เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 184 ฉันต้องยืนตระหง่าน
ตอนที่ 184 ฉันต้องยืนตระหง่าน
ข่าวนี้เป็นสิ่งที่เขาไม่คาดคิดมาก่อนและไม่ได้เตรียมใจไว้อย่างเห็นได้ชัด
ราวกับว่าจู่ๆ ก็มีหินก้อนใหญ่พุ่งเข้ามาชนเขา แม้แต่เวลาซ่อนตัวก็ไม่มี รู้สึกเพียงวิงเวียนศีรษะไปชั่วขณะ
ในความคิดของซ่งจื่อเซวียน เขาตระหนักเพียงแค่ว่าซ่งอวิ๋นฮั่นสุขภาพย่ำแย่และอาจจากไปได้ทุกเมื่อ
แต่เมื่อได้ยินว่าเขาหมดสติจนเข้าโรงพยาบาลก็รับไม่ได้อยู่พักหนึ่งจริงๆ
“จื่อเซวียน ผมจะพาไปครับ”
เจิ้งอวี่เรียกเขาทำให้กลับมามีสติอีกครั้ง
“หา อ๋อๆ ไม่ต้องหรอก ผมมีรถ โรงพยาบาลไหนครับ”
“โรงพยาบาลกลางครับ งั้นเราเจอกันที่โรงพยาบาลนะครับ ถ้ารู้ข้อมูลแล้วผมจะส่งหมายเลขห้องกับหมายเลขเตียงไปให้ครับ”
“โอเค”
จากนั้นทั้งสองก็ลงลิฟต์ไปชั้นล่าง ซ่งจื่อเซวียนรีบออกจากโรงแรมอย่างเสียสติและมาขึ้นรถซางเทียนซั่ว
“เทียนซั่ว อย่าเพิ่งถามอะไร ตอนนี้ฉันไม่อยากพูด ขับรถไปโรงพยาบาลกลาง!”
“อ๋อๆ ได้ครับ!”
ซางเทียนซั่วรู้ดีว่าท่าทีของซ่งจื่อเซวียนผิดปกติ บวกกับไปสถานที่อย่างโรงพยาบาล เขาก็คิดได้ทันทีว่ามีเรื่องเกิดขึ้น
ซ่งจื่อเซวียนแทบจะไม่ได้พูดเลยตลอดทาง คำพูดไม่กี่คำที่เขาพูดคือรีบแล้วรีบอีก
ระหว่างทางเขาได้รับข้อความบอกหมายเลขอาคารจากเจิ้งอวี่
รถขับเข้าไปในโรงพยาบาล ทันทีที่รถจอดซ่งจื่อเซวียนก็เปิดประตูแล้วรีบไปที่อาคารฉุกเฉินของโรงพยาบาล
เมื่อวิ่งไปถึงอาคาร ซ่งจื่อเซวียนกลับไม่เจอวี่แววของแม่และซ่งอวิ๋นฮั่น เขาไล่ถามทุกคนที่เขาเจอ จนกระทั่งพยาบาลแผนกฉุกเฉินบอกหมายเลขหอผู้ป่วยในของซ่งอวิ๋นฮั่นให้เขาทราบ เขาจึงไปที่หอผู้ป่วยใน
เดินเข้าไปในหอผู้ป่วยใน ก็เห็นว่าซ่งอวิ๋นฮั่นกำลังนอนหลับสนิทหรืออาจจะหมดสติอยู่ ในขณะที่หานหรงนั่งอยู่ด้านข้างและกำลังใช้ผ้าขนหนูเช็ดหน้าให้เขา
“แม่…” ซ่งจื่อเซวียนเรียกเบาๆ
หานหรงหันมามองแล้วทำมือบอกให้เขาเบาเสียง จากนั้นสองแม่ลูกก็เดินออกไปด้านนอก
“แม่ เกิดอะไรขึ้น”
หานหรงส่ายหัว “ไม่รู้เกิดอะไรขึ้น วันนี้เขาอารมณ์ดีแล้วยังคุยกับแม่อยู่พักหนึ่ง แต่จู่ๆ ก็ทรุดลง แม่เลยรีบกดเบอร์หาหนึ่งสองศูนย์”
“แล้วตอนนี้เป็นยังไงบ้าง”
