เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 183 จู่ๆ ก็หมดสติ
ตอนที่ 183 จู่ๆ ก็หมดสติ
ความจริงแล้วลู่ลี่จวินเข้าใจเจตนาของซ่งจื่อเซวียนได้ในทันที
เป็นเพราะเรื่องนี้อีกฝ่ายจึงได้เข้าหาตน แต่ลู่ลี่จวินก็ไม่ได้ใส่ใจ เนื่องจากมันก็เป็นหน้าที่ของเขาที่ต้องจัดการกับเจ้าหน้าที่เหล่านี้ที่ฝ่าฝืนกฎระเบียบ
เมื่อส่งซ่งจื่อเซวียนกลับแล้ว เขาก็กลับไปที่โต๊ะทำงาน หยิบสมุดบันทึกเล่มหนึ่งในลิ้นชักออกมาพลิกดู
เขาอ่านรายงานการประชุมล่าสุดอย่างละเอียดโดยเน้นการรายงานผลงานของสมาคมเป็นหลัก
ในสมาคมอาหาร ประธานสมาคมก็มีตำแหน่งด้านบริหารบ้านเมืองด้วยจึงไม่ค่อยไปทำงานที่สมาคมบ่อยนัก ดังนั้นปกติเฉิงเทียนเย่าจะมารายงานสถานการณ์การทำงานเอง
ลู่ลี่จวินพยักหน้าช้าๆ “เพราะเป็นแบบนี้ อำนาจในมือเฉิงเทียนเย่าถึงได้สูงนัก”
จากนั้นเขาก็เรียกหวังเฉียงมาที่ห้องทำงาน
ในเมื่ออธิบดีเรียกหา หวังเฉียงจึงรีบมาที่ห้องทำงานอย่างรวดเร็ว
“ท่านอธิบดีลู่”
ลู่ลี่จวินพยักหน้า “อืม หวังเฉียง ตอนนี้ถึงเวลาพักแล้ว ฉันอยากคุยกับนายเรื่องงานนิดหน่อยคงไม่รบกวนเวลาพักผ่อนของนายใช่ไหม”
“ไม่เลย ไม่เลยครับ ตอนเที่ยงผมไม่ค่อยพักผ่อนหรอกครับ ปกติจะเตรียมเอกสารการทำงานน่ะครับ”
“งั้นก็ดี เมื่อกี้ซ่งจื่อเซวียนมาที่นี่แล้ว นายบอกความจริงฉันมา เรื่องเกี่ยวกับเขา…นายคงรู้ทุกอย่างใช่ไหม”
ความจริงแล้วหวังเฉียงคาดเดาว่าเรื่องของซ่งจื่อเซวียนอาจสะสางได้ อย่างไรทักษะการประกอบธุรกิจของชายหนุ่มคนนี้ก็ไม่ธรรมดา
แต่เขาไม่คิดว่าจะเร็วขนาดนี้ นี่อธิบดีจะเริ่มทำงานด้านนี้แล้วเหรอ
นึกถึงตรงนี้ หวังเฉียงก็ยอมรับตรงๆ และเอ่ยว่า “ใช่ครับ ท่านอธิบดีลู่”
“ฮึ่ม นายรู้แต่ทำไมไม่รายงานเรื่องนี้กับฉันล่ะ เรื่องนี้อาจเป็นเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่ก็ได้ แต่ถ้ามันเป็นเรื่องใหญ่ขึ้นมา…นายได้คิดไหมว่ามันใหญ่แค่ไหน” ลู่ลี่จวินตบโต๊ะแล้วพูด
หวังเฉียงก้มหน้าลงและพยักหน้า แน่นอนว่าเขารู้ดีถึงความร้ายแรงของเรื่องนี้ หากเสี่ยหวงต้องการจัดการร้านอาหารร่ำรวย เขาก็ต้องใช้อำนาจทางภาครัฐ และลักษณะแบบนี้จะเป็นการสมรู้ร่วมคิดซึ่งเป็นการทำผิดทางวินัย
“เรื่องนี้ฉันจะจัดการด้วยตัวเอง และฉันต้องจำไว้ว่านี่เป็นความผิดของนายที่ไม่รายงานฉัน!” ลู่ลี่จวินพูดอย่างเอาจริงเอาจัง
“คือ…ท่านอธิบดีลู่ จริงๆ แล้วผมไม่ได้ตั้งใจจะไม่รายงาน แค่ตอนนั้นคุณสุขภาพไม่ค่อยดี กำลังพักผ่อนอยู่ที่บ้าน แล้วอีกอย่างเรื่องนี้คงไม่ง่ายขนาดนั้น มันจะต้องเกี่ยวกับคนในแน่ๆ ผมเลยไม่กล้าเข้าไปยุ่งอะไรครับ”
