้าอี้หนัง
ฟางรุ่ยที่อยู่ด้านข้างกำลังเอนกายบนโซฟาและสูบบุหรี่ด้วยความเบื่อหน่าย
เสียงเคาะประตูดังสองสามครั้ง เจิ้งอวี่ก็เดินเข้ามา “คุณซ่ง พวกเขามาถึงแล้วครับ”
ซ่งจื่อเซวียนยังเล่นโทรศัพท์อยู่และถามว่า “มาพร้อมกันหมดแล้วใช่ไหม มีใครไม่มาบ้างไหม”
“มากันหมดครับ นายท่านรองกับนายท่านลิ่วก็มาถึงแล้ว ตอนนี้กำลังคุยกันอยู่ครับ”
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้าช้าๆ “เข้าใจแล้ว อาเจิ้ง ไปบอกพวกเขาว่าผมยังอยู่ระหว่างทาง ให้พวกเขารออีกเดี๋ยว ผมเล่นด่านนี้เสร็จแล้วจะไป”
“หา? เอ่อ…คุณซ่ง ยี่สิบนาทีก่อนคุณก็พูดแบบนี้ พวกเขารอจนเริ่มหงุดหงิดแล้วนะครับ” เจิ้งอวี่พูด
ซ่งจื่อเซวียนหัวเราะเบาๆ “ผมเป็นเถ้าแก่ ผมพูดก็ต้องเชื่อฟัง ผมบอกให้รอพวกเขาก็ต้องรอ เอาล่ะอาเจิ้ง ยากนะกว่าผมจะมาถึงด่านนี้ ใกล้จะผ่านด่านแล้วให้พวกเขารออีกเดี๋ยวเถอะ”
ได้ยินน้ำเสียงที่หนักแน่นของซ่งจื่อเซวียน เจิ้งอวี่จึงทำได้เพียงหันหลังกลับออกไป
เจิ้งอวี่เดินออกจากห้องทำงานก็ส่ายหัว “สุดท้ายก็ยังเป็นเด็กสินะถึงทำให้การประชุมล่าช้าได้ง่ายๆ เฮ้อ…”
จากนั้นเขาก็เดินไปที่ห้องประชุมและนำคำพูดของซ่งจื่อเซวียนมาพูดซ้ำอีกรอบ
“อะไรนะ ยังต้องรออีกเหรอ ตอนนี้ไม่ใช่ชั่วโมงเร่งด่วนเช้าเย็นสักหน่อย รถติดอยู่ที่ไหน” นายท่านฉินลิ่วถาม
ซ่งอวิ๋นหล่างพูดพร้อมกับตัดเล็บ “นายท่านลิ่วพูดถูก หลานชายคนโตของฉันเหมือนจะไม่รู้เวล่ำเวลา ดูเหมือนว่าพี่ชายฉันจะไม่ได้สั่งสอนเขาให้ดี”
เจิ้งอวี่หน้าดำหน้าแดง ถึงแม้จะไม่น่าฟังแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ เขาก็บ่นซ่งจื่อเซวียนอยู่ในใจ
“ให้ตายเถอะ หยิ่งเกินไปแล้ว ถึงจะเป็นเจ้านายคนใหม่ แต่ก็ควรรู้ว่าคนที่รอเขาอยู่ที่นี่เป็นผู้อาวุโสกันหมดหรือเปล่า ฮึ่ม พ่อแม่ไม่สั่งสอน!” นายท่านฉินลิ่วพูดด้วยความโกรธ
เจิ้งอวี่ได้ยินแบบนั้นก็ฟังต่อไปไม่ไหวแล้วจริงๆ พ่อแม่ไม่สั่งสอนเหรอ นี่กำลังพูดถึงซ่งจื่อเซวียนหรือด่าซ่งอวิ๋นฮั่นกันแน่
ฉินจ้งอวดดีมากขึ้นเรื่อยๆ แล้ว
ซ่งอวิ๋นหล่างยังเงียบเหมือนครั้งที่แล้ว หลานชาย…ไม่ใช่ลูกชายเสียหน่อย และยังเป็นหลานชายที่เขาไม่เคยพบหน้า เขาจึงไม่ได้มีความสนใจใดๆ
เฮ่อเหว่ยนั่งไม่พูดไม่จาอยู่ที่ตำแหน่งหลังสุด
เขากอดอกและมองไปข้างหน้าด้วยสีหน้าไม่แยแส เขาไม่เคยขัดจังหวะการโต้เถียงระหว่างนายท่านฉินลิ่วและนายท่านรองซ่งมาตั้งแต่ไหนแต่ไร
ในขณะนี้ เขาหยิบไฟแช็กซิปโปออกมาเปิดๆ ปิดๆ สุดท้ายก็ควงไฟแช็กและจุดเปลวไฟขึ้นมา
“คุณเจิ้ง คุณแน่ใจเหรอว่าเขาอยู่ระหว่างทาง”
เจิ้งอวี่พยักหน้า “ครับ ในสายเมื่อสักครู่บอกว่าใกล้จะถึงแล้วครับ”
เฮ่อเหว่ยกระตุกยิ้มอย่างผิดธรรมชาติเล็กน้อย “ได้ งั้นฉันจะรอ”
เมื่อเจิ้งอวี่ได้ยินก็ชะงัก เฮ่อเหว่ยพูดว่า ‘ฉันจะรอ’ ไม่ใช่ ‘พวกเราจะรอ’ ราวกับว่าเขาต้องการพบซ่งจื่อเซวียน
เวลาผ่านไปอย่างช้าๆ หลายคนที่ยังพูดคุยกันในตอนแรก เมื่อผ่านไปครึ่งชั่วโมงกว่าก็เปลี่ยนไปสูบบุหรี่กัน
ทั่วทั้งห้องประชุมเต็มไปด้วยควันหนาและมีก้นบุหรี่จำนวนนับไม่ถ้วนอยู่ในที่เขี่ยบุหรี่
เสียงดังที่สุดคือเสียงพ่นควันบุหรี่และเสียงเข็มวินาทีของนาฬิกาที่อยู่ใกล้เคียง
“ให้ตายเถอะ นี่มันเกือบสี่สิบนาทีแล้วมั้ง ไอ้เด็กนี่ไม่เห็นหัวใครเลย!”
