เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 189 ยอมไหม
ตอนที่ 189 ยอมไหม
เจ้าเฮยจื่อกำลังเดินไปข้างหน้า พอเห็นซ่งจื่อเซวียนก็หยุดทันที
คำพูดที่ว่าไสหัวออกไป ทำเขาแทบจะยืนไม่อยู่ อึ้งจนตัวเอนไปข้างหลังเล็กน้อย
มีคนก่อเรื่อง เขาต้องเข้ามาดูแล พูดง่ายๆ คือเข้ามาต่อยตี!
แต่พอเห็นว่าเป็นซ่งจื่อเซวียน คำว่ากลัวก็เกิดขึ้นในใจของเขาทันที!
ระหว่างที่กำลังสับสนอยู่ คำว่าไสหัวไปของซ่งจื่อเซวียน ทำให้เจ้าเฮยจื่อตอบสนองแทบไม่ทัน
“ครับ…”
พอรู้ตัว เขาจึงหันตัวเดินออกไป
นักเลงที่อยู่ข้างหลังเขาต่างงุนงง
พี่เฮยเป็นอะไร
เมื่อก่อนมีคนก่อกวนอาละวาด พี่เฮยจะพุ่งเข้าไปเป็นคนแรก และยังต่อยตีอย่างกระตือรือร้นที่สุด แต่วันนี้…อีกฝ่ายสั่งให้ออกไป เขาก็ออกมาจริงๆ
เห็นเจ้าเฮยจื่อไม่คิดจะกลับมา นักเลงพวกนั้นต่างมองหน้ากัน เดินออกมาโดยไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
ซางเทียนซั่วกับฟางรุ่ยก็ตกตะลึง
อันที่จริงตั้งแต่ที่พวกเขาเข้ามา ทั้งสองคนไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมซ่งจื่อเซวียนถึงสั่งให้มาที่นี่
และตอนนี้กลับตะลึงยิ่งกว่า พอบุกเข้ามา ลูกน้องของอีกฝ่ายเข้ามาจัดการ แต่กลับโดนนายท่านรองไล่ตะเพิดออกไป…
“อาจารย์ เอ่อ…เกิดอะไรขึ้น พวกเรากำลังถ่ายหนังเหรอ มีผู้กำกับสั่งให้พวกเขาออกไปเหรอ” ซางเทียนซั่วถามอย่างงุนงง
“นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ที่นี่เป็นที่ของฉัน รุ่ยจื่อ เทียนซั่ว ต่อไปเวลาที่ต้องมาดูแลที่นี่ เกรงว่าต้องรบกวนพวกนายให้มาช่วยด้วยเหมือนกัน!” ซ่งจื่อเซวียนพูดอย่างนิ่งสงบ
“หืม นายท่านรอง ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว ผมรุ่ยจื่อจะติดตามคุณเสมอ ให้ทำอะไรก็ได้ แต่ว่า…ทำไมที่นี่ถึงเป็นของคุณล่ะครับ” ฟางรุ่ยถาม
ซ่งจื่อเซวียนเงียบไปสองสามวินาที จากนั้นจึงเล่าเรื่องที่รับช่วงต่อบริษัทชิงอวี่ให้ฟัง
ซางเทียนซั่วเบิกตาโตขณะพูด “บริษัทชิงอวี่ แม่ง บริษัทบริหารและจัดการชั้นนำของเมืองตู้เหมินเหรอ อาจารย์ ที่บริษัทยังมีตลาดอาหารทะเลสดขนาดใหญ่อีกสองสามแห่งด้วย ก็เป็นของอาจารย์หมดเหรอ”
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้า “สุขภาพของซ่งอวิ๋นฮั่นรับไม่ไหวแล้ว ฉันไม่ได้ต้องการอะไรจริงๆ แต่ฉันไม่ยอมให้คนพวกนั้นมาแบ่งทรัพย์สมบัติของเขาแน่นอน”
“นายท่านรอง คุณทำถูกแล้ว!”