“เมื่อกี้เพิ่งปฐมพยาบาลไป แต่หมอบอกว่าไม่จำเป็นต้องผ่าตัดแล้ว ตอนนี้อาการดีขึ้นแล้ว เพิ่งจะหลับไปน่ะ”
ซ่งจื่อเซวียนจึงโล่งอก “ดีแล้ว…”
หานหรงไม่ได้ร้องไห้และน้ำเสียงไม่ได้สั่นเครือขณะที่พูด แต่เห็นได้ชัดว่าเธอปวดใจมาก
“เฮ้อ จริงๆ เมื่อก่อนเขาเคยไปหาหมอมาแล้ว รู้ว่าผ่าตัดไปก็ไม่มีประโยชน์แล้ว แม่เดาว่า…เหลือเวลาอีกไม่นานแล้ว”
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้า “ลูกรู้”
อันที่จริงซ่งจื่อเซวียนเข้าใจท่าทีของหานหรงเป็นอย่างดี เพราะทั้งสองคนไม่ได้เจอกันสิบกว่าปี ความรักและความหลงใหลได้จางหายไปนานแล้ว สิ่งที่หลงเหลืออยู่ก็คือความผูกพันที่มั่นคงในจิตใจเท่านั้น
หลังจากนั้นเจิ้งอวี่ก็รีบมาถึงที่หอผู้ป่วยในและนำสิ่งของจำเป็นมาด้วย
ซ่งจื่อเซวียนช่วยหานหรงจัดของพร้อมเอ่ยถาม “แม่ จะนอนเฝ้าไข้ที่นี่ไหม”
“ถ้าไม่นอนแล้วจะทำยังไงล่ะ ปล่อยให้เขาอยู่ที่นี่คนเดียวได้ยังไงกัน แกไม่ต้องเป็นห่วง แม่จะอยู่ที่นี่เอง” หานหรงตอบ
เจิ้งอวี่ได้ยินก็รู้สึกซาบซึ้งใจจึงเอ่ยว่า “พี่สะใภ้ ขอบคุณที่ลำบากนะครับ”
หานหรงยิ้มและส่ายหัว “คงทำกรรมกันมาน่ะ”
ในขณะที่กำลังพูดคุยกัน ซ่งอวิ๋นฮั่นก็หายใจหนักขึ้นเล็กน้อยพร้อมทั้งส่งเสียงออกมา ทุกคนจึงหันไปมอง
ซ่งอวิ๋นฮั่นค่อยๆ ลืมตาขึ้น สิ่งแรกที่เขามองเห็นจากสายตาที่พร่ามัวนั้นก็คือซ่งจื่อเซวียน
“จื่อเซวียน…”
“ผมอยู่นี่” ซ่งจื่อเซวียนไม่ดื้อดึงเหมือนเมื่อก่อนอีกต่อไป บางทีตอนนี้เขาอาจยังสับสนเพราะสถานการณ์ฉุกเฉินของซ่งอวิ๋นฮั่น
สองพ่อลูกจับมือกันเป็นครั้งแรก ซ่งอวิ๋นฮั่นรู้สึกถึงความอบอุ่นที่ไหลตรงเข้าสู่ใจของเขา
“ดีจังที่แกมา…”
“คุณเพิ่งหมดสติไป ตอนนี้ต้องพักผ่อนเยอะๆ”
ซ่งอวิ๋นฮั่นยิ้มและส่ายหัว “ฉันรู้ดีว่าสถานการณ์เป็นยังไง”
หลังจากนั้นหานหรงก็ป้อนน้ำให้ซ่งอวิ๋นฮั่น เมื่อปรับตัวได้สักพักสีหน้าซ่งอวิ๋นฮั่นก็ดีขึ้นเล็กน้อย
เจิ้งอวี่พูดขึ้นมา “คุณซ่ง อาการของคุณแย่ลงเรื่อยๆ พักที่โรงพยาบาลสักระยะหนึ่งอาจจะดีขึ้นนะครับ”
ซ่งอวิ๋นฮั่นพยักหน้า “ได้ทั้งนั้น ถึงยังไงก็เหลือเวลาอีกไม่กี่วัน อยู่ที่ไหนก็รักษาไม่ได้แล้ว”
