เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 180 ไม่สะดวกเปิดปาก
ตอนที่ 180 ไม่สะดวกเปิดปาก
เห็นท่าทีของซ่งจื่อเซวียน คนทั้งห้องประชุมก็อึ้งไป
เพียงแต่ทุกคนไม่ได้แสดงปฏิกิริยาโอเวอร์เกินไป เนื่องจากแต่ละคนล้วนเคยผ่านพายุกระหน่ำมาทั้งนั้น จึงรักษาความสุขุมเอาไว้ได้
แต่ไม่มีใครกังวลไปกว่าเจิ้งอวี่แล้ว
ชัดเจนว่าเขาคิดไม่ถึง ซ่งจื่อเซวียนมาบริษัทครั้งแรกก็จะท้าทายนายท่านฉินลิ่วที่บารมีสูงสุด
แต่คิดในอีกมุมมองหนึ่งก็ไม่แปลก อย่างไรลูกวัวแรกเกิดไม่กลัวเสือ อีกทั้งซ่งจื่อเซวียนก็มีจุดยืนเป็นของตนเองในสังคม
มีนายท่านรองซ่งเพิ่มมาหนึ่งคนในเขตเฉิงตง เจิ้งอวี่รู้ตั้งนานแล้ว สมญานามนี้ไม่ได้ด้อยกว่านายท่านรองซ่งอวิ๋นหล่างคนนี้เลย
แต่ที่สำคัญที่สุดยังเป็นเพราะนายท่านฉินลิ่วพูดถึงซ่งอวิ๋นฮั่น ถ้าซ่งจื่อเซวียนอดทนได้…ก็ไม่ใช่คนแล้ว
ฉินจ้งที่ถูกซ่งจื่อเซวียนด่าก็อึ้งไปเช่นกัน เขาโกรธจนถลึงตา “แก…แก…ไอ้หนู แกกล้าดีนี่ วันนี้ข้าแม่งปล่อยแกออกจากห้องนี้ไปไม่ได้แล้ว!”
“แก่ขนาดนี้แล้ว ยังพูดโม้ไม่อายฟ้าอายดิน คุณลองดูไหมล่ะ” ซ่งจื่อเซวียนไม่ถอยเลยแม้แต่น้อย สองตาจดจ้องฉินจ้งอย่างแข็งกร้าว
“แม่งเอ๊ย แกมันหาที่ตาย!”
ไม่รอให้คนอื่นเคลื่อนไหว เจ้าเจี้ยนเจ้าเฮยจื่อคนนั้นยืนขึ้นทันที พุ่งไปหาซ่งจื่อเซวียน
รูปร่างเจ้าเฮยจื่อแข็งแรงอวบอ้วน พละกำลังนั่นแค่คิดก็รู้แล้วว่าขณะที่เหวี่ยงหมัดก็แทบจะมีเสียงออกมาด้วย
แต่ยังไม่ทันต่อยโดนตัวซ่งจื่อเซวียน จู่ๆ เจิ้งอวี่ก็พูดขึ้นเสียง “หยุดเดี๋ยวนี้ เจ้าเฮยจื่อ คุณกล้าทำเขาเจ็บสิ ผมก็กล้าจัดการคุณเหมือนกัน หลังจากนี้เงินของคลับเฮาส์จะไม่เกี่ยวข้องกับคุณสักเหมาเดียว!”
ได้ยินประโยคนี้ เจ้าเฮยจื่อหยุดมือทันที
เป็นเพราะประโยคนั้น ที่ออกมาก่อเรื่องเพราะต้องการหาเงิน ได้ยินว่าคนเขาจะตัดช่องทางการเงินของตนเอง เขายังจะกล้าลงมืออีกเหรอ
แต่ไม่มีใครเข้าใจว่าทำไมเจิ้งอวี่ถึงปกป้องพนักงานบริษัทคนหนึ่งขนาดนี้…
“หึ ไม่ให้เงินเฮยจื่อเหรอ เจิ้งอวี่ ใครให้อำนาจนายล่ะ” นายท่านฉินลิ่วจ้องเจิ้งอวี่
ที่นี่ พูดถึงเรื่องลำดับอาวุโสเป็นนายท่านฉินลิ่วที่สูงที่สุดจริงๆ ต่อให้ซ่งอวิ๋นฮั่นอยู่ ก็เรียกเขาว่าอาฉินเช่นกัน เขาต้องกลัวอะไรล่ะ
แต่ตอนนี้เอง เจิ้งอวี่แทบจะไม่สนใจขนาดนั้นแล้ว เพราะคนที่เขาปกป้องก็ไม่ใช่คนอื่น แต่เป็นนายน้อย!