ในช่วงสำคัญเช่นนี้หวังเฉียงต้องให้คำอธิบายของตัวเอง หากจัดการเรื่องนี้แล้วตัวเองมีส่วนเกี่ยวข้อง เขาจะได้ไม่คุ้มเสีย
อันที่จริงลู่ลี่จวินไม่ได้คิดจะจัดการกับหวังเฉียงจริงๆ เขาแค่พูดออกมาด้วยความโกรธ เมื่อหวังเฉียงพูดแบบนี้ เขาจึงโบกมือ
“ช่างเถอะ อย่าเพิ่งอธิบายเลย เรื่องนี้ต้องตรวจสอบและจะต้องตรวจสอบอย่างเข้มงวด!” ลู่ลี่จวินกล่าว
“ตรวจสอบเหรอครับ ท่านอธิบดีลู่ เรื่องนี้ไม่ได้ตรวจสอบง่ายๆ เลยนะครับ”
“หืม? หมายความว่าไง” ลู่ลี่จวินเอ่ยถาม
หวังเฉียงเม้มริมฝีปากแล้วพูด “ท่านอธิบดีลู่ เส้นสายของหวงฟานั้นไม่ธรรมดา ไม่ใช่แค่ในสำนักงานควบคุมตลาดของเราเท่านั้น ถ้าเข้าไปยุ่งกับเขา…”
ลู่ลี่จวินได้ยินจึงยกมือขึ้นเพื่อหยุดไม่ให้หวังเฉียงพูดต่อ จากนั้นก็พยักหน้า
“ฉันเคยได้ยินเกี่ยวกับคนคนนี้ แต่สำหรับพวกเราแล้ว การจัดการเขาตอนนี้ไม่ได้สำคัญ สิ่งสำคัญคือฉันหวังว่าจะทำให้สำนักงานเราบริสุทธิ์
ผู้บริหารบางคนได้รับเงินเดือนจากรัฐและเงินจากนักธุรกิจ จากนั้นก็ช่วยพวกเขาทำงานบางอย่าง ยกโทษให้ไม่ได้ คนแบบนี้ไม่ควรอยู่ในหน่วยงานเรา!”
หวังเฉียงได้ยินคำพูดนี้ก็ตกตะลึง ‘หรืออธิบดีลู่รู้อยู่แล้วว่าคนในคนนั้นเป็นใคร’
อย่างไรหวังเฉียงก็ไม่รู้ ตอนที่ซ่งจื่อเซวียนเจอกับเขานั้น ไม่ได้มองว่าป้ายทะเบียนรถของเฉิงเทียนเย่าเป็นเป้าหมาย
“ท่านอธิบดีลู่ นี่คุณ…หมายความว่ายังไงครับ”
“ปล่อยเรื่องหวงฟาไปก่อนชั่วคราว ยังไงก็ไม่มีใครอยากสร้างปัญหาที่ยุ่งยากมากเกินไป แต่…ในอีกสองวันนี้ฉันจะจัดตั้งทีมปฏิบัติการ” ลู่ลี่จวินเอ่ย
“ทีมปฏิบัติการเหรอครับ”
“ใช่ เราจะตรวจสอบโดยเฉพาะว่าทีมตรวจสอบของเขตและเจ้าหน้าที่จากสมาคมอาหารใช้อำนาจในทางที่ผิดหรือเปล่า”
หวังเฉียงพยักหน้าเมื่อได้ยิน “นี่เป็นวิธีที่ดีเลยครับ เริ่มจับจากในสำนักงานเรา ตอนบ่ายผมจะร่างเอกสารไว้ คุณจะมารับผิดชอบทีมนี้ใช่ไหมครับ”
ลู่ลี่จวินทำเสียงอืมแล้วเอ่ย “นายมาเป็นรองหัวหน้าทีม และฉันจะเตรียมหลักฐานบางอย่างให้นายด้วย ฉันต้องการผลลัพธ์ภายในสามวัน เข้าใจไหม”
“ผมเหรอครับ ท่านอธิบดีลู่ นี่…ดูเหมือนจะไม่อยู่ภายในการจัดการของสำนักงาน หน่วยงานอื่นจะเห็นด้วยไหมครับ”
หวังเฉียงดีอกดีใจมากจริงๆ เป็นเพราะความสัมพันธ์ของซ่งจื่อเซวียน อธิบดีลู่จึงมอบหมายงานให้เขาด้วยตัวเอง นี่คืออะไร นี่คือความไว้วางใจ!