“ทำเรื่องเข้าพักในโรงพยาบาลเรียบร้อยแล้ว คุณพักผ่อนให้เต็มที่นะครับ ไม่ต้องกังวลเรื่องบริษัท จื่อเซวียนไปมาแล้วครับ” เจิ้งอวี่กล่าว
ได้ยินประโยคนี้ ซ่งอวิ๋นฮั่นก็ประหลาดใจมาก จึงคลี่ยิ้มเล็กน้อยออกมา “จื่อเซวียน แกไปที่บริษัทมาแล้วเหรอ”
“ครับ สถานการณ์ของบริษัทคล้ายกับที่คุณคาดการณ์ไว้ หลายคนร้อนใจอยู่บ้างครับ” ซ่งจื่อเซวียนกล่าว
ซ่งอวิ๋นฮั่นเงียบไปครู่หนึ่งแล้วเอ่ย “แกคิดว่ายังไง”
ซ่งจื่อเซวียนสับสนอยู่พักหนึ่ง จากนั้นหายใจเข้าลึกๆ “ผมคิดว่า…จะลองช่วยคุณพลิกสถานการณ์ครับ”
“ช่วยฉันเหรอ”
“ใช่ครับ ผมไม่อยากให้ธุรกิจที่คุณดูแลถูกพวกเขาฉวยไป” ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้า
“เหอะๆ แกหมายความว่า…แกยอมนั่งตำแหน่งฉันแล้วไหม” ซ่งอวิ๋นฮั่นตื่นเต้นจนเกือบจะลุกขึ้นนั่ง นี่อาจเป็นความปรารถนาสุดท้ายในชีวิตของเขา
ทรัพย์สมบัติของตัวเองต้องทิ้งไว้ให้ลูกชายของตัวเอง เพราะนั่นคือการสานต่อของชีวิตตน
ซ่งจื่อเซวียนได้ยินคำถามนี้ก็ลังเลไปครู่หนึ่งแต่ก็ยังพยักหน้าเบาๆ
“ครับ ถือว่าผมได้ทำอะไรบางอย่างให้คุณ!”
เมื่อซ่งจื่อเซวียนพูดจบ ซ่งอวิ๋นฮั่นก็พยักหน้าช้าๆ มองดูลูกชายของตัวเองแต่ไม่ได้เอ่ยอะไรอีก
บนใบหน้านั้นเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้มปลื้มปีติ ดวงตาคู่นั้นเป็นประกายแพรวพราว หานหรงและเจิ้งอวี่ที่กำลังดูอยู่ต่างน้ำตาคลอเบ้าด้วยความประทับใจ
ซ่งอวิ๋นฮั่นรอคอยช่วงเวลานี้มานาน แม้ว่าซ่งจื่อเซวียนจะไม่ยอมเรียกเขาว่าพ่อ แต่วันนี้ดูเหมือนจะเป็นครั้งแรกที่เขายอมรับอย่างแท้จริง
เขารับธงต่อจากพ่อและพร้อมที่จะแบกมันไว้บนบ่าอย่างเห็นได้ชัดแล้ว
“คุณก็อย่าคิดมากไป ผมไม่ได้สนใจบริษัทคุณ แล้วก็ไม่เคยคิดจะเอาไปเป็นของตัวเองด้วย เพียงแต่…”
ขณะที่พูด ซ่งจื่อเซวียนก็กัดริมฝีปาก “ผมไม่อยากให้บริษัทที่คุณสร้างขึ้นมาถูกพวกเขาแย่งไปแบบนี้”
ซ่งอวิ๋นฮั่นยิ้มและพยักหน้า “จื่อเซวียน ไม่ว่าเหตุผลคืออะไร ฉันก็ยังดีใจมากที่แกรับปาก”
ซ่งจื่อเซวียนไม่ได้พูดอะไรอีก ที่จริงในใจเขากลัวมากว่าจะมีใครคิดว่าเขากำลังฉวยโอกาส
แม้ว่าจะเป็นพ่อลูกกัน แต่ไม่ได้สนิทสนมกันมากนัก และยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องความรู้สึก ดังนั้นปัญหาข้อนี้เขายินดีอธิบายอย่างเต็มที่
