เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 194 จิ้งจอกเฒ่า
ตอนที่ 194 จิ้งจอกเฒ่า
ได้ยินประโยคนี้ จั่วอู่ใจสั่นทันที
ประโยคนี้ของซ่งจื่อเซวียนฟังเผินๆ มีความเป็นเด็กอยู่บ้าง เหมือนกับเด็กคนหนึ่งที่เพิ่งจะได้รับตำแหน่งก็ต้องการแสดงอำนาจ
แต่ในนั้นก็แฝงจุดมุ่งหมายเอาไว้ด้วย ทำให้จั่วอู่แอบหวั่นวิตกขึ้นมา
ต้องรู้ว่ารัศมีแบบนี้ ดูเหมือนแม้แต่นายท่านฉินลิ่วก็ยังด้อยกว่าหลายส่วน
“เรื่องนี้…คุณซ่ง ผม…”
จู่ๆ ซ่งจื่อเซวียนก็ยกมือขึ้นห้ามไม่ให้จั่วอู่พูดต่อ
“จั่วอู่ ผมบอกว่าคุณเป็นลูกน้องของผม คุณยอมไหม” ก่อนหน้านี้ซ่งจื่อเซวียนก็ถามเจ้าเจี้ยนว่ายอมไหม ครั้งนี้ถึงตาจั่วอู่แล้ว
“ยอมครับ คุณคือเถ้าแก่ ผมต้องยอมอยู่แล้ว”
ซ่งจื่อเซวียนหันหลังมามองจั่วอู่ด้วยรอยยิ้ม “จั่วอู่ คุณฉลาดมาก ไม่เหมือนเจ้าเฮยจื่อ ต้องโดนกระทืบก่อนถึงจะรู้จักยอม!”
ข่มขู่! นี่มันข่มขู่กันชัดๆ!
นอกจากจั่วอู่จะรู้สึกถึงความหวั่นไหวแล้ว ยังรู้สึกถึงการข่มขู่ขั้นสุดด้วย
“เจ้าเฮยจื่อ…โดนกระทืบเหรอครับ” จั่วอู่ไม่อยากจะเชื่อ ปกติเจ้าเฮยจื่อเป็นคนไม่กลัวฟ้ากลัวดินอยู่แล้ว
วันนี้ตอนสายๆ เขายังขัดแย้งกับซ่งจื่อเซวียนอยู่เลย ช่วงบ่ายก็…โดนจัดการไปแล้วเหรอ
ซ่งจื่อเซวียนยิ้ม “ผมคนนี้ไม่ได้มีวิธีจัดการคนอะไรเลย เจ้าเฮยจื่อเป็นแบบนี้ คุณก็เป็นแบบนี้เหมือนกัน แม้แต่นายท่านฉินลิ่ว…ก็เป็นแบบนี้ได้เหมือนกัน!”
ซ่งจื่อเซวียนพูดพลางเดินกลับไปที่โต๊ะ นั่งลงพิงกับเก้าอี้หนัง ยกสองขาขึ้นพาดโต๊ะ
เห็นท่าทางของซ่งจื่อเซวียนตอนนี้ ในสมองของจั่วอู่ก็ปรากฏตัวอักษรขึ้นมาเป็นคำว่า เหิมเกริม!
แต่คำว่าเหิมเกริมนี้ไม่ใช่ข้ออ้างเลย เขาเป็นเถ้าแก่ ไม่ใช่แค่บริษัทภาพยนตร์และโทรทัศน์ แต่เป็นทั้งบริษัท!
“ผมเข้าใจครับคุณซ่ง”
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้า เอามือดึงเอกสารบนโต๊ะมาแล้วถามว่า “หนังเรื่องใหม่ฉายแล้ว ปีหน้ามีแผนไหม”
“มีครับคุณซ่ง” จั่วอู่ตอบพลางเริ่มหาเอกสารในกอง
“ไม่ต้องหาแล้ว ผมขี้เกียจจะดูของที่เป็นรูปแบบพวกนี้ สรุปใบเสนอราคาสุดท้ายทั้งหมดมาให้ผม”
ประโยคนี้ซ่งจื่อเซวียนพุ่งเป้าไปที่ใบเสนอราคา อธิบายได้ว่ามุ่งเป้าไปที่เงิน ทำให้จั่วอู่ลุกลี้ลุกลนทันที
ที่จริงเขาก็ทำตามหน้าที่ แต่ตามคำแนะนำของนายท่านฉินลิ่ว เขาก็มักจะทำงบประมาณให้มากขึ้นสักหน่อย
และในโครงการภาพยนตร์และโทรทัศน์ งบประมาณพวกนี้ไม่ได้เริ่มต้นที่หลักหมื่น อย่างน้อยๆ ก็พูดได้ว่าหลายแสน ส่วนมากก็หลักล้านขึ้นไป
“คุณซ่ง เรื่องใบเสนอราคาอยู่กับทางนายท่านลิ่วชั่วคราวครับ คุณก็รู้ว่าผมแค่รับหน้าที่บริหารจัดการบริษัทภาพยนตร์และโทรทัศน์ นายท่านลิ่วต่างหากที่รับผิดชอบเรื่องการวางกลยุทธ์”
ซ่งจื่อเซวียนได้ยินก็ถลึงตาทันที “นี่เป็นกฎที่ใครตั้งขึ้นกัน บริษัทเหรอ คุณเอาเอกสารมาให้ผมดูหน่อยซิ!”
