เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 196 สู้ๆ นะเสี่ยวเป่า!
ตอนที่ 196 สู้ๆ นะเสี่ยวเป่า!
เมื่อได้ยินประโยคนี้ ซ่งจื่อเซวียนก็รู้ว่าเรื่องเกี่ยวกับแก๊งขอทานอาจแก้ไขเรียบร้อยแล้ว
เมื่อวานเขาบอกอวี่เหวินเซี่ยวว่าถ้าบอกตัวตนของกู่เสี่ยวเป่าให้เขารู้ ซ่งจื่อเซวียนก็จะเล่าให้พวกเขาฟังด้วยว่าอาการบาดเจ็บของปู่กุ่ยเกิดขึ้นได้อย่างไร
“เสี่ยวเป่า นายจัดการเรื่องทางนั้นเสร็จแล้วเหรอ”
กู่เสี่ยวเป่าพยักหน้า “ใช่ ฉันเพิ่งจัดการเสร็จเมื่อเช้านี้ ว่าแต่พี่รอง เราไปคุยกันในห้องส่วนตัวไหม”
ซ่งจื่อเซวียนเข้าใจเช่นกันว่านี่เป็นเรื่องภายในแก๊งขอทานและเกี่ยวข้องกับเบื้องบน หากกู่เสี่ยวเป่าคิดจะบอกเขา จะต้องแอบทำลับหลังอย่างแน่นอน
จากนั้นทั้งสองจึงเข้าไปในห้องส่วนตัว กู่เสี่ยวเป่าสั่งให้อวี่เหวินเซี่ยวเฝ้าประตูไว้เพื่อป้องกันไม่ให้ใครมาแอบฟัง
เพียงพอจะแสดงให้เห็นแล้วว่าเรื่องนี้สำคัญต่อแก๊งขอทาน
เมื่อเข้าไปในห้องส่วนตัว กู่เสี่ยวเป่าก็เอ่ย “พี่รอง จริงๆ แล้ว…มีบางเรื่องที่ฉันปิดบังพี่อยู่ ฉันรู้ด้วยว่าพี่พอจะเดาได้บ้าง แต่ฉันลำบากจริงๆ”
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้าและยิ้ม “เพราะงั้น…เสี่ยวเป่า ฉันเลยจะไม่เซ้าซี้นาย ตอนแรกฉันคิดว่านายเป็นแค่ขอทานตัวน้อยธรรมดาๆ แต่พักหลัง…ฉันรู้สึกว่ามันไม่ได้เป็นแบบนั้น”
“ใช่แล้ว ในสาธารณรัฐจีน การมีอยู่ของแก๊งขอทานหลายสิบรุ่นต้องอาศัยการร่วมแรงร่วมใจกันของพี่น้องทุกคน จนถึงตอนนี้แก๊งขอทานเป็นรุ่นที่เจ็ดสิบเจ็ดแล้ว”
ซ่งจื่อเซวียนหรี่ตาลงเล็กน้อย แก๊งที่มีอายุมาหลายร้อยปีแล้ว เมื่อมองดูสาธารณรัฐจีนหรือแม้แต่โลกนี้ เกรงว่าคงไม่มีองค์กรไหนที่มีประวัติศาสตร์เช่นนี้
“และหัวหน้าแก๊งขอทานรุ่นที่เจ็ดสิบเจ็ด…”
ขณะที่พูด กู่เสี่ยวเป่าก็กัดริมฝีปากเบาๆ แล้วเอ่ยว่า “คือฉันเอง!”
ซ่งจื่อเซวียนตกใจมากเมื่อมีคำเหล่านี้ออกมา
ในเมื่อเข้าใจแล้วว่าแก๊งขอทานเป็นแก๊งอันดับหนึ่งในใต้หล้า ก็ควรจะจินตนาการได้แล้วว่าหัวหน้าแก๊งนี้อยู่ในระดับไหน!
กล่าวอย่างผิวเผิน ถ้าบอกว่าพวกเขาเป็นแก๊งขอทานก็ย่อมไม่มีปัญหาแน่นอน แต่หัวหน้าแก๊งขอทานรุ่นไหนบ้างที่เป็นคนธรรมดากันล่ะ เป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงโด่งดังในวงการหมดเลยไม่ใช่เหรอ!