แต่สำหรับซ่งอวิ๋นฮั่นแล้ว กลับไม่สนใจว่าเขาจะคิดอย่างไร เพียงแค่เห็นทรัพย์สินของเขาตกไปอยู่ในมือของลูกชาย เขาก็พอใจแล้ว
เห็นซ่งจื่อเซวียนไม่พูดไม่จา ซ่งอวิ๋นฮั่นจึงพูดว่า “สถานการณ์ในบริษัท…แกคิดยังไง”
“ฉินจ้งเป็นผู้อาวุโส มีอำนาจมากและมีแนวโน้มที่จะชนะ คนที่ชื่อจั่วอู่ฉลาดมาก ในเวลานี้เขาจะเลือกเข้าข้างนายท่านฉินลิ่ว
เจ้าเจี้ยนเจ้าเฮยจื่อพูดได้ว่าไม่จำเป็นต้องสนใจเขา เขาเป็นคนไม่มีความรู้ แต่เฮ่อเหว่ย…คนนี้ไม่ธรรมดา มีเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราวมาก”
“จบแล้วเหรอ” ซ่งอวิ๋นฮั่นถามด้วยรอยยิ้ม
ซ่งจื่อเซวียนใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง “ซ่งอวิ๋นหล่าง…ผมไม่อยากพูดมากมาย เขามีความทะเยอทะยานไม่น้อย และเมื่ออยู่ต่อหน้าผลประโยชน์ ผมเชื่อว่าสายสัมพันธ์พี่น้องของพวกคุณจะถูกทิ้งไว้ข้างหลัง”
เมื่อพูดเช่นนี้ หลายคนในห้องก็ตกตะลึง รวมถึงซ่งอวิ๋นฮั่นด้วย
“เจ้ารอง พูดอะไรเนี่ย!” หานหรงรีบพูดทันที
“จื่อเซวียน แกหมายความว่ายังไง เขา…ยังเป็นอารองของแกนะ” ซ่งอวิ๋นฮั่นกล่าว
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ ซ่งจื่อเซวียนก็อดไม่ได้ที่จะแอบส่ายหัว ซ่งอวิ๋นฮั่นฉลาดมาทั้งชีวิต หรือว่าเขายังมองจุดนี้ไม่เห็นเหรอ
แต่อย่างไรก็เป็นความผูกพันของพี่น้องสายเลือดเดียวกัน บวกกับซ่งอวิ๋นฮั่นเหลือเวลาไม่มากแล้ว ซ่งจื่อเซวียนจึงไม่อยากต่อล้อต่อเถียงกับเขาจึงไม่ได้พูดอะไรอีก
“เรื่องพวกนี้ไม่สำคัญหรอก ผมจะพยายามจัดระเบียบผู้คนในบริษัทให้มั่นคงก่อน!” ซ่งจื่อเซวียนพูด
ซ่งอวิ๋นฮั่นพยักหน้าช้าๆ “พูดถูก ฉันก็เดาได้ว่าช่วงที่ฉันไม่อยู่ จิตใจของคนในบริษัท…คงจะกระเจิดกระเจิงไปหมดแล้ว”
เจิ้งอวี่รินน้ำใส่แก้วยื่นให้ซ่งอวิ๋นฮั่นแล้วกล่าว “คุณซ่ง เรื่องไม่ได้ร้ายแรงขนาดนั้นครับ จริงๆ แล้วเมื่อวานผมเรียกประชุม ทุกคนมากันหมดแสดงว่ายังมีใจเคารพนับถือคุณอยู่ครับ”
“เหอะๆ เจิ้งอวี่เอ๊ย เรื่องนี้นายไม่ได้รู้ดีเท่าจื่อเซวียน ถึงเขายังเด็กแต่ก็ไม่มีปัญหาตรงนี้นะ” ซ่งอวิ๋นฮั่นพูดพร้อมชี้ไปที่ดวงตาของเขา