“ไม่ต้องสนใจความเห็นของคนอื่น ฉันให้นายไปทำงานนายก็ต้องกล้าที่จะทำ แล้วก็…”
ขณะที่พูด ลู่ลี่จวินก็หยุดชั่วคราวแลัวกล่าวต่อ “ระวังไว้ เอกสารนี้เป็นเอกสารภายใน ไม่จำเป็นต้องเผยแพร่”
หวังเฉียงชะงัก นี่ไม่ใช่แค่ความไว้วางใจ ไม่ใช่ว่าเขาได้เป็นอัครทูตแล้วเหรอ ดูเหมือนว่าตัวเองจะเดินหมากถูกแล้ว!
“เข้าใจแล้วครับ!”
จากนั้นลู่ลี่จวินก็ส่งหลักฐานที่ซ่งจื่อเซวียนให้มาผ่านแฟลชไดรฟ์เข้ารหัสให้กับหวังเฉียง
ในนั้นประกอบไปด้วยการสังเกตการณ์ห้องครัวในร้านอาหารร่ำรวยและรูปที่เหลยจื่อถ่ายไว้ตรงทางเข้าถงเชวี่ยไถ
ขณะที่นั่งอยู่ในออฟฟิศ หวังเฉียงก็ตกตะลึงเมื่อได้เห็นสิ่งนี้
อันที่จริงความจริงแบบนี้ไม่นับว่าเป็นเรื่องแปลก แต่เมื่อเห็นด้วยตาตัวเองกลับยากที่จะสงบจิตสงบใจ
เมื่อดูหลักฐานทั้งหมดแล้ว หวังเฉียงก็ถอนหายใจ นี่ดูเหมือนจะเป็นสัญญาณเตือนตัวเอง
เขารู้ว่าไม่ง่ายเลยที่คนอย่างเฉิงเทียนเย่าและเฝิงต๋าจะไต่ขึ้นไปถึงตำแหน่งอย่างทุกวันนี้ได้ และรู้ด้วยว่าการงานของพวกเขากำลังจะสิ้นสุดลง…
…………
ถนนมหาวิทยาลัย
ถนนมหาวิทยาลัยในตู้เหมินเป็นหนึ่งในถนนที่ค่อนข้างคึกคัก
แม้ว่าถนนจะไม่ได้กว้างมากนัก เป็นถนนรถสวนกันสามเลน แต่ที่นี่กลับมีเหตุผลที่ทำให้เจริญรุ่งเรือง
ริมทางเป็นมหาวิทยาลัยติดกันสองแห่งคือมหาวิทยาลัยตู้เหมินและมหาวิทยาลัยหนานกวน
นักศึกษาทั้งสองสถาบันไม่เพียงแต่เป็นหัวกะทิของประเทศเท่านั้น ทว่ายังมีนักศึกษาต่างชาติไม่น้อยที่มาเพื่อศึกษาหาความรู้ สิ่งนี้ทำให้ถนนมหาวิทยาลัยมีกลิ่นอายทางวัฒนธรรมที่แข็งแกร่ง
ทั้งสองข้างทางยังมีธนาคาร อาคารสำนักงานและถนนคนเดินมากมาย จึงทำให้รถยนต์ที่อยู่โดยรอบจอดเป็นแถวยาว
ณ ริทึ่มคาเฟ่
หญิงสาวสามคนนั่งอยู่หน้าโต๊ะกาแฟทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า มองจากเสื้อผ้าก็บอกได้เลยว่ามาจากครอบครัวที่ไม่ธรรมดา นักศึกษาที่สามารถสวมใส่แบรนด์เนมทั้งตัวได้นั้นไม่ค่อยมีให้พบเห็นมากนัก
ถังหย่าฉีกำลังเท้าคางและดูดหลอดตรงหน้าเธอด้วยสีหน้าเป็นกังวล