ได้ยินคำพูดของซ่งจื่อเซวียน จั่วอู่สั่นไปแทบทั้งตัว ต้องพูดเลยว่าสไตล์การดำเนินเรื่องของคุณชายท่านนี้ส่วนใหญ่ไม่เหมือนกับซ่งอวิ๋นฮั่นเลย
ไม่มีพวกความประนีประนอม มาถึงก็แข็งกร้าวเลย!
ที่จริงตัวซ่งจื่อเซวียนก็ไม่คิดว่าตนเองจะเป็นแบบนี้ แต่นึกถึงหน้าตาท่าทางของคนพวกนั้นที่ต้องการแย่งกันฮุบบริษัท…
นึกถึงที่นายท่านฉินลิ่วสาปแช่งให้ซ่งอวิ๋นฮั่นตาย ส่วนซ่งอวิ๋นหล่างแม้แต่จะโต้แย้งยังไม่มี ทุกครั้งที่เขาคิดถึงก็รู้สึกโมโหขึ้นมาทันที
“คะ คุณซ่ง ไม่มีเอกสารครับ นี่เป็นสิ่งที่นายท่านลิ่วกำหนดไว้ทั้งหมด บริษัทภาพยนตร์และโทรทัศน์ส่วนนี้เขาเป็นคนดูแลหลัก ก่อนหน้านี้คุณซ่งพ่อของคุณก็ยอมรับครับ”
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้า “โอเค งั้นตอนนี้ผมจะบอกคุณว่าปัจจุบันกับเมื่อก่อนไม่เหมือนกันแล้ว คุณมารับผิดชอบบริษัทภาพยนตร์และโทรทัศน์ เรื่องทั้งหมดรายงานมาที่ผมคนเดียวเท่านั้น เข้าใจไหม”
“เข้าใจ ผมเข้าใจครับ คุณซ่งคนก่อนก็พูดไว้ว่าเรื่องหลังจากนี้ให้ผมรายงานไปที่คุณทั้งหมดคนเดียวเท่านั้น”
“ตอนนี้ข้อมูลภายนอกทั้งหมดต้องให้ผมเอากลับไปทั้งหมด จากนั้นข้อมูลภายในพวกนี้ก็เอาออกไปจากบริษัทชั่วคราว ความรับผิดชอบทั้งหมดต้องขึ้นอยู่กับผม!”
จั่วอู่ก้มหน้าไม่พูดไม่จา ที่จริงเรื่องนี้เขาก็ไม่กล้าเป็นคนตัดสินใจ อย่างไรด้านหนึ่งก็เป็นซ่งจื่อเซวียน ด้านหนึ่งก็เป็นนายท่านฉินลิ่ว เขาไม่กล้าเข้าปะทะตามใจ
แต่ซ่งจื่อเซวียนก็คิดถึงจุดนี้ เขามองจั่วอู่ พูดเสียงดังว่า “เข้าใจหรือยัง ตอบผมมา!”
“ผม…คุณซ่งครับ เรื่องนี้…”
“ผมถามแค่ว่าเข้าใจไหม!”
“ครับ เข้าใจแล้วครับ!”
จั่วอู่อยู่ในวงการมานานหลายปีขนาดนี้ ยังไม่เคยกลัวขนาดนี้มาก่อนเลย
เขากลัวซ่งอวิ๋นฮั่น เขากลัวนายท่านฉินลิ่ว แต่พอรวมกันแล้ว ยังไม่เท่าความกลัววันนี้เลย…
คุณเสี่ยวซ่งท่านนี้…แม่งโคตรโหดเลย
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้าน้อยๆ “ดี อีกอย่าง ผมพอรู้กฎเกณฑ์ของวงการบันเทิง แต่ถ้ามีผู้กำกับของบริษัทกล้ามีลับลมคมในกับนักแสดงหญิง ก็ให้ไสหัวออกไปให้พ้นหน้าผมให้หมด!”