เมื่อนึกถึงตรงนี้ ซ่งจื่อเซวียนก็ยกมือขึ้นและประสานหมัด “ฉันเสียมารยาทแล้ว”
“พี่รอง ฉันไม่ได้ตั้งใจปิดบังนะ” กู่เสี่ยวเป่าประสานหมัดคารวะคืน “ยังไงก่อนจะถึงวันนี้ ตัวตนของฉันในฐานะหัวหน้าแก๊งนับว่ายังไม่ได้ยืนยันอย่างสมบูรณ์”
“หืม? นี่หมายความว่าไง วันนี้เป็นพิธีสืบทอดตำแหน่งของพวกนายเหรอ”
“คงงั้นแหละ ยังไงในยุคนี้คงทำได้แค่พยายามสืบสานประเพณีอย่างดีที่สุด เราจะประกาศการสืบทอดตำแหน่งองค์กรของฉันต่อหน้าผู้อาวุโสแก๊งขอทานตามระเบียบเป็นสิ่งที่ควรทำ”
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้าช้าๆ “เหอะๆ ยินดีกับนายด้วย หัวหน้าแก๊งกู่”
“ตอนนี้แก๊งขอทานแบ่งออกเป็นสองฝ่าย การแบ่งฝ่ายนี้ขัดแย้งกันระหว่างฝ่ายเสื้อผ้าสะอาดและฝ่ายเสื้อผ้ามอมแมม หรือก็คือบางคนสนับสนุนฉันให้เป็นหัวหน้าแก๊งและบางคนก็ไม่สนับสนุน”
“นี่…ถือเป็นการสู้รบภายในเหรอ”
กู่เสี่ยวเป่าพยักหน้า “นั่นแหละ เดิมทีแซ่ของฉันไม่ใช่กู่แต่เป็นแซ่หง ฉันเป็นทายาทสายตรงของผู้นำแก๊งขอทานรุ่นที่สิบแปด แต่พี่ก็รู้ว่าขอทานคนหนึ่งที่ไม่รู้ชื่อแซ่ที่แท้จริงของตัวเองนั้นปกติจะตาย เพราะงั้นเลยถูกเรียกว่ากู่เสี่ยวเป่ามาตลอด”
“หง…” ซ่งจื่อเซวียนตกตะลึง นี่มันเหลือเชื่อเกินไปแล้ว โยงไปถึงสมัยราชวงศ์ซ่งเลย
“ใช่ แก๊งขอทานมีความขัดแย้งภายในอย่างรุนแรง พวกสืบสานประเพณีเลยเลือกฉันเป็นผู้สืบทอดสายตรง
แต่ตอนนี้ยังมีกลุ่มคนที่ภักดีต่อเฉินล่าง เพราะงั้นอันที่จริงช่วงนี้ฉันซ่อนตัวจากการไล่ล่าของพวกเขามาตลอด
ถ้าอวี่เหวินเซี่ยวไม่ปกป้องฉันอยู่เสมอ เกรงว่าฉันคงตายไปนานแล้ว พี่รอง เข้าใจความยากลำบากของฉันหรือยัง”
ซ่งจื่อเซวียนสูดลมหายใจและอดหดหู่ไม่ได้ หากเขาไม่รู้เรื่องนี้แล้วใครจะคิดว่าเด็กสิบกว่าขวบคนหนึ่งจะมีเรื่องราวมากมายขนาดนี้
“ตอนที่เราเจอกันครั้งแรก…คือถูกพวกนั้นของแก๊งขอทานไล่ล่าเหรอ” จู่ๆ ซ่งจื่อเซวียนก็นึกได้ว่าตอนที่พวกเขาเจอกันครั้งแรก กู่เสี่ยวเป่าถูกคนไล่จนเข้าไปในร้าน เขาจึงเอ่ยถามขึ้นมา
“ใช่ กลุ่มเสื้อผ้าสะอาดของแก๊งขอทานมีสมาชิกเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ และฝ่ายเฉินล่างเสนอให้แบนฝ่ายเสื้อผ้ามอมแมมน่ะ” กู่เสี่ยวเป่าพูด
“แบนกลุ่มเสื้อผ้ามอมแมมเหรอ งั้นแก๊งขอทาน…จะไม่ขอทานแล้วเหรอ”
“ถูกต้อง ขอทานเป็นประเพณีของแก๊งขอทานมาหลายร้อยปีแล้ว หากโดนแบนไป คำว่าขอทานสองคำนี้จะมีความหมายอะไรอีก เพราะงั้นฉันเลยสนับสนุนให้รักษานิสัยของขอทานเอาไว้
