เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 185 แกต่างหากที่รนหาที่ตาย
- Home
- All Mangas
- เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง
- ตอนที่ 185 แกต่างหากที่รนหาที่ตาย
ตอนที่ 185 แกต่างหากที่รนหาที่ตาย
ต่อมาซ่งอีหนานก็มาถึงโรงพยาบาล สมาชิกทั้งสี่ของครอบครัวก็กลับมารวมตัวกันอีกครั้งในหอผู้ป่วยใน
ซ่งจื่อเซวียนให้ซางเทียนซั่วกลับไปก่อน เขาอยู่จนถึงเย็นก่อนจะออกจากโรงพยาบาลไป
หลังออกมาจากโรงพยาบาล ซ่งจื่อเซวียนก็ได้รับสายจากถังหย่าฉี
“จื่อเซวียน ฉันมีข่าวดีมาบอก!” ถังหย่าฉีพูดขึ้นมา
“หืม เหอะๆ ข่าวดีอะไรล่ะ”
“ฉันอาจจะหายืมเงินมาเป็นเงินทุนของร้านอาหารได้แล้วล่ะ ฮิๆ นายเตรียมตัวให้พร้อม อีกไม่นานจะได้เป็นเถ้าแก่ป้ายแดงแล้ว!”
เมื่อฟังคำพูดของถังหย่าฉี ซ่งจื่อเซวียนก็ยกยิ้ม “งั้นก็ดีใจด้วย เป็นร้านใกล้มหา’ลัยหนานกวนหรือเปล่า”
“ใช่แล้ว เรื่องร้านฉันปรึกษากับเขาไว้นานแล้ว พรุ่งนี้ฉันจะไปพูดคุยเกี่ยวกับเงินลงทุน ขอแค่เราได้เงินมาแล้ว เราก็จะเริ่มสร้างได้เลย!”
“เหอะๆ หย่าฉี เธอน่าทึ่งจริงๆ อ้อใช่ แล้วราคาทั้งหมดเท่าไรล่ะ” ซ่งจื่อเซวียนเอ่ยถาม
แม้ว่าถังหย่าฉีจะรับผิดชอบเรื่องเงิน ส่วนเขามีหน้าที่ด้านเทคนิคและบริหารจัดการ แต่เขาก็จำเป็นต้องรู้ว่าลงทุนไปเท่าไร ผลกำไรหลังเปิดกิจการต้องเอามาให้ถังหย่าฉีจ่ายเงินคืนก่อน
“ฉันคำนวณไว้ประมาณหนึ่งล้านสี่แสนหยวน พื้นที่ร้านประมาณสี่ร้อยตารางเมตร การตกแต่งก็ไม่เลว ไม่อยากเปลี่ยนแปลงอะไรมากก็ประมาณสองแสน ค่าเช่าเดือนละหนึ่งแสน”
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้าช้าๆ อย่างไรร้านหน้ามหาวิทยาลัยหนานกวนจะเป็นที่นิยมแน่นอน ราคาหนึ่งแสนหยวนต่อเดือนถือว่าถูกมากแล้ว
ทว่าเงินหนึ่งล้านสี่แสนหยวนนี้ไม่ใช่จะหาได้ง่ายๆ ซ่งจื่อเซวียนจึงถามด้วยความสงสัย “ได้สิ ว่าแต่เธอไปหาเงินมากมายขนาดนี้มาจากไหนกัน”
ถังหย่าฉีได้ยินก็ชะงักไปชั่วครู่ “ก็เอ่อ…ถ้าฉันบอกแแล้วอย่าโกรธนะ”
“หืม? เหอะๆ หาเงินลงทุนมาได้จะมีอะไรให้ฉันโกรธล่ะ” ซ่งจื่อเซวียนพูดด้วยรอยยิ้ม