“นี่พวกเธอ ฉันพึ่งพวกเธอไม่ได้แล้ว ฉันควรทำยังไงดีเนี่ย” ถังหย่าฉีมุ่ยปากเอ่ย
“โธ่เอ๊ยหย่าฉี เธอจะต้องงัดข้อกับพ่อเธอด้วยเหรอ ไปต่างประเทศเป็นโอกาสที่ดีมากนะ ถ้าฉันมีโอกาสนี้ฉันจะไปทันทีเลย!” หญิงสาวที่อยู่ด้านข้างเอ่ยขึ้น
“จางถิงพูดถูก ฉันก็เหมือนกัน อีกอย่าง…หย่าฉี ใครจะพูดเรื่องเงินหนึ่งล้านสองแสนนี้ออกมาได้ในทีเดียว เงินค่าขนมของฉันแต่ละเดือนแค่สามหมื่นหยวน แล้วฉันก็…ไม่พอใช้ด้วย”
“เหมือนกัน ฉันก็เหมือนกัน ค่าใช้จ่ายเดือนละไม่กี่หมื่นหยวนไม่พอหรอก เราจะหาเงินมากมายขนาดนี้ได้จากที่ไหนกัน”
“ถึงเราจะไปขอที่บ้าน พวกเขาคงต้องถามแน่ว่าจะเอาไปทำอะไร ฉันพูดไม่ได้ว่าจะเปิดร้านอาหารกับเพื่อนๆ ตัดฉันออกจากหุ้นส่วนเถอะ”
เมื่อถังหย่าฉีได้ยินก็กุมขมับ “พอๆ ไม่ต้องพูดแล้ว หงุดหงิดจะตายอยู่แล้ว เฮ้อ…ฉันจะหาเงินหนึ่งล้านสองแสนได้จากที่ไหน…”
ขณะที่พวกเธอกำลังพูดคุยกันก็มีชายหนุ่มคนหนึ่งบังเอิญเดินผ่านมา เขาสวมชุดสูทลำลองสีดำ เสื้อยืดสีขาว ใบหน้าหล่อเหลาราวกับมีแสงแดดสาดส่องมาบนร่างกายของเขา เผยให้เห็นถึงความสูงส่ง
เห็นชายหนุ่มคนนี้ จางถิงก็เผยสีหน้าคลั่งไคล้ทันที “ว้าว เฮ่อเหยียนข่ายนี่นา หล่อจังเลย”
“นั่นน่ะสิ พระเจ้า ทำไมเขาถึงหล่อขนาดนี้นะ…เธอดูสิ เขามองมาทางพวกเราด้วย โอ๊ย ฉันอยากแต่งหน้าเพิ่ม”
ในขณะที่ทั้งสองกำลังคุยกัน เฮ่อเหยียนข่ายก็เดินเข้ามาที่โต๊ะของพวกเธอ เมื่อเห็นหญิงสาวทั้งสองตื่นเต้นระริกระรี้ ถังหย่าฉีก็กลอกตามองพวกเธอ
“ฮ่าๆ หย่าฉี บังเอิญจริงๆ เธอก็อยู่ที่นี่เหมือนกัน” เฮ่อเหยียนข่ายพูดด้วยรอยยิ้ม
ทั้งมหาวิทยาลัยรู้กันดีว่าเฮ่อเหยียนข่ายตามจีบถังหย่าฉี แต่หลังจากเกิดเรื่องครั้งก่อนที่อ่าวชิงหลง เฮ่อเหยียนข่ายก็อับอายเกินกว่าจะตามจีบเธออีกครั้ง
วันนี้นับว่าเป็นครั้งแรกที่ได้พูดคุยกันในช่วงระยะนี้
ถังหย่าฉีพยักหน้า “นั่นสิ”
“เป็นอะไรเหรอ ท่าทางไม่ค่อยมีความสุขเลย” เฮ่อเหยียนข่ายวางกาแฟที่เขาเพิ่งซื้อไว้บนโต๊ะ แต่ไม่ได้นั่งลง