“อาจารย์ ไม่น่าเชื่อว่าบริษัทของอาจารย์จะเป็นบริษัทชิงอวี่ สุดยอดมากๆ เลย…”
“โอเค อย่าเพิ่งถามเรื่องนี้เลย เมื่อกี้ที่เข้ามาคือเจ้าเฮยจื่อ เป็นคนดูแลที่นี่ แต่ยังมีอีกคนหนึ่งที่อยู่เบื้องหลังคลับเฮาส์แห่งนี้ ชื่อนายท่านฉินลิ่ว” ซ่งจื่อเซวียนพูด
“นายท่านฉินลิ่ว? แล้วมันจะยังไง บริษัทนี้เป็นของอาจารย์อยู่แล้ว เขายังจะกล้ามายุ่งเหรอ” ซางเทียนซั่วกล่าว
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้าพูดว่า “ฉันเดาว่าเขากล้า ซ่งอวิ๋นฮั่นพูดเพียงประโยคเดียวก็ทำให้คลับเฮาส์ไม่มีความเกี่ยวข้องกับเขาได้ เขาต้องไม่ยอมแน่นอน เลี่ยงจะเกิดปัญหาได้ยาก”
“แม่งเอ๊ย ไม่ยอมก็ต่อยไปเลย พวกเรามีรุ่ยจื่อ ต้องกลัวอะไร”
ฟางรุ่ยกลอกตาใส่ซางเทียนซั่วหนึ่งที “ไอ้เวร ทำไมแกไม่พูดว่ามีแกบ้างล่ะ เรื่องต่อยตีต้องมาหาฉันอย่างเดียว!
นายท่านรอง คุณคิดจะทำยังไงเหรอ”
ซ่งจื่อเซวียนยิ้มบางๆ “เรื่องต่อยตีคงต้องมาหานายจริงๆ อีกสักพักนายต้องช่วยฉันหน่อย ทำให้เจ้าเฮยจื่อยอมจำนน!”
“หืม อาจารย์ ไอ้หมอนั่นเกือบเอาเก้าอี้ฟาดใส่ ไล่ออกไปเลยก็หมดเรื่องแล้วไม่ใช่เหรอ” ซางเทียนซั่วพูด
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้า “ไม่ได้ คนที่ฉันใช้งานตอนนี้ เขาค่อนข้างคุ้นชินกับที่นี่ ใช้งานเขาดีกว่าคนใหม่แน่นอน แต่ต้องทำให้เขายอมจำนนก่อน ทางนายท่านฉินลิ่วจะได้มีปืนน้อยลงหนึ่งกระบอก”
ฟางรุ่ยพยักหน้าพูดว่า “นายท่านรองพูดมีเหตุผล ผมจะทำตามคำสั่งคุณครับ”
“เทียนซั่ว นายออกไปเรียกเฮยจื่อเข้ามาหน่อย”
“ครับ!”
เวลานี้ คนที่อยู่นอกประตูยังไม่ไปไหน ประเด็นหลักคือเจ้าเจี้ยนก็ยังไม่ไปไหน
เขารู้ว่าซ่งจื่อเซวียนไม่เพียงแต่เข้ามาบริหารบริษัทเท่านั้น ยังเข้ามาดูแลคลับเฮาส์หลงตูโดยเฉพาะ เพราะอาละวาดไปเมื่อครู่นี้ ตอนนี้เขาจึงยังไม่กลับ มีหรือที่เขาจะกล้ากลับบ้าน
“พี่เฮย เกิดอะไรขึ้น พวกเราต้องไปจริงๆ เหรอ”
“ใช่แล้วพี่เฮย เกิดอะไรขึ้นเหรอ”
เจ้าเฮยจื่อขมวดคิ้วขึ้นมา “ไม่ออกไปแล้วจะทำยังไง คนข้างในเป็นใครพวกแกรู้ไหม”
“หา? เป็นใครล่ะ แม่ง เป็นใครก็ไม่กลัว พวกเราพี่น้องไปจัดการเขากัน!”
“ใช่แล้วพี่เฮย กลัวอะไร พวกเราไปจัดการเลย!”
เจ้าเฮยจื่อได้ยินก็พูดว่า “แม่แกสิ! คนข้างในคือเถ้าแก่ จัดการเขาแล้วพวกแกก็จะหมดตัว!”