แต่ต้องจัดการแบบมีระเบียบ คราวนี้ที่ฉันพบกับผู้อาวุโสหลายท่าน นอกจากพิธีสืบทอดตำแหน่งของฉันแล้วก็เพื่อหารือเกี่ยวกับวิธีจัดการรูปแบบใหม่นี้ด้วย”
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้าพูด “เสี่ยวเป่า นายเพิ่งจะอายุเท่าไรเอง นายลำบากแล้วจริงๆ”
“ฉันเกิดในแก๊งขอทาน ฉันจะทำทุกอย่างเพื่อแก๊งขอทานโดยไม่ลังเล พี่รอง ปู่กุ่ยเป็นผู้อาวุโสในแก๊งขอทานของเรา ฉันปล่อยเรื่องที่เขาถูกทำร้ายไปไม่ได้”
ซ่งจื่อเซวียนได้ยินก็ใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งก่อนเอ่ย “เสี่ยวเป่า เรื่องนี้ฉันจะบอกนายแน่นอน แต่ไม่ใช่ตอนนี้”
“หืม? พี่รอง นี่หมายความว่าไง”
“เอาเป็นว่าคนที่ทำร้ายปู่กุ่ยมีส่วนเกี่ยวข้องกับฉัน แต่ฉันรับรองว่าฉันไม่มีทางปกปิดเพราะเรื่องนี้แน่นอน แต่…ยังไม่ใช่ตอนนี้ เอาอย่างนี้ ภายในหนึ่งเดือนฉันจะบอกนายเกี่ยวกับคนคนนี้ ว่าไง”
กู่เสี่ยวเป่าได้ยินคำตอบนี้ก็หายใจเข้าหนึ่งเฮือก
อันที่จริงเขาไม่ยอมรอเป็นเวลาหนึ่งเดือนแน่นอน แต่เขารู้จักกับซ่งจื่อเซวียนมานานแล้วจึงเข้าใจซ่งจื่อเซวียนดี
หากเป็นเรื่องที่ซ่งจื่อเซวียนไม่ยอม ไม่ว่าจะบังคับเขาแค่ไหนก็ไร้ประโยชน์ อีกทั้งเขาก็จัดการเรื่องต่างๆ อย่างแน่วแน่ ดังนั้นจะต้องมีความลำบากที่จะทำอย่างนี้เช่นกัน
กู่เสี่ยวเป่าพยักหน้า “ได้ พี่รอง เรื่องนี้สำคัญกับฉันมาก ฉันหวังว่าเมื่อถึงเวลาพี่จะรักษาสัญญานะ”
คำพูดนี้ทำให้ซ่งจื่อเซวียนรู้สึกหนักอึ้ง เขายังเป็นกู่เสี่ยวเป่าที่อายุสิบกว่าขวบคนนั้นเช่นเคย แต่การพูดจาของเขาในวันนี้กลับคำนึงถึงผลประโยชน์ของแก๊งขอทาน
เพื่อนก็ยังเป็นเพื่อน แต่ซ่งจื่อเซวียนต้องคุ้นชินกับความรู้สึกใหม่ๆ ที่ปะปนเข้ามา
“ได้ ไม่มีปัญหา”
จากนั้น กู่เสี่ยวเป่าไม่ได้กินข้าวที่ร้านอาหารร่ำรวย แต่กลับบอกว่ามีธุระต้องทำจึงจากไป
ซางเทียนซั่วเอ่ยขึ้น “อาจารย์ ขอทานตัวน้อยคนนี้ใช้ได้นี่หว่า วันนี้ไม่ขอกินฟรีแล้วก็ไปเลย”
ซ่งจื่อเซวียนมองแผ่นหลังของกู่เสี่ยวเป่าแล้วคลี่ยิ้ม
เขายังสวมเสื้อผ้าขาดรุ่งริ่งเหมือนเคย แต่เมื่อเขาเดินกลับมีรัศมีที่แตกต่างออกไป
เสี่ยวเป่า สู้ๆ นะ!
ช่วงบ่าย ธุรกิจร้านอาหารร่ำรวยไม่ค่อยดีนัก แม้แต่ช่วงเย็นก็มีผู้คนบางตาเพียงสองสามคนเท่านั้น
ส่วนข้าวผัดจักรพรรดิก็ตกลงมาจุดต่ำสุดคือขายออกศูนย์ที่
พวกหยางกังว่างงานกันมากจึงพูดว่า “ไอ้ชาติหมาพวกนี้ทำให้ร้านของเราที่กำลังไปได้สวยกลายมาเป็นแบบนี้ ให้ตายเถอะ โกรธฉิบหาย!”