ถังหย่าฉีไม่มีอารมณ์จะพูดด้วย ดังนั้นจึงไม่ได้เอ่ยปาก แต่จางถิงที่อยู่ด้านข้างก็รีบสานต่อบทสนทนาทันที
“ใช่แล้วค่ะ หย่าฉีร้อนรนอยู่ เธออยากเปิดร้านอาหารแต่ไม่มีเงินทุน”
“หา? จะเปิดที่ไหนเหรอ แล้วต้องใช้เงินทุนเท่าไรล่ะ” เฮ่อเหยียนข่ายถาม
“หนึ่งล้านสองแสนต่อปี เปิดข้างๆ ร้านนั้นที่เคยเป็นร้านอาหารฟาสต์ฟู้ดค่ะ” จางถิงตอบ
เฮ่อเหยียนข่ายพยักหน้า “อ๋อ ร้านนั้นนี่เอง หนึ่งล้านสองแสน…จริงๆ มันก็ไม่แพงนะ ทำเลที่นี่ก็ดีมาก”
ถังหย่าฉียิ้มเล็กน้อย “เหยียนข่ายคุณว่างมากเหรอ”
“เอ่อ…ไม่ใช่ ฉันแค่อยากจะบอกว่าจริงๆ แล้วฉันให้เธอยืมเงินหนึ่งล้านสองแสนได้นะ” เฮ่อเหยียนข่ายพูดด้วยความงุ่มง่ามเล็กน้อย
เขาพูดเช่นนี้ สาวๆ ก็ต่างประหลาดใจ ถังหย่าฉีเอ่ยถาม “จริงเหรอ คุณมีเงินอยู่ในมือมากขนาดนั้นเลยเหรอ”
“ก็มีแหละ น่าจะพอเอาออกมาได้ เอาแบบนี้ พรุ่งนี้เธอไปบริษัทฉันได้ไหม ไว้คุยกันในบริษัทดีกว่า” เฮ่อเหยียนข่ายกล่าว
“ว้าว คุณมีบริษัทด้วยเหรอเนี่ย”
“สุดยอดจริงๆ สมกับเป็นเฮ่อเหยียนข่าย”
ถังหย่าฉีกลอกตามองพวกเธอก่อนถาม “บริษัทคุณ…อยู่ที่ไหนเหรอ”
“อยู่ในเขตเฉิงหนาน เดี๋ยวฉันส่งโลเคชันไปให้เธอนะ”
……
ออกจากสำนักงานควบคุมตลาด ซ่งจื่อเซวียนก็ให้ซางเทียนซั่วไปส่งเขาที่โรงแรมข่ายอ้อในอ่าวชิงหลง
สะสางเรื่องร้านอาหารร่ำรวยได้แล้ว ต่อไปก็เรื่องที่บริษัทซ่งอวิ๋นฮั่น หลังจากเข้าร่วมการประชุมที่ไม่เหมือนประชุมนั้น ซ่งจื่อเซวียนก็ได้เปลี่ยนความคิด
จนถึงตอนนี้ ซ่งจื่อเซวียนก็ไม่ได้สนใจผลประโยชน์ที่จะได้รับจากการรับช่วงต่อบริษัทซ่งอวิ๋นฮั่นเลย
แต่หลังจากการประชุมครั้งนี้ เขาไม่อยากเห็นโลกที่ซ่งอวิ๋นฮั่นสร้างขึ้นมาอย่างเหน็ดเหนื่อยถูกคนกลุ่มนี้ชุบมือเปิบไป
ไม่ว่าจะเป็นเฮ่อเหว่ยที่ภายนอกเป็นมิตรแต่ในใจมีความทะเยอทะยานซ่อนอยู่ หรือนายท่านฉินลิ่วที่อวดดีและบ้าอำนาจ หรือแม้แต่อารองที่ทำให้เขาผิดหวัง…
ซ่งจื่อเซวียนจะไม่ยอมให้พวกเขาฉวยเงินสักแดงเดียวไปจากธุรกิจของซ่งอวิ๋นฮั่น!