เมื่อได้ยินประโยคนี้ แต่ละคนล้วนตกตะลึง…
“เถ้า เถ้าแก่เหรอ”
“พี่เฮย หมายความว่ายังไง คลับเฮาส์ของพวกเรานายท่านฉินลิ่วดูแลไม่ใช่เหรอ”
เจ้าเฮยจื่อส่ายหน้าพูด “เปลี่ยนแล้ว เปลี่ยนรุ่นแล้ว ฉันจะบอกพวกแกนะ คนคนนี้ไม่ใช่แค่เถ้าแก่ของคลับเฮาส์เท่านั้น แต่ยังเป็นเจ้าของบริษัท ถ้าพวกแกอยากโดนไล่ออก ก็เข้าไปจัดการเขาเลย”
พูดประโยคนี้จบแล้วยังจะมีใครกล้าอีก แต่ละคนได้แต่ยืนอยู่หน้าประตูด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วน
ขณะที่กำลังรู้สึกเก้อเขินนั้น ประตูห้องส่วนตัวก็ถูกเปิดออก นักเลงแต่ละคนมองซางเทียนซั่วเดินออกมา ถอยหลังสองสามก้าวด้วยความตกตะลึง
ซางเทียนซั่วชี้ไปที่เจ้าเจี้ยน เอ่ยว่า “นายคือเจ้าเฮยจื่อเหรอ”
“อ๋า ผม…ผมเองครับ” เสียงของเจ้าเฮยจื่อดูเกรงกลัวอย่างชัดเจน
“เข้ามา นายท่านรองอยากพบนาย”
“นายท่านรอง นายท่านรองเรียกผมเหรอ” เจ้าเฮยจื่อตะลึง ซ่งอวิ๋นหล่างก็มาด้วยเหรอ
แต่ซางเทียนซั่วไม่รู้จักซ่งอวิ๋นหล่างอะไรนั่น จึงตะโกนพูดว่า “สั่งให้นายเข้าไปก็เข้าไป พูดจาไร้สาระทำไมเยอะแยะ”
“อ้อๆ”
เจ้าเฮยจื่อเดินเข้าไปในห้องส่วนตัวอย่างจนใจ ขณะเดียวกันก็หันหน้ากลับไปมองสีหน้าพวกพี่น้องทั้งหลายที่ขอให้เขาโชคดี
พอเข้าไปในห้อง เจ้าเฮยจื่อจึงมองไปรอบๆ ไม่เห็นซ่งอวิ๋นหล่าง แล้วนายท่านรองไหนล่ะ
สุดท้ายเขาจึงมองซ่งจื่อเซวียน “คุณซ่ง”
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้า เหลือบตามองเขาหนึ่งที “เจ้าเจี้ยน เมื่อกี้…คุณจะต่อยผมเหรอ”
เจ้าเจี้ยนรีบส่ายหน้าทันที หน้าสั่นขึ้นมา
“ไม่ใช่งั้นเหรอ พวกคุณดูแลคลับเฮาส์โดยอาศัยการต่อยดีเหรอ” ซ่งจื่อเซวียนถาม
“คุณซ่ง ไม่มีทางอื่นนี่ครับ คนที่มาคลับเฮาส์มีทุกประเภท ถ้าเจอคนนิสัยดีก็ดีหน่อย พอจ่ายเงินแล้วก็กลับ แต่ก็มีนักเลงบางคนหน้าด้านไม่ยอมจ่ายเงิน
แล้วก็บางครั้งคนที่เมามากๆ จะตบตีสาวๆ ในร้านของพวกเรา ตบตีพนักงาน ถ้าไม่มีคนพวกนี้อยู่ในคลับเฮาส์ ก็ยากที่จะควบคุมดูแลครับ”
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้าช้าๆ “พูดมีเหตุผล ในกลุ่มของพวกคุณใครต่อยเก่งสุด”
“หา? ผม…”
“พูดมา!”
“พอๆ กันครับ” เจ้าเจี้ยนตอบ
“เหอะๆ งั้นเหรอ สองสามคนเมื่อกี้ใช่ไหม”
“หกคน…อ้อไม่สิ เจ็ดคนครับ” เจ้าเจี้ยนเอ่ย
“โอเค งั้นก็เข้ามาให้หมด!”
เจ้าเจี้ยนไม่กล้าถามอะไรให้มากความ จึงเรียกพวกพี่น้องเข้ามา
เมื่อครู่มีแต่คนทำหน้าตาโหดเหี้ยม แต่พอรู้ว่าเป็นเถ้าแก่คนใหม่ แต่ละคนทำตัวสงบเสงี่ยมเรียบร้อย ยืนก้มหน้ายอมรับผิด
“พวกคุณต่อยตีเก่งใช่ไหม พวกเราลองมาสู้กันสักตั้งเป็นยังไง” ซ่งจื่อเซวียนพูด
“อย่า อย่าครับ คุณซ่งคุณอย่าล้อเล่นเลย พวกเราจะกล้าต่อยคุณได้ยังไง” เจ้าเจี้ยนพูดด้วยใบหน้าลำบากใจ
ฟางรุ่ยพลันหัวเราะ “ใช้เวลานิดเดียว”
“เหอะๆ โอเค พวกคุณฟังนะ จะให้โอกาสพวกคุณอีกครั้ง ต่อยกับเขา ใครต่อยชนะก็อยู่ต่อ ต่อยแพ้ก็ไสหัวไป!”