“รอไปก่อนเถอะ จะต้องกลับมาดีขึ้นแน่นอน นายท่านรองมีวิธี!” หลัวลี่ลี่กล่าว
ซางเทียนซั่วกระตุกยิ้ม “เฮ้ๆ ลี่ลี่ ถ้าเธอชอบ ฉันเหมาสองสามโต๊ะได้เลยนะ”
หลัวลี่ลี่กลอกตามองเขา “ไม่ใช่ร้านฉันสักหน่อย นายจะเหมากี่โต๊ะก็ไม่เกี่ยวกับฉัน”
ซางเทียนซั่วมุ่ยปาก ราวกับว่าชินที่ถูกหลัวลี่ลี่ปฏิบัติกับเขาอย่างเย็นชาแล้ว
ซ่งจื่อเซวียนที่ยังสงบนิ่งในช่วงบ่ายก็รู้สึกกระวนกระวายใจเล็กน้อย หากกิจการยังเป็นเช่นนี้ นานวันเข้าต้องรับไม่ไหวอย่างแน่นอน
แม้ว่าเบื้องหน้าจะหาเงินได้บ้าง แต่ก็ยังทนไม่ได้ที่ต้องชดใช้แบบนี้
เมื่อคิดเช่นนั้น เขาจึงโทรหาหวังเฉียง
“น้องจื่อเซวียน เป็นยังไงบ้าง นายฉีกป้ายออกแล้วหรือยัง”
“ครับ พี่หวัง ฉีกป้ายออกแล้ว เราเปิดร้านแล้วด้วยครับ แต่…ไม่ค่อยมีลูกค้า คุณว่ามันเกิดอะไรขึ้น ร้านดีๆ ของเราอีกเดี๋ยวคงจะต้องปิดแล้ว” ซ่งจื่อเซวียนเอ่ย
หวังเฉียงยิ้ม “ฮ่าๆๆ มันต้องค่อยเป็นค่อยไป นายเปิดธุรกิจใหม่อีกรอบคงไม่กินคำเดียวแล้วอ้วนตุ้บเลยหรอก”
ซ่งจื่อเซวียนพูดกับตัวเองว่าคุณไม่ร้อนรนเพราะคุณกินเงินรัฐบาล ได้เงินเดือนตรงเวลา แต่ไม่ใช่กับการทำธุรกิจหรอกนะ…
“นี่…พี่หวัง คุณบอกว่าจะช่วยผมหาอินฟลูเอนเซอร์ในสื่อใหม่ๆ ไม่ใช่เหรอ มันไม่ได้ผลเลยใช่ไหม”
“หา? น้องชาย ของแบบนี้นายจะใจร้อนไม่ได้นะ เมื่อกี้ฉันเพิ่งแก้ไขเนื้อหาและส่งไปให้พวกเขาแล้ว แต่พวกเขาต้องใช้เวลาเตรียมการโพสต์น่ะ” หวังเฉียงตอบ
“ตอนนี้ยังโพสต์ไม่ได้เหรอครับ” ซ่งจื่อเซวียนถามอย่างร้อนรน
“เหอะๆ การโพสต์ของแต่ละคนต้องมีค่าใช้จ่ายนะ ฉันใช้เส้นสายให้พวกเขาโพสต์ออกไปก่อนคืนนี้ มันก็มากพอแล้ว น้องชายนายใจเย็นๆ พรุ่งนี้มาดูกัน มันน่าจะได้ผลแหละ”
ได้ยินหวังเฉียงพูดเช่นนี้ ซ่งจื่อเซวียนก็อายเกินกว่าจะเร่งรัดต่อไป จึงทำได้เพียงขอบคุณและวางสายโทรศัพท์
ในคืนนั้น ร้านอาหารร่ำรวยเลิกงานก่อนเวลาหนึ่งชั่วโมง ซ่งจื่อเซวียนไม่ได้พูดให้กำลังใจกับทุกคนมากมาย ในความคิดของเขา สิ่งที่สำคัญที่สุดยังคงเป็นอำนาจของหวังเฉียง
หากมีการโปรโมตจนถึงระดับหนึ่ง ออร์เดอร์จำนวนมากนั้นจะเป็นกำลังใจที่ดีที่สุด แต่ถ้าไม่…เกรงว่าร้านอาหารร่ำรวยจะยื้อไปได้อีกแค่ระยะหนึ่งจริงๆ
หลังจากเลิกงาน ซ่งจื่อเซวียนก็เก็บข้าวของและให้เจิ้งอวี่ขับรถพาเขาไปที่คลับเฮาส์หลงตู
ในเวลานี้ รถของเสี่ยเฉิงปาบังเอิญขับเข้าไปที่ลานจอดรถพอดี
เมื่อลงจากรถแล้วพบกัน เสี่ยเฉิงปาก็เอ่ย “น้องชาย วันนี้เราสองคนต้องดื่มอะไรดีๆ กันหน่อย ว่าแต่เปิดร้านเป็นยังไงบ้าง”