ความหมายของเขาคือซ่งจื่อเซวียนรู้วิธีสังเกตผู้คนและเรื่องต่างๆ อันที่จริงเขายังบอกซ่งจื่อเซวียนในระดับหนึ่งด้วยว่า หากรู้สึกว่าซ่งอวิ๋นหล่างมีปัญหาจริงๆ ก็ยังต้องทำในสิ่งที่ควรทำ
“เอาอย่างนี้เถอะ เจิ้งอวี่ นายหาเสื้อผ้าให้ฉันชุดหนึ่งก่อน”
“หืม? คุณซ่ง เข้าโรงพยาบาลใส่ได้แค่ชุดคนไข้นะครับ” เจิ้งอวี่เอ่ย
“เข้าโรงพยาบาล? เหอะๆ อาการป่วยของฉันจะรักษาหายหรือเปล่าฉันรู้ดี ต่อให้พักรักษาที่โรงพยาบาลก็ไร้ประโยชน์ อีกอย่างลูกชายฉันกำลังจะเข้ารับตำแหน่งที่บริษัท ฉันจะนั่งนิ่งๆ อยู่ได้ยังไง” ซ่งอวิ๋นฮั่นพูดพร้อมกับค้ำตัวขึ้นนั่งบนเตียง
ซ่งจื่อเซวียนรีบพูดว่า “เรื่องนี้ผมจัดการได้ คุณไม่ต้องออกหน้าหรอกครับ”
ซ่งอวิ๋นฮั่นส่ายหัวแล้วยิ้ม “หากฉันไม่ออกหน้าผลลัพธ์ก็จะต่างไป ตาแก่พวกนั้นยังต้องเผชิญหน้ากับฉัน”
“นั่นก็ไม่ได้ครับ เพราะคุณเข้าโรงพยาบาล ผมถึงตัดสินใจจะแก้ไขปัญหาของบริษัทแทนคุณ ถ้าคุณออกจากโรงพยาบาลแล้วผมก็จะไม่สนแล้วนะ!”
ซ่งจื่อเซวียนรีบพูด เขารู้สภาพร่างกายของซ่งอวิ๋นฮั่นดี ถ้าออกจากโรงพยาบาลไปแล้วเกิดอะไรขึ้นก็ไม่ใช่เรื่องล้อเล่นเลย
“ใช่แล้ว คุณฟังเจ้ารองมันเถอะ ทั้งหมดนี้ก็เพื่อตัวคุณเอง” หานหรงรีบเสริม
ซ่งอวิ๋นฮั่นยิ้มและจับมือซ่งจื่อเซวียน “ถ้าฉันไม่ไปตอนนี้ แกจะต้องพบเจอช่วงเวลาที่ยากลำบากที่สุด อย่างน้อยฉันก็อยากให้ทุกคนรู้ก่อนว่าแกเป็นเจ้าของบริษัท!”
ซ่งจื่อเซวียนอยากพูดอะไรบางอย่างอีก แต่ซ่งอวิ๋นฮั่นส่ายหัว “เชื่อฉัน ฉันเข้าใจร่างกายของฉันดี ฉันเหลือเวลาอีกไม่นานแล้ว มีเรื่องบางเรื่องที่ฉันต้องทำ”
ได้ยินคำพูดนี้ ซ่งจื่อเซวียนก็พูดไม่ออกครู่หนึ่ง แต่ภายในใจของเขาราวกับมีคลื่นซัดไปซัดมา
ในที่สุดเขาก็พยักหน้าอย่างหนักอึ้ง
ซ่งอวิ๋นฮั่นคลี่ยิ้ม “เจิ้งอวี่ บอกทุกคนว่าพรุ่งนี้มีประชุมและฉันจะเข้าร่วมด้วยตัวเอง”
“เอ่อ…คุณซ่ง” แม้ว่าเขาจะไม่ยอมให้เป็นเช่นนี้ แต่ซ่งอวิ๋นฮั่นตัดสินใจไปแล้ว เจิ้งอวี่ก็ทำได้เพียงปฏิบัติตามเท่านั้น
“เหอะๆ ฉันต้องบอกคนพวกนี้ว่าซ่งจื่อเซวียนเป็นลูกชายของฉัน ฉันมีผู้สืบทอด” ซ่งอวิ๋นฮั่นดูเหมือนจะไม่ได้ยิ้มอย่างมีความสุขเช่นนี้มานานแล้ว
เขามองไปที่ซ่งจื่อเซวียน “จื่อเซวียน ช่วยฉันหน่อยนะ เพื่อแก…ฉันต้องยืนตระหง่านต่อหน้าพวกเขา!”
…………………………………………