“นายยังจำครั้งที่แล้วที่เราไปร้องเพลงตรงอ่าวชิงหลงได้ไหม เงินจากรุ่นพี่ของฉันคนนั้นน่ะ เฮ่อเหยียนข่าย”
เมื่อถังหย่าฉีพูดจบ ซ่งจื่อเซวียนก็ตกตะลึงทันที
อันที่จริงซ่งจื่อซวียนไม่ได้ใส่ใจว่าที่อ่าวชิงหลงครั้งที่แล้วเกิดอะไรขึ้นบ้าง แต่ครั้งนั้นที่ตลาดอาหารทะเลในเขตเฉิงหนาน…เขาจำได้ดี
เฮ่อเหยียนข่ายคนนี้เป็นคนชั่วช้าและเป็นลูกผู้ดีที่ไม่เอาการเอางานแน่นอน เขาไม่อยากให้ถังหย่าฉีไปข้องเกี่ยวกับอีกฝ่ายเลยจริงๆ
“หย่าฉี เธอยืมเงินมาได้ฉันก็ดีใจกับเธอด้วย แต่ว่า…เฮ่อเหยียนข่ายได้เสนอเงื่อนไขอะไรกับเธอบ้างหรือเปล่า”
นี่คือสิ่งที่ซ่งจื่อเซวียนกังวล หลังจากได้ไปสัมผัสมาครั้งล่าสุดเขารู้สึกว่าไอ้หมอนี่เจ้าเล่ห์ อีกฝ่ายจะให้เงินล้านกว่ากับถังหย่าฉีโดยไม่มีเงื่อนไขอะไรเลยเหรอ
“เอ่อ…ไม่มีนะ เขายินดีรับปากมากๆ แล้วก็ให้ฉันไปคุยกับเขาที่บริษัทพรุ่งนี้” ถังหย่าฉีพูดออกมาอย่างสบายๆ
ได้ยินน้ำเสียงสบายใจของถังหย่าฉี ซ่งจื่อเซวียนก็เริ่มเคร่งเครียดขึ้นมา
นี่ไม่ใช่เงื่อนไขหรือไง เขามีลางสังหรณ์ถึงอันตรายบางอย่าง
“หย่าฉี พรุ่งนี้เธออย่าไปได้ไหม” ซ่งจื่อเซวียนเอ่ยถาม
“ทำไมล่ะ นายเป็นห่วงฉันเหรอ” ถังหย่าฉีพูดด้วยรอยยิ้ม เธอแฝงความรู้สึกบางอย่างอยู่ในคำพูดอย่างเห็นได้ชัด
ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกอะไร ทั้งสองรู้จักกันมาจนถึงตอนนี้ย่อมสนิทกันอยู่แล้ว แม้ว่าจะไม่มีความสัมพันธ์เลยเถิดแต่ก็ถือว่าเป็นเพื่อนที่ดีมาก
ซ่งจื่อเซวียนสูดหายใจเข้าลึกๆ “หย่าฉี เธอคิดว่าเฮ่อเหยียนข่ายจะให้เธอยืมเงินฟรีๆ เหรอ”
“คือ…ฉันไม่ได้คิดเรื่องนี้มาก่อน แต่ฉันไปพูดคุยเรื่องเงื่อนไขพรุ่งนี้ก็ได้นี่นา ถ้าตกลงกันไม่ได้ก็ช่างมันไปสิ” ถังหย่าฉีกล่าว
ซ่งจื่อเซวียนส่ายหัวอย่างอดไม่ได้ ช่างมันเหรอ ถ้าไอ้หมอนั่นเป็นคนโง่ เขาก็จะช่างมันไปหรือไง
อย่างไรถังหย่าฉีก็เป็นเด็กผู้หญิง หากมีอะไรเสียหายย่อมไม่อาจทนรับได้
“บริษัทของเขา…เธอแน่ใจเหรอว่าเขามีบริษัท” ซ่งจื่อเซวียนถามอย่างจนใจ