“หา? คุณซ่ง เอ่อ…”
เจ้าเจี้ยนไม่รู้ว่าควรพูดอย่างไรดี คุณเสี่ยวซ่งคนนี้มาไม้ไหน ไม่เหมือนกับสไตล์ของคุณซ่งคนก่อนเลย
ซ่งจื่อเซวียนยักไหล่ “มีแค่กฎเดียว ห้ามทำลายของทุกอย่างในห้องนี้ ใครทำพังคนนั้นชดใช้ ชดใช้เสร็จแล้วค่อยไสหัวไป!”
พวกเขาต่างสบตากันหนึ่งที ไม่มีใครกล้าขยับ
ซ่งจื่อเซวียนเอ่ยว่า “ผมจะนับถึงสาม ไม่เริ่มลงมือก็ไสหัวออกไปเลย เริ่ม หนึ่ง…”
พอได้ยินประโยคนี้ ซ่งจื่อเซวียนเพิ่งจะนับหนึ่ง ก็มีคนลงมือแล้ว ต่อจากนั้น คนอื่นอีกสองสามคนก็พุ่งไปหาฟางรุ่ย
คนพวกนี้หากจะพูดให้เพราะหน่อยก็เป็นนักเลงหัวไม้ แต่อันที่จริงคือคนตกงาน หากไม่ได้ทำงานนี้ครอบครัวก็อยู่ไม่ได้ ดังนั้นจึงต่อสู้สุดชีวิต
ทว่านักเลงพวกนี้ส่วนใหญ่แล้วเตะต่อยมั่วซั่ว แต่ฟางรุ่ยนั้นใช้ศิลปะป้องกันตัวของจริง ระหว่างที่ต่อสู้หลบกันไปมานั้น เสียงร้องเจ็บปวดก็ดังออกมาไม่หยุด ต่อจากนั้นก็มีคนล้มไปบนพื้นบ้าง บนโซฟาบ้างและบนโต๊ะน้ำชาบ้าง
พอได้ยินเสียงแก้วแตกเพล้ง พวกนักเลงพากันระมัดระวัง กลัวว่าจะทำของพัง โดนไล่ออกแล้วยังต้องเสียเงิน
แต่ฟางรุ่ยไม่สนใจ ต่อยไปตามอำเภอใจ ใช้เวลาหนึ่งถึงสองวินาทีก็ต่อยล้มไปหนึ่งคน
บวกกับวิชาป้องกันตัวของกองกำลังพิเศษ โดยพื้นฐานแล้วหนึ่งกระบวนท่าก็มากพอที่จะทำให้อีกฝ่ายลุกไม่ขึ้นแล้ว
ไม่ถึงหนึ่งนาที ทุกคนก็โดนต่อยล้มระเนระนาด ฟางรุ่ยคลึงข้อมือ มองไปทางเจ้าเจี้ยน
เจ้าเจี้ยนงงเป็นไก่ตาแตก ถอยหลังสองสามก้าวก็ชนกับผนัง
เชาส่ายหน้า “ไม่ๆๆ…ผมไม่ต่อย คุณซ่งไม่ได้รวมผมเข้าไป”
ซ่งจื่อเซวียนอดไม่ได้ที่จะหัวเราะขึ้นมา ไอ้หมอนี้ปกติดูเซ่อซ่าและโหดเหี้ยม ตอนนี้กลับกลายเป็นคนขี้ขลาด
“เจ้าเจี้ยน!”
“คุณซ่ง”
ซ่งจื่อเซวียนหัวเราะ เอ่ยว่า “มา นั่งลง”
“ไม่ๆๆ ไม่ต้องครับ คุณนั่ง ผมยืนดีกว่าครับ!”