“อำนาจ? แน่นอนว่าเป็นคุณซ่งสิครับ นายท่านลิ่ว วันนี้เจิ้งอวี่ล้ำเส้นแล้ว และต้องดูแลเรื่องนี้ กล้าก่อเรื่องในบริษัท ไม่ว่าจะเด็กหรืออาวุโส ก็ไม่รักษากฎเกณฑ์กันหมดแล้วเหรอครับ”
ขณะที่พูด เจิ้งอวี่ก็มองซ่งจื่อเซวียน เป็นการบอกให้เขาสงบสติอารมณ์ ต่อให้โกรธจัด แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลา
ซ่งจื่อเซวียนแค่นเสียงเย็นก่อนนั่งลง
ฉินจ้งย่อมเข้าใจเจตนาของเจิ้งอวี่อยู่แล้ว เขากำลังปกป้องเจ้าเด็กนี่
ต่อให้เป็นแบบนี้ เขาก็ยังไว้หน้าเจิ้งอวี่ จึงนั่งลง “เฮยจื่อ นั่งลง!”
เห็นทุกคนยากจะสงบสติอารมณ์ได้ เจิ้งอวี่ถอนหายใจ พูดว่า “เอาอย่างนี้แล้วกันครับ การประชุมวันนี้สิ้นสุดเท่านี้ รบกวนทุกคนส่งข้อมูลลายลักษณ์อักษรของแต่ละคนมาด้วยนะครับ เลิกประชุมได้ครับ!”
พูดจบ เจิ้งอวี่ก็ออกจากห้องประชุมไปก่อน ส่วนซ่งจื่อเซวียนก็ตามออกไปด้วยเช่นกัน
อย่างไรเขาก็ไม่คิดจะอยู่สู้อะไรกับคนพวกนั้นอีก แต่เมื่อผ่านพ้นเรื่องวันนี้ไป ซ่งจื่อเซวียนก็มีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย
เข้ามาในห้องทำงานของซ่งอวิ๋นฮั่น ซ่งจื่อเซวียนก็นั่งลงบนเก้าอี้หนัง ถอนหายใจอย่างแรง เห็นได้ชัดว่ายังไม่พอใจ
เจิ้งอวี่เห็นท่าทางเช่นนั้นก็ยิ้มบางๆ แล้วชงชาวางให้เขาที่โต๊ะ
“พอแล้วล่ะ ผ่านไปก็จบไปแล้ว ดื่มน้ำหน่อย”
“อาเจิ้ง คนพวกนี้ปกติเป็นแบบนี้เหรอครับ” ซ่งจื่อเซวียนถาม
เจิ้งอวี่ยิ้มพูด “พวกเขาจะกล้าเหรอ อำนาจของคุณซ่งเป็นสิ่งที่คุณคาดไม่ถึงเลย ต่อให้เป็นนายท่านฉินลิ่วก็ไม่กล้าตบโต๊ะถลึงตาหรอก”
ที่จริงซ่งจื่อเซวียนยังอยากถามเกี่ยวกับเรื่องของอารองซ่งอวิ๋นหล่าง แต่อดใจไว้
เขาคิดว่าเรื่องนี้อย่างไรก็เป็นเรื่องในครอบครัว ยังไม่ถามเจิ้งอวี่จะดีกว่า
แต่เขาก็มีความคิดเห็นของตนเอง จากเรื่องคราวนี้ อารองคนนี้…เหอะๆ ก็งั้นๆ แหละ
ถึงอย่างไรกำไรของบริษัทอยู่ตรงนั้น ในตามีแต่เงิน เรื่องรักใคร่ในครอบครัวก็เป็นเรื่องที่เห็นอยู่บ่อยๆ คิดถึงตรงนี้ ซ่งจื่อเซวียนก็อดถอนหายใจไม่ได้
“อาเจิ้งครับ ข้อมูลพวกนี้ขอผมดูได้ไหมครับ”
“แน่นอนสิ ถ้าคุณยินยอมรับช่วงต่อบริษัท คิดเห็นยังไงก็บอกผมได้ทันทีเลย”
ได้ยินดังนั้น ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้า “ขอบคุณนะครับอาเจิ้ง ผมก็คิดอย่างนั้น เอาอย่างนี้แล้วกัน อาช่วยผมตรวจสอบอะไรสักอย่างสิครับ”
“ตรวจสอบเหรอ ตรวจสอบอะไร”
“ตรวจสอบนายท่านฉินลิ่ว ตรวจสอบจั่วอู่ ตรวจสอบเจ้าเฮยจื่อ แล้วก็เฮ่อเหว่ย ตรวจให้ผมทั้งหมด!”