“ยังไงไปพรุ่งนี้ก็รู้แล้ว โธ่เอ๊ยนายอย่ากังวลไปเลย ฉันไม่เป็นไรหรอก สองสามวันนี้ไต้ทงไม่อยู่ ฉันเลยรู้สึกมีอิสระขึ้นมาหน่อย นายจะมาควบคุมฉันไม่ได้หรอกนะ”
ได้ยินดังนั้น ซ่งจื่อเซวียนยิ่งกังวลมากขึ้นไปอีก หากไต้ทงไม่อยู่แล้วถังหย่าฉีไปหาเฮ่อเหยียนข่ายคนเดียวจะยิ่งอันตรายหรือเปล่า
“หย่าฉี ฉันว่าเธออย่าไปดีกว่า เรื่องเงินเราค่อยคิดหาทางอื่นก็ได้”
อันที่จริงซ่งจื่อเซวียนอยากบอกว่าหากเขาเข้ารับช่วงต่อบริษัทแล้ว เขาก็จะลงทุนในร้านอาหารของเขาและถังหย่าฉีได้ แม้ว่าส่วนแบ่งของเขาจะถูกนับเป็นผลกำไรของบริษัทก็ไม่เป็นไร
แต่เพราะเขายังไม่ได้เข้ารับตำแหน่งอย่างเป็นทางการจึงไม่สะดวกที่จะพูดออกมา
ถังหย่าฉียกยิ้ม “มีอะไรน่าเป็นห่วงกัน ถ้าเขาให้ยืมก็ดีไป เรากำลังต้องการอยู่พอดีเลยนี่ พอเถอะไม่ต้องกังวลแล้ว พรุ่งนี้รอข่าวดีจากฉันนะ!”
“หย่าฉี… “ ซ่งจื่อเซวียนกำลังจะโน้มน้าว แต่ถังหย่าฉีวางสายไปแล้ว
ซ่งจื่อเซวียนถอนหายใจหนึ่งเฮือกและส่ายหัวอย่างจนใจ แต่ในขณะเดียวกันเขาก็แอบตัดสินใจจะติดต่อถังหย่าฉีในวันพรุ่งนี้ แค่ให้ฟางรุ่ยไปกับเธอ เขาก็สบายใจมากขึ้นแล้ว
ยามค่ำคืนในหัวซ่งจื่อเซวียนเต็มไปด้วยเรื่องต่างๆ มากมาย ร้านอาหารร่ำรวย บริษัทของซ่งอวิ๋นฮั่น และ…ถังหย่าฉี
สิ่งนี้ยังทำให้เขามีประสบการณ์การนอนไม่หลับเป็นครั้งแรกในชีวิต ความรู้สึกแบบนี้อึดอัดจริงๆ
วันรุ่งขึ้น ซ่งจื่อเซวียนถูกเสียงจากโทรศัพท์ปลุกตื่นตอนเก้าโมงเช้า
เมื่อเห็นว่าเป็นสายจากซ่งอวิ๋นฮั่น เขาจึงขยี้ตาแล้วกดรับสาย
“จื่อเซวียน ตื่นหรือยัง”
“เพิ่งตื่นครับ คุณจัดประชุมวันนี้กี่โมงครับ” ซ่งจื่อเซวียนถาม
“ใกล้แล้วล่ะ เจิ้งอวี่ถึงหน้าประตูแล้ว มีอาหารเช้าอยู่ในรถ แกรีบอาบน้ำแล้วออกมาเร็วๆ”
ซ่งจื่อเซวียนได้ยินเช่นนั้น จู่ๆ ก็รู้สึกถึงความอบอุ่นที่ไหลผ่านเข้าสู่ใจของเขา
เขาก็พลันนึกขึ้นได้ว่าตอนเด็กๆ เขามักจะเห็นพ่อของคนอื่นซื้ออาหารเช้าให้และพากลับบ้าน นั่นเป็นความอิจฉาที่เขาไม่มีวันเอื้อมถึง
ซ่งอวิ๋นฮั่นไม่ได้ทำแบบนี้ แต่เขาเตรียมอาหารเช้าให้ด้วยตัวเอง ซ่งจื่อเซวียนจึงพอใจมาก