ตอนนี้เจ้าเฮยจื่อกลัวแล้วจริงๆ ไม่ใช่เพราะตำแหน่งของซ่งจื่อเซวียนเท่านั้น แต่เป็นเพราะเขามียอดฝีมืออยู่ข้างกาย ต่อยหนึ่งต่อเจ็ด มีนักเลงคนไหนทำได้บ้าง
“โอเค อย่างนั้นก็ยืนครับ ยืนแล้วต้องยืนตัวตรงด้วย!” ซ่งจื่อเซวียนพูดเสียงดังทันที
เจ้าเจี้ยนตกใจ ตัวสั่น วินาทีต่อมาจึงยืนตัวตรงเหมือนทหาร สองมือแนบชิดลำตัวทั้งสองข้าง นิ้วกลางเป็นเส้นตรงกับจีบกางเกงเป๊ะ!
“ปกติทำงานให้นายท่านฉินลิ่วเหรอ”
“เปล่าครับ คุณซ่ง ผมทำงานเพื่อบริษัทครับ”
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้าพลางยิ้ม “โอเค พูดเก่งมาก ถ้าคุณพูดว่าทำงานให้เขา ตอนนี้ผมจะเอาแก้วทุบคุณทันที!”
เจ้าเฮยจื่อใจสั่น คุณชายซ่งผู้นี้ดูเหมือนสุภาพเรียบร้อย เหมือนนักศึกษาคนหนึ่ง แต่เวลามีเรื่องแล้วเป็นอันธพาลยิ่งกว่าพวกอันธพาลอีก…
“ต่อไปจะทำงานให้ใครครับ” ซ่งจื่อเซวียนถามอีกหนึ่งประโยค
“ต่อไป…ก็เพื่อบริษัทครับ!” เจ้าเฮยจื่อยืดอกพูด
ซ่งจื่อเซวียนจึงส่ายหน้าหัวเราะ “เหอะๆ อย่างนั้นไม่ได้ เจ้าเฮยจื่อ ต่อไปคุณต้องทำงานให้ผม เข้าใจไหม”
“หืม” ตอนนี้เจ้าเจี้ยนทรมานหัวใจมาก เหมือนประโยคหนึ่งว่า ‘ฉันควรจะตอบยังไงดี…’ กำลังตะโกนซ้ำไปซ้ำมาอยู่ตลอดเวลา
“เข้าใจไหม”
“เข้าใจครับ!” เมื่อโดนซ่งจื่อเซวียนซักถามอีกหนึ่งประโยค เจ้าเจี้ยนจึงรีบตอบ
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้า ลุกขึ้นเดินไปตรงหน้าเจ้าเจี้ยน เชิดหน้าพูดเล็กน้อย “นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป คุณเป็นคนของผม ถ้าผมพบว่าคุณทำงานเหมือนเมื่อก่อน คุณคิดว่าผมควรทำยังไงดี”
“ควร…ควร…คุณซ่ง ผมไม่รู้ครับ คุณพูดเถอะครับ”
เจ้าเจี้ยนเหงื่อท่วมตัว ไม่เพียงแต่ตกใจกับการต่อสู้เมื่อครู่เท่านั้น เขาพบว่าซ่งจื่อเซวียนน่ากลัวกว่าฟางรุ่ยที่ต่อสู้เมื่อครู่เสียอีก
ฟางรุ่ยเตะต่อยเท่านั้น แต่ซ่งจื่อเซวียนเก่งเรื่องการข่มขู่เป็นอย่างมาก…
“โอเค อย่างนั้นก็เตะขาให้หักทั้งสองข้างไปเลย รุ่ยจื่อ ไม่มีปัญหาใช่ไหม”
ฟางรุ่ยหัวเราะ “หนึ่งท่าก็ทำให้เขาขาเป๋ได้แล้ว”
“คุณซ่ง ต่อไปผมจะทำงานให้คุณครับ ไม่ฟังคนอื่น ฟังคุณแค่คนเดียว แค่คุณให้ข้าวผมกินก็พอใจแล้วครับ!”
แน่นอนว่าเจ้าเจี้ยนเข้าใจความหมายของซ่งจื่อเซวียน นั่นคือไม่ให้เขาฟังคำสั่งของนายท่านฉินลิ่ว รักษาชีวิตสำคัญกว่า เขาจำเป็นต้องตกปากรับคำ
“โอเค ไสหัวไปได้แล้ว!”
“ครับ คุณซ่ง” เจ้าเจี้ยนจึงพาพวกพี่น้องทยอยเดินออกจากห้องส่วนตัวไป
ตอนใกล้จะเดินพ้นประตู ซ่งจื่อเซวียนจึงเรียกเขา “เฮยจื่อ ยอมไหม”
เจ้าเจี้ยนตกตะลึง รีบพยักหน้า “คุณซ่ง ผมยอมแล้วครับ”
……………………………………….