เจิ้งอวี่เอ่ยขึ้น “นายท่านลิ่ว รอสักครู่ อย่าเพิ่งใจร้อน คุณซ่งจะมาแล้วครับ”
“หึ ครึ่งชั่วโมงที่แล้วนายก็พูดแบบนี้ ถ้าข้าเป็นเขาก็คงไม่มีทางมาสายขนาดนี้ใช่ไหม ไม่เคารพผู้หลักผู้ใหญ่เลย!”
นายท่านฉินลิ่วขมวดคิ้วและพูดพร้อมกับมือตบโต๊ะ ทำให้ขี้เถ้าบุหรี่ขยับตามไปด้วย
ทว่าสิ่งที่แปลกที่สุดในวันนี้คือเจ้าเจี้ยนไม่พูดไม่จา หากเป็นตามปกติเขาคงจะกระโดดขึ้นมาด่ากราดไปทั่วแล้ว
“ช่างมันเถอะ ข้าไม่รอแล้ว ยังมีงานอีกเป็นโขยง!”
ขณะที่พูด นายท่านฉินลิ่วก็ลุกขึ้นและขยิบตาให้จั่วอู่และเจ้าเจี้ยน
ทั้งสองไม่รู้จะทำอย่างไรอยู่พักหนึ่ง ไม่ว่าจะลุกขึ้นหรือไม่ลุกขึ้น…ดูเหมือนจะทำให้ใครสักคนขุ่นเคืองได้ทั้งนั้น
ทันใดนั้นประตูห้องประชุมก็เปิดออกและมีเสียงหัวเราะของซ่งจื่อเซวียนเข้ามาในเวลาเดียวกัน
“ฮ่าๆๆ ขอโทษที่ให้ทุกคนรอนาน รถติดบนถนนหนักมากเลยครับ!”
ขณะที่พูด ซ่งจื่อเซวียนก็ไปนั่งที่เก้าอี้ประธาน ขณะที่ฟางรุ่ยและเจิ้งอวี่ยืนอยู่ข้างหลังเขา
ต้องบอกว่าซ่งจื่อเซวียนยิ้มมาโดยตลอด รัศมีของเขาเมื่อเข้ามาก็ไม่ด้อยกว่าใครเลย แน่นอนว่าคนเหล่านี้นั่งรออยู่ที่นี่สี่สิบนาทีแล้ว แม้ว่าจะอดทนแต่ก็ได้สูญเสียมาดไปหมดแล้ว…
“เป็นยังไงกันบ้างครับ ผมเห็นว่า…นายท่านลิ่วกำลังจะไปแล้ว” ซ่งจื่อเซวียนเงยหน้าขึ้นแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม
“หึ แล้วไงล่ะ ข้ารออยู่ที่นี่นานขนาดนี้ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะนายรถติดหรือเพราะผู้อาวุโสอย่างพวกเราไม่ได้อยู่ในสายตานายกันแน่!” นายท่านฉินลิ่วตะคอกเสียงดังอย่างเย็นชา
ซ่งจื่อเซวียนยังคงยิ้มเช่นเดิม “รอแค่สี่สิบนาทีเท่านั้นเองนี่ครับ นายท่านลิ่วคงไม่ได้โกรธจริงๆ หรอกมั้ง”
“แค่งั้นเหรอ ไอ้เด็กนี่ปากดีจริงๆ แม้แต่พ่อนายคงไม่ทำมารยาทแบบนี้ใส่ฉันเลยนะ” นายท่านฉินลิ่วกล่าว
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้าและยิ้ม “ต้องการมารยาทใช่ไหมครับ เหอะๆ ผมจะให้คุณเอง!”
ขณะที่พูด ซ่งจื่อเซวียนก็หุบยิ้มทันที เขาหยิบที่เขี่ยบุหรี่ที่มีก้นบุหรี่อยู่เต็มโต๊ะขึ้นมาแล้วฟาดใส่หน้าฉินจ้ง!
ผัวะ!
นายท่านฉินลิ่วมีเลือดไหลออกมาจากคิ้ว ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยขี้เถ้าและก้นบุหรี่ หมดสภาพสิ้นดี…
ทุกคนตกอยู่ในความตกตะลึง นี่มันอะไรกัน การแสดงอำนาจไม่เห็นต้องทำเช่นนี้เลยนี่
ไอ้เด็กนี่โหดเหี้ยมจริงๆ คุยกันไม่ถูกคอก็คว้าอาวุธโจมตีเลย…
…………………………………………….