หลังจากล้างเนื้อล้างตัวอย่างรวดเร็วเขาก็วิ่งตรงไปที่ปากซอย
เมื่อเห็นซ่งจื่อเซวียนวิ่งเข้ามา เจิ้งอวี่ก็ยิ้ม “จื่อเซวียนทางนี้ ไม่ต้องวิ่ง เรายังไปทัน”
ซ่งจื่อเซวียนเข้าไปนั่งที่เบาะหลังของรถ เขาเห็นเจียนปิ่งหนึ่งชุดและนมถั่วเหลืองหนึ่งแก้วอยู่ข้างมือ เขาจึงเริ่มหยิบขึ้นมากิน
“แหะๆ คุณซ่งไม่รู้ว่าคุณชอบแบบไหน เขาเลยซื้อของพวกนี้มาแล้วให้ผมเอามาให้ เขายังบอกด้วยว่าถ้าไม่ถูกปากก็ค่อยไปทานที่บริษัทอีกได้ ที่นั่นมีขนมปังกับนมอยู่ครับ” เจิ้งอวี่กล่าว
ได้ยินคำพูดเหล่านี้ ซ่งจื่อเซวียนที่กำลังเคี้ยวคำใหญ่ก็หยุดชะงักกะทันหัน ความอบอุ่นในดวงตาของเขาดูเหมือนจะเอ่อล้นออกมา
เขา…ซื้ออาหารเช้าให้ฉันเหรอ
ระหว่างทางซ่งจื่อเซวียนไม่ได้พูดอะไร เขากินอาหารเช้าคำใหญ่จนหมดแล้วลดหน้าต่างกระจกลง มองดูทิวทัศน์นอกรถ
เมื่อมาถึงบริษัทก็เกือบสิบโมงแล้ว เจิ้งอวี่และซ่งจื่อเซวียนตรงไปชั้นสอง ซึ่งเป็นห้องทำงานของซ่งอวิ๋นฮั่น
“จื่อเซวียน มาแล้วเหรอ”
ซ่งจื่อเซวียนเห็นว่าวันนี้ซ่งอวิ๋นฮั่นแตกต่างไปจากเดิมมาก เขาสวมชุดสูทที่รีดจนเรียบ หวีผมอย่างประณีตและเรียบร้อยเป็นอย่างมาก
แต่สีหน้าของเขายังเหมือนเดิม ขาวซีดมากจนมองออกได้ว่านี่เป็นสีหน้าซีดเผือดจากอาการป่วย
“ผมไม่ได้มาสายใช่ไหม” ซ่งจื่อเซวียนถาม
“เปล่า เริ่มสิบโมงครึ่ง กินข้าวเช้าหรือยัง ถูกปากไหม”
“ใช้ได้ครับ”
ขณะที่ซ่งจื่อเซวียนพูดก็นั่งลงบนโซฟา หยิบบุหรี่ออกมาจุด ขณะเดียวกันก็ยื่นบุหรี่อีกมวนให้ซ่งอวิ๋นฮั่น
ซ่งอวิ๋นฮั่นยิ้มบางๆ และจุดบุหรี่เช่นกันก่อนเอ่ย “ดีที่ไม่เลิกสูบบุหรี่”
“หืม ยังไงเหรอ” ซ่งจื่อเซวียนถาม
“ไม่ว่าจะเลิกหรือไม่เลิกสูบบุหรี่ก็มีชีวิตอยู่มาได้นานขนาดนี้” ซ่งอวิ๋นฮั่นยิ้มเล็กน้อย ในขณะนี้ใบหน้าของเขาสงบนิ่งมากและไม่แยแสราวกับว่าเขาไม่สนใจความเป็นความตายจริงๆ
ขณะที่ทั้งสองกำลังพูดคุยกันก็มีเสียงดังมาจากทางเดิน
“แม่งเอ๊ย ยังไม่จบอีกเหรอ เราเพิ่งประชุมกัน วันนี้ก็ประชุมอีกแล้ว มันอะไรกันวะเนี่ย!”