ประโยคนี้ทำให้เจิ้งอวี่อึ้งไป จู่ๆ เขารู้สึกเหมือนมีเจ้านายคนใหม่ ได้ตำแหน่งมาก็แสดงอำนาจทันที
ความรู้สึกแบบนี้ทำให้เขารู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาอย่างไม่ต้องสงสัย
เขาพยักหน้า “ได้ๆๆ ผมจะบอกข้อมูลที่ตรวจสอบได้ให้คุณทั้งหมดเลย!”
ซ่งจื่อเซวียนมองเจิ้งอวี่ แอบอธิษฐานในใจ ‘บริษัทที่แตกความสามัคคีแบบนี้ หวังแค่ว่าเจิ้งอวี่จะยังสามารถเชื่อใจได้นะ…’
แต่จากประโยคนี้ เจิ้งอวี่ก็ฟังออกว่าซ่งจื่อเซวียนไม่ได้บอกให้ตรวจสอบซ่งอวิ๋นหล่าง
นี่เป็นสัญญาณหนึ่ง แต่เขาไม่รู้เจตนาของซ่งจื่อเซวียน เพื่อปกป้องเหรอ เพราะนั่นก็เป็นอารองของเขา
หรือว่า…เพื่อจุดประสงค์อื่น
เจิ้งอวี่กลับรู้สึกว่ายิ่งน่าสนใจขึ้นเรื่อยๆ แล้ว สไตล์การจัดการของซ่งจื่อเซวียนไม่เหมือนกับซ่งอวิ๋นฮั่นอย่างเห็นได้ชัด
ถึงอย่างไรลูกวัวเพิ่งเกิด ฝีก้าวอาจจะก้าวได้ใหญ่กว่า แต่กลับไม่ขาดความละเอียดรอบคอบ อย่างน้อยจากมุมของเจิ้งอวี่ ยังมองการจัดการของเขาไม่ออกทั้งหมด
……………………..
เสี่ยเฉิงปาคิดไม่ถึงว่าซ่งจื่อเซวียนจะเป็นเทพจริงๆ หลังจากที่เขาติดต่อหาเถียนเหวินคุ่ย เสี่ยหวงฟาก็เชิญพบทันที
ต้องรู้ว่าก่อนหน้านี้เขาแทบจะได้พูดคุยแลกเปลี่ยนกับเสี่ยหวงในงานชุมนุมอาหารตู้เหมินเท่านั้น แต่ครั้งนี้…นัดมาง่ายๆ เลย
จากนั้นเขาก็มาถึงตึกจวี้เฟิงที่หวงฟาอยู่
ในห้องทำงาน เสี่ยหวงนั่งบนเก้าอี้หวายโยกไปโยกมา คลอนแก้วไวน์แดงในมือเบาๆ สีหน้าสบายใจ
“เสี่ยครับ พวกเสี่ยปามาแล้วครับ” วางสายเรียบร้อยเถียนเหวินคุ่ยก็เอ่ยขึ้นมา
หวงฟายิ้ม “เหวินคุ่ย แกเดาว่า…เฉิงปานี่มาหาฉันเพราะกลัว หรือว่า…เขาตัดสัมพันธ์กับร้านอาหารร่ำรวยไปนานแล้ว”
“เหอะๆ เรื่องไม่สำคัญ แต่มีจุดนึงคือตอนนี้เขาเป็นคนของเสี่ยแล้ว ใช้งานได้”
หวงฟาส่ายหน้าน้อยๆ “ฉัน…ไม่ได้สนใจเขาเท่าไร ตัวใหญ่ไร้สมอง แต่ฉันเดาว่าเขากลัว”
“ไม่แน่หรอกครับ ช่วงนี้คนของผมคอยดูสถานการณ์ร้านอาหารร่ำรวยอยู่ตลอด เฉิงปาไม่ได้ไป และไม่ได้เจอกับซ่งจื่อเซวียนด้วย”
“โอ้? พูดอย่างนี้หมายความว่าคนคนนี้ใช้งานได้อยู่หน่อยๆ แต่ว่า…ฉันต้องตรวจสอบคุณภาพก่อน ให้เขาขึ้นมาเถอะ”
ไม่นานนัก เฉิงปาก็พาจางเปียวกับเหลยจื่อขึ้นมาบนชั้นสิบหกของตึกใหญ่ แต่ตามกฎแล้ว มีแค่เสี่ยเฉิงปาคนเดียวเท่านั้นที่เข้าไปได้ ส่วนจางเปียวกับเหลยจื่อทำได้แค่รออยู่ด้านนอก