“คุณซ่งหมายถึง…”
“ไอ้หนวดเฟิ้มนั่นด้านนอก ตั้งแต่พรุ่งนี้ไปไม่ต้องให้มาทำงานแล้ว อีกอย่างศักยภาพของหูอินเหม่ยไม่เลวเลย ช่วงนี้จัดบทละครให้เธอด้วยนะครับ” ซ่งจื่อเซวียนพูด
“เข้าใจแล้วครับคุณซ่ง!”
“แล้วก็ ไม่ว่าจะผลงานอะไร ถ้าผมไม่ได้เซ็นใบเสนอราคาห้ามดำเนินการเลยทั้งหมด จะเป็นใครนอกจากผมก็ไม่มีสิทธิ์ทั้งนั้น!”
ซ่งจื่อเซวียนมองจั่วอู่ พูดเน้นทีละคำ
จั่วอู่พยักหน้าทันที “ครับ คุณซ่ง ผมจะจำไว้ทั้งหมดครับ เรื่องที่คุณกำชับผมจะทำให้เดี๋ยวนี้เลย!”
ซ่งจื่อเซวียนหัวเราะเสียงเบา ลุกขึ้นเดินออกไปนอกห้องทำงานทันที ก่อนจะไป เขาก็หันหน้ามาพูดว่า “อย่าเลียนแบบเฮยจื่อนะ จั่วอู่ ร่างกายคุณไม่ได้แข็งแรงเหมือนเขา”
“เข้าใจแล้วครับ”
หลังจากซ่งจื่อเซวียนจากไป จั่วอู่ก็ทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่ เหมือนกับเมื่อครู่โดนภูเขาลูกหนึ่งกดทับไว้ตลอด แทบจะหายใจไม่ออกอยู่แล้ว
จู่ๆ ตอนนี้เขาก็มีความรู้สึกว่าอยากจะร้องออกมา ไม่ใช่ว่าน้อยเนื้อต่ำใจ แต่ว่า…ตกใจ
แต่สติสุดท้ายของเขาก็ยังทำให้เขาตาสว่าง
รัศมีของคุณชายท่านนี้แข็งแกร่งเกินไป แต่ทางนายท่านฉินลิ่วกลับมั่นคงดั่งเขาไท่ซาน อนาคตกลัวว่าได้โหมคลื่นลูกใหญ่ในบริษัทแน่
ส่วนใครจะชนะ…เขาบอกไม่ได้ ดังนั้นเขาต้องหยัดยืนในทีมให้ได้ แต่ไม่ใช่เป็นผู้ใต้บังคับบัญชา
……………
ออกจากบริษัทภาพยนตร์และโทรทัศน์ พวกซ่งจื่อเซวียนก็ไปหาร้านอาหารเพื่อกินข้าว จากนั้นก็แยกย้าย
สำหรับเขาแล้ว ตอนนี้สองสามเรื่องที่สำคัญที่สุดล้วนต้องมีความคืบหน้า ร้านอาหารร่ำรวยเปิดร้าน ด้านบริษัทก็จัดการจั่วอู่กับเจ้าเจี้ยนแล้ว ขั้นตอนต่อไป…เขาต้องเข้ารับตำแหน่ง เปิดประชุมบริษัทด้วยตัวเอง
ถึงวันนั้น การประชุมก็จะเป็นสนามรบ
……………….
ร้านเดรนท์เรสเตอรองท์ เขตเฉิงจง
ในห้องส่วนตัว เฮ่อเหว่ยยกขวดสุราขึ้นรินใส่แก้วสองใบ
เขายกแก้วขึ้นชน เอ่ยว่า “นายท่านลิ่ว อาหารของเดรนท์ยังถูกปากไหมครับ”
ส่วนนายท่านฉินลิ่วที่นั่งอยู่ตรงข้ามเขา ยังคงสวมเสื้อคอจีนผ้าฝ้ายซาตินเหมือนเคย มือถือไม้เท้าสีแดงพุทราเอาไว้ แหวนบนนิ้วสะท้อนแสงสีทองเรืองรอง
“เฮ่อเหว่ยหนอ จะกินอะไรไม่สำคัญหรอก ได้กินข้าวโต๊ะเดียวกันกับนายต่างหาก ชายชราถึงจะมีความสุข” ขณะที่นายท่านฉินลิ่วพูดก็สอดแทรกคำชี้แนะที่จริงใจเล็กๆ อยู่ไม่น้อย
เฮ่อเหว่ยยิ้ม “ใช่ครับนายท่านลิ่ว หลายปีมานี้ ทุกคนยุ่งกันหมด ยากจะมีโอกาสได้นั่งคุยกันแบบนี้”
“ใช่ ที่จริงบรรดาคนในบริษัท ฉันก็คุยกับนายได้ง่ายๆ ไอ้หมาอาศัยบารมีนายซ่งอวิ๋นหล่างนั่น ฉันขี้เกียจจะสนใจเขา!”