เสียงนั้นเป็นของเจ้าเฮยจื่อ ซ่งจื่อเซวียนยังจำได้ คราวนี้เขาไม่ได้พูดอะไรแต่มองไปที่ซ่งอวิ๋นฮั่น
ซ่งอวิ๋นฮั่นไม่มีปฏิกิริยาใดๆ และสูบบุหรี่ต่อไป
“ครั้งที่แล้วเขาก็เป็นแบบนี้ ส่งเสียงเอะอะแบบนี้ในบริษัทคงไม่ค่อยดีนะครับ” ซ่งจื่อเซวียนกล่าว
ซ่งอวิ๋นฮั่นยิ้มกล่าว “เพราะงั้นคนพวกนี้…แกต้องตั้งกฎระเบียบให้พวกเขา”
ซ่งจื่อเซวียนเข้าใจความหมายของซ่งอวิ๋นฮั่นคร่าวๆ ดูเหมือนกำลังจะบอกว่าเขาควรตั้งกฎระเบียบให้กับคนในบริษัท
ในเวลานี้เองเจิ้งอวี่ก็เดินเข้ามา “คุณซ่ง”
“คนมาครบหรือยัง” ซ่งอวิ๋นฮั่นถาม
“นายท่านฉินลิ่วไม่ได้มาครับ นายท่านรองก็ไม่มาเช่นกัน บอกว่ามีธุระเลยมาประชุมไม่ได้กันทั้งคู่ครับ”
ซ่งอวิ๋นฮั่นขมวดคิ้วเล็กน้อย “อวิ๋นหล่างก็ไม่มาด้วยเหรอ”
“นายท่านรองเรียกผู้จัดการฝ่ายการตลาดหลี่ลี่สยาเข้ามาแทนครับ”
ได้ยินดังนั้นซ่งอวิ๋นฮั่นก็แค่นหัวเราะเบาๆ “ดูเหมือนฉันจะคิดถูกที่ไม่ให้บอกพวกเขาว่าฉันมาร่วมประชุมด้วย ไม่อย่างนั้นฉันคงไม่ได้เห็นเหตุการณ์มากมายขนาดนี้”
เมื่อพูดจบ ซ่งอวิ๋นฮั่นก็ตบไหล่ซ่งจื่อเซวียน “แกสายตาเฉียบคมกว่าฉันเสียอีก”
ซ่งจื่อเซวียนยิ้มและไม่ได้พูดอะไร
ซ่งอวิ๋นฮั่นส่ายหัว “อวิ๋นหล่างทำตัวสบายเกินไป นึกไม่ถึงว่าเขาจะไม่มาเข้าร่วมการประชุมของบริษัทด้วย ดูเหมือนว่าฉัน…”
ก่อนที่เขาจะพูดจบ ซ่งอวิ๋นฮั่นก็ไอออกมาอย่างรุนแรง
เมื่อซ่งจื่อเซวียนและเจิ้งอวี่เห็นก็ตกใจมาก ทั้งคู่รู้สภาพร่างกายของเขาในตอนนี้ และก็เป็นไปได้ที่จะเกิดเรื่องไม่ดีขึ้น
“คุณเป็นยังไงบ้าง” ซ่งจื่อเซวียนรีบถามอย่างรวดเร็ว
ซ่งอวิ๋นฮั่นยังไอเหมือนเดิมพร้อมกับโบกมือ “พวกแก…แค่กๆ…พวกแกไปกันก่อน ฉันจะดื่มน้ำสักหน่อย”
ทั้งสองมองหน้ากัน เจิ้งอวี่ก็พูดขึ้นว่า “คุณซ่ง ไม่งั้นเรากลับไปที่โรงพยาบาลเถอะครับ”
“รีบไป!” ซ่งอวิ๋นฮั่นออกคำสั่ง
จากนั้นซ่งจื่อเซวียนและเจิ้งอวี่ก็เดินออกจากห้องทำงานด้วยความกังวล
พวกเขามาถึงห้องประชุม แม้ว่าจะมีจำนวนคนไม่น้อย แต่ซ่งจื่อเซวียนก็รู้ว่าคนที่เป็นแกนนำไม่ได้มาด้วย