โชคดีที่สภาพด้านนอกดีมาก เหมือนกับลานกลางแจ้ง ทั้งสองดื่มชาแทะเมล็ดแตง ไม่เบื่อเลย
เดินเข้าไปในห้องทำงาน เฉิงปาก็เผยรอยยิ้ม “เสี่ยหวง ไม่เจอกันนานนะครับ”
“เหอะๆ ก็เสี่ยปายุ่งเกินไปนี่ ฉันเจอไม่ได้เลย” เสี่ยหวงยังคงโยกเก้าอี้หวายพลางพูด
“ฮ่าๆๆ เสี่ยพูดแบบนี้ได้ที่ไหนกัน ผมยังอยากพึ่งเสี่ยให้ร่ำรวยอยู่ เพียงแต่ไม่กล้ารบกวนครับ”
เสี่ยเฉิงปานั่งบนโซฟา จุดบุหรี่
“ช่วงนี้เสี่ยปาธุรกิจเป็นยังไงบ้างล่ะ” หวงฟาถาม
“ร้านของผมไม่กี่ร้านนั่นเรียกว่าธุรกิจได้ที่ไหนกันครับ เสี่ยหวงล้อผมเล่นแล้ว มีชีวิตอยู่ก็ดีแล้วครับ” เฉิงปาพูดยิ้มๆ
เสี่ยหวงพูดกลั้วหัวเราะเบาๆ “โอ้? งั้นเหรอ ฉันได้ยินมาว่าธุรกิจของนายดังมากเลยนี่ ร้านนั้นชื่อว่าอะไรนะ…อ้อใช่ ร้านอาหารร่ำรวย ฮ่าๆๆ ชื่อไม่เลว”
“เสี่ยหวงนี่เป็นการเยาะเย้ยผมนะ”
“ถูกต้อง ก็เยาะเย้ยนายนั่นแหละ!” จู่ๆ หวงฟาก็นั่งลง สองตามองเสี่ยเฉิงปา สีหน้าเคร่งขรึม
เสี่ยเฉิงปาอดกลั้นไม่พูดออกมาอยู่นาน แต่สุดท้ายก็ฝืนยิ้ม
“เหอะๆ เสี่ยหวงก็รู้ว่าผมไม่เกี่ยวข้องกับร้านนั่นนานแล้ว ตัดขาดกับซ่งจื่อเซวียนแล้วด้วย อย่าพูดถึงเรื่องพวกนี้อีกเลยครับ”
หวงฟาถึงยิ้มออกมา ลุกขึ้นมานั่งที่โซฟา พยักหน้า “เสี่ยปา…เป็นคนฉลาดคนหนึ่งนะเนี่ย”
“เสี่ยวางใจได้ ในตู้เหมินนี่ควรจะยืนฝั่งไหนผมเฉิงปารู้อยู่แก่ใจดี” เสี่ยเฉิงปาพูด
“เสี่ยอย่าพูดถึงเลยครับ ล้วนเป็นผมที่ใช้อารมณ์เกินไปเอง เสี่ยก็รู้ว่าผมกับเคอซานญาติดีกันไม่ได้ ผมอยากลำเส้นเสี่ยที่ไหนกัน ต่อให้คิด ให้ตายผมก็ทำไม่ได้หรอกครับ”
เฉิงปาพูดด้วยรอยยิ้มพลางลูบหัวโล้นๆ ของตัวเอง
หวงฟาพยักหน้าน้อยๆ “งั้นก็ดี งั้นก็ดีแล้วล่ะ จากนี้เรายังเป็นพี่น้องกัน ตอนนี้มีคนหนุ่มสาวกลุ่มหนึ่งในเมืองตู้เหมิน ไม่เลวเลย แต่ว่า…เราต้องพัฒนาประโยชน์ของอำนาจเสาหลัก นายว่าไง”
“ก็ใช่นะครับ เสี่ยหวงพูดถูก เราเป็นคลื่นลูกหนึ่งนะ”
หวงฟามองเสี่ยเฉิงปา เหมือนกับสรุปในใจได้อีกครั้งว่าชายคนนี้ตัวใหญ่ไร้สมอง…
“เสี่ยครับ ผมได้ยินมาว่าร้านอาหารร่ำรวยนั่นปิดไปแล้ว” ต่อมาเสี่ยเฉิงปาก็ตัดเข้าหัวข้อหลัก นี่ก็เป็นจุดประสงค์ที่ซ่งจื่อเซวียนให้เขามาที่นี่
หวงฟาเหลือบมองเขา “ได้ยินมางั้นเหรอ”
“เหอะๆ เห็นน่ะครับ เมื่อกี้ตอนขับรถผ่าน เห็นติดป้ายไว้”