ซ่งจื่อเซวียนอธิบายสถานการณ์สั้นๆ แม้ว่าเสี่ยเฉิงปาจะถอนหายใจติดต่อกัน แต่ก็ทำอะไรไม่ได้
เมื่อเข้าไปในคลับเฮาส์ พนักงานหลายคนก็รีบวิ่งกรูเข้ามา “คุณซ่ง คุณมาแล้ว”
เนื่องจากเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานทำให้ทุกคนในคลับเฮาส์รู้จักซ่งจื่อเซวียน พวกเขาจึงเรียกเขาว่าคุณซ่งตามเจ้าเฮยจื่อไปโดยปริยาย
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้า “เฮยจื่อล่ะ”
“พี่เฮยออกไปแล้วครับ เพิ่งออกไปได้ไม่นาน เห็นบอกว่านายท่านลิ่วโทรมาหาเขาครับ”
ซ่งจื่อเซวียนได้ยินก็ยิ้ม “โอเคเลย สัญญาไว้แล้วยังกล้าไปพบฉินจ้ง เดี๋ยวถ้าเขากลับมาแล้วเรียกให้เขามาพบฉันนะ”
“ครับ คุณซ่ง”
จากนั้น ซ่งจื่อเซวียนก็ให้พนักงานเตรียมห้องส่วนตัว มีคนหลายคนเดินเข้ามา
“น้องชาย นี่มัน…หมายความว่าไง พนักงานผู้ชายพวกนี้รู้จักแกหมดเลยเหรอ” เสี่ยเฉิงปาถาม
อันที่จริงเสี่ยเฉิงปาชินกับผู้คนมากมายในคลับบันเทิงและไนต์คลับของตู้เหมิน จริงๆ แล้วนี่ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่ ตราบใดที่เขาออกไปเที่ยวเล่นก็รู้จักคนในสถานที่แบบนั้นไม่มากก็น้อย
แต่ซ่งจื่อเซวียน…กลับทำให้เขาประหลาดใจ เนื่องจากซ่งจื่อเซวียนดูไม่เคยยุ่งกับความบันเทิงเช่นนี้เลย
“แหะๆ เสี่ยปา จริงๆ แล้วที่ให้เสี่ยมาในวันนี้ก็เพราะเรื่องนี้แหละครับ”
“หืม? เรื่องอะไร บอกมาสิน้องชาย”
“เรื่องเงินๆ ทองๆ น่ะครับ” ซ่งจื่อเซวียนยิ้ม หยิบขวดเหล้าขึ้นมาแล้วรินให้เสี่ยเฉิงปาหนึ่งแก้ว
“วันนี้…เราจะไม่เรียกให้สาวๆ มาอยู่เป็นเพื่อน ผมจะคุยกับเสี่ยปาเรื่องจริงจังนิดหน่อย ตอนนี้คลับแห่งนี้อยู่ในชื่อของผม เสี่ยปามีทรัพย์สินด้านนี้บ้างหรือเปล่าครับ”
เมื่อเสี่ยเฉิงปาได้ยินก็ตกตะลึงไป
ก่อนหน้านี้ เสี่ยเฉิงปารู้ว่าซ่งจื่อเซวียนมีฝีมือการทำอาหารอยู่บ้างและสามารถทำข้าวผัดจักรพรรดิได้
ส่วนทรัพย์สิน ไม่ว่าเขาจะแข็งแกร่งแค่ไหนก็ไม่เท่าเฉิงปา อย่างไรเสี่ยปายังมีร้านอื่นๆ อยู่บ้าง แต่ซ่งจื่อเซวียนมีร้านอาหารร่ำรวยเพียงแห่งเดียวเท่านั้น
แต่ตอนนี้เขารู้สึกเหมือนได้รู้จักซ่งจื่อเซวียนใหม่อีกครั้ง
คลับเฮาส์หลงตูแห่งนี้แม้จะไม่ถือว่าหรูหราระดับท็อป แต่ก็เป็นสถานที่ที่มีค่าครองชีพสูงในเมืองตู้เหมินแน่นอน
หากพูดถึงการประเมินค่าง่ายๆ นั่นคือฐานะของซ่งจื่อเซวียนจะต้องไม่ต่ำกว่าสิบล้าน
“นี่…น้องชาย อย่าแกล้งกันเล่นสิ ที่นี่…ของแกเหรอ”
…………………………………………….