นายท่านฉินลิ่วและซ่งอวิ๋นหล่างขาดประชุม อันที่จริงวันนี้นับว่าซ่งอวิ๋นฮั่นมาที่บริษัทโดยเปล่าประโยชน์
แต่คาดว่าหลังจากการประชุมจบลง ข่าวนี้คงจะถึงหูคนสองคนนั้น ถึงตอนนั้นก็ให้พวกเขาคิดว่าจะอธิบายให้ซ่งอวิ๋นฮั่นฟังอย่างไร
“ต้องขออภัยจริงๆ ครับที่เรียกทุกท่านมาที่นี่อีกครั้งในวันนี้ ผมทราบว่าพวกท่าน…”
“นายรู้ว่าเรายุ่งแต่ก็ยังเรียกมาเหรอ เจิ้งอวี่ ตอนนี้นายเอาขนไก่ไปทำลูกศรใช่ไหม นายคิดว่าพวกเราทุกคนว่างเหรอฮะ?!” เจ้าเฮยจื่อรีบตะโกนออกมาทันที
ในสถานการณ์นี้เฮ่อเหว่ยและจั่วอู่ต่างก็เป็นคนฉลาด ไม่มีทางที่พวกเขาจะออกตัวตรงนี้ แม้ว่าหลี่ลี่สยาจะสนิทสนมกับซ่งอวิ๋นหล่าง แต่ก็เป็นผู้จัดการฝ่ายการตลาดเป็นหลัก คนเดียวที่จะสร้างปัญหาได้ก็คือเจ้าเฮยจื่อ
ได้ยินดังนั้น เจิ้งอวี่ก็กระอักกระอ่วน ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไร แต่ซ่งจื่อเซวียนกลับขมวดคิ้วและลุกขึ้นยืน
“เจ้าเจี้ยนคุณยังรู้ไหมว่าที่นี่คือบริษัท ผมไม่สนว่าคุณจะจัดการคนของคุณในคลับเฮาส์ยังไง แต่เมื่ออยู่ที่นี่ก็ทำตัวให้มีระเบียบหน่อย!” ซ่งจื่อเซวียนพูดพร้อมกับเบิกตากว้าง
เวลานี้ทั้งเฮ่อเหว่ย จั่วอู่และคนอื่นๆ ต่างก็ตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง ทำไมพนักงานใหม่คนนี้ถึงอวดดีขนาดนี้
ทว่าก็ไม่ได้ทำให้พวกเขาเหนือความคาดหมายมากนัก เพราะซ่งจื่อเซวียนก็ปะทะกับฉินจ้งนายท่านฉินลิ่วเมื่อครั้งที่แล้ว เขายังจะสนใจเจ้าเฮยจื่อด้วยเหรอ
ซ่งจื่อเซวียนตำหนิใส่ เจ้าเจี้ยนจะทนไหวได้อย่างไร เขาจึงลุกขึ้นและเหวี่ยงหมัด
“ไอ้หัวขวด ครั้งก่อนข้าก็ไม่ชอบขี้หน้าแกแล้ว!”
ซ่งจื่อเซวียนไม่ได้หลบ เขายกเก้าอี้ที่อยู่ด้านหลังขึ้นแล้วเขวี้ยงมันไป
ทว่าเมื่อเปรียบเทียบพละกำลังกันแล้ว ซ่งจื่อเซวียนด้อยกว่าเจ้าเฮยจื่ออย่างเห็นได้ชัด ไอ้หมอนั่นคว้าขาเก้าอี้ไว้แล้วแย่งมันไป
“ไอ้เด็กเปรต กล้าสู้กับข้าเหรอวะ ไอ้เชี่ยนี่รนหาที่ตาย!”
“เจ้าเฮยจื่อ แกต่างหากที่รนหาที่ตาย!” เมื่อได้ยินเสียงนี้ทุกคนก็ตกตะลึง เสียงนี้…ฟังดูคุ้นมาก
ในเวลานี้ ซ่งอวิ๋นฮั่นยืนอยู่หน้าประตูห้องประชุมแล้ว!
………………………………………