เฮ่อเหว่ยรู้ว่านายท่านฉินลิ่วไม่ลงรอยกับซ่งอวิ๋นหล่าง เป็นสองผู้นำของบริษัท แน่นอนว่าไม่ได้นับซ่งอวิ๋นฮั่น
“เหอะๆ ปกตินายท่านรองจะแข็งสักหน่อย แต่ก็เข้าใจได้ ยังไงเขาก็เป็นน้องชายของคุณซ่ง” เฮ่อเหว่ยพูด
นายท่านฉินลิ่วแค่นเสียงเย็น “คนแบบนี้ไม่มีค่าหรอก ตอนนี้ก็ช่างไป ไม่รู้ว่าคุณซ่งไปเอาลูกชายจากไหนมารับตำแหน่ง แถมยังเป็นแซ่ซ่งของบ้านเขาอีกนะ”
เฮ่อเหว่ยพิจารณานายท่านฉินลิ่วด้วยสองตา ยิ้มทันที “นายท่านลิ่ว คนในครอบครัวของบริษัทนี้…”
“เฮ้อ…อย่าพูดเรื่องนี้เลย ฉันไม่เคยคิดจะเป็นคนในครอบครัวเลย การประชุมครั้งก่อน ฉันก็พูดไปแล้วว่าต้องการผู้นำมาทำงานชั่วคราว”
เฮ่อเหว่ยพูดในใจ ‘แกมันจิ้งจอกเฒ่า ถึงเกราะป้องกันจะแข็งแกร่งมาก แต่ความทะเยอทะยานนั่นจะซ่อนไว้อยู่อีกเหรอ’
“นั่นสิครับ ผมเข้าใจนายท่านลิ่วอยู่แล้ว นับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทมานายท่านก็คอยปรนนิบัติพัดวีมาตลอด เป็นผู้บุกเบิกอย่างแท้จริงจะเห็นแก่ตัวได้ยังไงกัน”
นายท่านฉินลิ่วมองเฮ่อเหว่ย ขมวดคิ้วน้อยๆ “เฮ่อเหว่ย นายก็อย่าโจมตีเพื่อเปลี่ยนผู้นำล่ะ ถึงฉันจะไม่คิดว่าเป็นคนในครอบครัว แต่ตอนนี้คุณซ่งออกจากตำแหน่งแล้ว ฉันก็รู้สึกเศร้าใจ อยู่กับบริษัทไป…ก็ไม่มีความหมายอะไร”
เฮ่อเหว่ยแอบหัวเราะ ตาเฒ่านี่ฉลาดจริงๆ ฟังสิ่งที่ตนจะสื่อออก
ถ้านายท่านฉินลิ่วไหลไปตามสิ่งที่เฮ่อเหว่ยพูด เช่นนั้นเขาก็ภักดีอย่างแน่นอน ถ้าวันหลังต้องขัดแย้งจริงๆ ก็ต้องพิจารณาท่าทีของตนเองในอดีต
ดังนั้นเขาจึงรีบอธิบาย ถึงจะไม่อยากเป็นลูกพี่ใหญ่ แต่ก็ไม่อยากทำงานกับบริษัทแล้ว
พูดง่ายๆ ก็คืออยากแยกตัว เอาส่วนของตัวเองไป
นี่ก็เป็นเป้าหมายของเฮ่อเหว่ย ถ้าแยกบริษัทจริง ในมือเขาถือตลาดอาหารทะเลเขตเฉิงเป่ยไว้อยู่ รายได้หลักร้อยล้านต่อปีก็ไม่มีอะไรที่อยากได้อีกแล้ว
แต่ตัวเขาพูดออกไปไม่ได้ ดังนั้นทำได้แค่หาคนที่เหมาะสมสักคนเสนอออกมา
“อยู่กับบริษัทไปก็ไม่มีประโยชน์เหรอครับ นี่นายท่านลิ่วจะเกษียณแล้วเหรอ” เฮ่อเหว่ยจงใจถาม
“เกษียณเหรอ นายเห็นฉันเป็นตาแก่โง่เง่าไปแล้วหรือไง หุ้นในบริษัทเบิกออกมาเป็นเงินสดไม่ได้ ความสำเร็จของฉันหลายปีมานี้ยังไม่คุ้มค่ากับตลาดสักแห่งเลยเหรอ”