ระหว่างทางซ่งจื่อเซวียนและซางเทียนซั่วพูดคุยกันมากมาย แม้ว่าพวกเขาไม่ได้พูดออกมาชัดเจน แต่ต่างก็พูดคุยเกี่ยวกับสถานการณ์ตอนนี้ของตัวเองด้วย
ทั้งสองไม่เพียงแต่เป็นอาจารย์และลูกศิษย์กันเท่านั้น แต่ยังเป็นเพื่อนสนิทด้วย และซ่งจื่อเซวียนก็ยังไว้ใจซางเทียนซั่วมาก
“ถ้างั้น…อาจารย์จะรับช่วงต่อธุรกิจของคุณปู่แล้วเหรอ”
“นี่คือสิ่งที่เขาอยากเห็นมาโดยตลอด ถึงฉันจะไม่ได้สนใจเงินของเขา แต่ฉันก็ไม่อยากเห็นคนอื่นมาเอาเปรียบ!” ซ่งจื่อเซวียนกล่าว
ซางเทียนซั่วพยักหน้า “ถูกต้อง ไอ้เศษสวะพวกนั้น คุณปู่ยังไม่ตายสักหน่อย แค่…”
ขณะที่พูด ซางเทียนซั่วก็ตระหนักได้ว่าเขาพูดผิดไปแล้วจึงหยุดทันที “อาจารย์ ผม…ผมไม่ได้หมายความแบบนั้นนะ”
“ไม่เป็นไร ฉันไม่โทษนายหรอก” ซ่งจื่อเซวียนพูดด้วยรอยยิ้มขมขื่น ซางเทียนซั่วไม่ได้พูดเกินไปเลย แล้วอารองของเขาล่ะ
ได้ยินนายท่านฉินลิ่วบอกว่าพี่ชายแท้ๆ ของตัวเองตายแล้วก็ไม่ได้รู้สึกรู้สาอะไร นี่เป็นพี่น้องแท้ๆ นะ
เมื่อมาถึงโรงแรม ซ่งจื่อเซวียนก็ตรงไปยังชั้นยี่สิบสอง
แต่ก่อนที่เขาจะไปถึงก็เห็นว่าประตูห้องซ่งอวิ๋นฮั่นที่อยู่ไม่ไกลกำลังเปิดอยู่ เขาอดแปลกใจไม่ได้จึงสาวเท้าเดินเข้าไปอย่างรวดเร็ว
เดินมาถึงประตูห้อง เขาก็เห็นเจิ้งอวี่กำลังเก็บของบางอย่าง ซ่งจื่อเซวียนจึงเอ่ยถามว่า “อาเจิ้ง นี่มัน…เกิดอะไรขึ้นครับ”
“จื่อเซวียน คุณมาแล้ว เมื่อสักครู่จู่ๆ คุณซ่งก็หมดสติไป แม่ของคุณโทรแจ้งรถพยาบาลแล้ว ตอนนี้กำลังส่งตัวไปโรงพยาบาล ผมกำลังเก็บข้าวของแล้วจะเอาไปให้เขาครับ”
ซ่งจื่อเซวียนได้ยินก็แข็งทื่อไปทั้งตัว
……………………………………..