“อืม” หวงฟาตอบรับเสียงหนึ่ง ไม่สานต่อ
เสี่ยเฉิงปาครุ่นคิดก่อนพูดว่า “เสี่ยหวง ที่จริงครั้งนี้…ผมต้องขอบคุณเสี่ยนะครับ”
“พูดอย่างนี้หมายความว่ายังไง”
“ถ้าไม่ใช่เพราะเสี่ยให้คุณเถียนเตือนผม เกรงว่า…”
“เหอะๆ กลับเนื้อกลับตัวแล้วก็ดี ท่าทีของเสี่ยเฉิงปาตอนนี้ ควรจะเดินกลับไปในเส้นทางที่ถูกต้อง เดินในเส้นทางคดเคี้ยวพวกนั้นไม่มีประโยชน์หรอก นายคิดว่าแค่อาหารอย่างหนึ่งจะร่ำรวยได้จริงๆ เหรอ”
เสี่ยเฉิงปาพยักหน้า “ใช่ ใช่ครับ เสี่ยพูดถูก คราวหลังผมจะไม่ทำแล้วครับ แต่ว่าเสี่ยครับ ผมคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าร้านนี่จะโดนติดป้ายปิดร้านเร็วขนาดนี้”
หวงยิ้มเรียบๆ “มา เสี่ยปา ดื่มชาเถอะ”
เฉิงปาแอบอึ้ง รู้สึกว่าจะพูดอย่างไรก็ทำให้หวงฟาบอกว่าเรื่องนี้เขาเป็นคนทำหรือเปล่าออกมาไม่ได้ สมแล้วที่เป็นเสี่ยหวง ใจไม่ถึงทำไม่ได้จริงๆ
“เสี่ยปาอุตส่าห์มาหาหวงฟา ฉันก็ปล่อยให้นายมาเสียเปล่าไม่ได้ ร้านอาหารในมือของนายร้านไหนมีขนาดใหญ่บ้างเหรอ”
“เอ่อ…” เฉิงปาไม่รู้ว่าหวงฟาพูดอย่างนี้หมายความว่าอย่างไรไปชั่วขณะ “ที่สะพานจงซานมีอยู่ร้านหนึ่งครับ สองร้อยกว่าตารางเมตร บวกกับครัวด้านหลังก็เกือบสามร้อยตารางเมตรครับ”
หวงฟาได้ยินก็พยักหน้า “อย่าพูดล่ะว่าเสี่ยหวงไม่ดูแลคนของตัวเอง ในมือฉันมีสูตรอาหารอยู่หลายสูตร คิดจะหาร้านสักร้านลองทำดู กำไรเจ็ดสิบสามสิบ นายคิดว่าไง”
ที่จริงหวงฟาเคยพูดกับเสี่ยเจียงกับเสี่ยเคอซานมาก่อน เพียงแต่สุดท้ายสองคนนั้นก็ไม่ได้ตอบรับ
ได้เจอกับไอ้โง่เง่าคนนี้ หวงฟาย่อมใช้โอกาสนี้หลอกเซ็นสัญญา
ถึงเฉิงปาจะโง่ แต่ก็อยู่ในวงการนี้มานานหลายปี ย่อมฟังเจตนาของหวงฟาออกอยู่แล้ว
ให้สูตรมาอย่างหนึ่ง ก็แบ่งกำไรสามสิบเจ็ดสิบกับฉันเหรอ เขาไม่สงสัยเลยว่าสามสิบเจ็ดสิบนี่จะแบ่งกันอย่างไร หวงฟาเจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์แน่นอน…
แต่คิดไปคิดมา ในเมื่อเชื่อซ่งจื่อเซวียนแล้ว ก็ต้องยืนหยัดต่อไป ตอนนี้ไม่ว่าจะอย่างไรต้องถามประโยคนั้นที่ซ่งจื่อเซวียนต้องการให้ได้
“ฮ่าๆ เสี่ยหวงพูดออกมาแบบนี้ผมจะทำยังไงได้ล่ะครับ แต่ว่า…เสี่ยต้องรับปากนะว่าร้านของผมจะไม่เป็นแบบร้านอาหารร่ำรวยน่ะ ถ้าโดนปิดร้าน…”
หวงฟาหัวเราะ “ร้านของฉัน…ไม่มีทางโดนสั่งปิดร้านหรอก นอกเสียจากไปล้ำเส้นคนของฉัน!”
…………………………………………..