เฮ่อเหว่ยพยักหน้าน้อยๆ “นั่นสิครับ บริษัทเปลี่ยนผู้นำใหม่ ผมก็คิดเหมือนกันว่าหมดแรงจูงใจ แถม…เราก็แก่กันหมดแล้ว”
“เฮ่อเหว่ย นายคิดว่า…คุณเสี่ยวซ่งคนนี้เป็นยังไง” นายท่านฉินลิ่วถาม
“เรื่องนี้…ผมก็พูดไม่ได้ แต่จะยังไงก็เป็นเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมคนหนึ่ง แล้วจะผลิดอกออกผลเรื่อยๆ ได้ยังไงครับ”
“นั่นน่ะสิ แต่ฉันคิดๆ ดู คุณซ่งยังนั่งบัญชาการอยู่ตรงนั้นนะ” นายท่านฉินลิ่วพูด
เฮ่อเหว่ยยิ้ม “คุณซ่งเหรอ เหอะๆ วันนี้นายท่านลิ่วไม่ได้ไปที่บริษัทไงครับ เลยไม่ได้เจอคุณซ่ง”
พูดจบ เฮ่อเหว่ยก็ยกแก้วสุราขึ้น นายท่านฉินลิ่วก็รีบยกแก้วชนกับเขาเล็กน้อย สื่อให้เขาพูดต่อ
“ที่จริงเรื่องสถานการณ์ของคุณซ่งพวกพี่ๆ ก็มีความเห็นเป็นของตัวเองกันทั้งนั้น ผมบอกได้แค่ว่าทุกคนไม่ได้คิดผิด ถึงคุณซ่งจะยังอยู่บนโลกมนุษย์ แต่ร่างกาย…”
“ร่างกายเป็นยังไง” นายท่านฉินลิ่วรีบซักไซ้
“หน้าซีดอย่างกับกระดาษ ริมฝีปากม่วงคล้ำ ยังประชุมไม่ทันเสร็จ เขาก็รีบร้อนจากไป ถ้าผมเดาไม่ผิด…เขาพยุงร่างกายไม่อยู่แล้ว!” เฮ่อเหว่ยจงใจเล่าข่าวคราวพวกนี้ให้นายท่านฉินลิ่วฟัง
“โอ้ จริงเหรอ” นายท่านฉินลิ่วเก็บซ่อนความตื่นเต้นไว้ในใจ
“จริงแท้แน่นอนครับ นายท่านลิ่ว ถ้าคุณซ่งไม่อยู่…เรายังต้องช่วยคุณเสี่ยวซ่งนั่นหาเงินให้ตระกูลเขาอีกไหม”
นายท่านฉินลิ่วโบกมือ “สรรพสิ่งยังเหมือนเดิมแต่คนเปลี่ยนไป คิดถึงตอนนั้น…เฮ้อ ตอนนี้ฉันก็แก่แล้ว ถ้าคอยปรนนิบัติต่อ ทั้งชีวิตนี้ก็หมดหวังแล้ว”
เฮ่อเหว่ยยิ้ม “นายท่านลิ่ว พูดมาตรงๆ เถอะ ถ้าคุณจะแยกบริษัท ผมเฮ่อเหว่ยโหวตให้คุณเสียงหนึ่ง ว่าไงครับ”
“หืม” นายท่านฉินลิ่วสูดลมหายใจ “เหอะๆ นายก็พูดมาตรงๆ หมดแล้ว เฮ่อเหว่ย ฉันจะเอาบริษัทชิงอวี่ ส่วนตลาดเขตเฉิงเป่ยก็ให้นาย!”
ได้ยินดังนั้น เฮ่อเหว่ยก็แค่นหัวเราะเสียงเย็นในใจ จิ้งจอกเฒ่า ความทะเยอทะยานของแกนี่…เผยออกมาแล้วสินะ
เขายกแก้วขึ้นพูดทันทีว่า “งั้นผมอวยพรล่วงหน้าเลยแล้วกัน!”
“ฮ่าๆๆ พูดได้ดี!”
เพิ่งจะดื่มสุราหมดไปหนึ่งแก้ว โทรศัพท์ของเฮ่อเหว่ยก็ดังขึ้น
เขารับสายแล้วเพิ่งพูดได้หนึ่งประโยค หน้าก็เปลี่ยนสีไป
…………………………………………..