เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 173 ฉันมาไม่ถูกจังหวะ
ตอนที่ 173 ฉันมาไม่ถูกจังหวะ
สมาคมอาหารเมืองตู้เหมิน
สถานที่ทำงานของสมาคมเมื่อเทียบกับหน่วยงานควบคุมตลาดแล้ว ไม่ได้ดูน่าเกรงขามขนาดนั้น
กำแพงสำนักงานค่อนข้างเก่า ตึกขนาดเล็กสองชั้นด้านใน ถึงแม้ทำเลดี อยู่ใจกลางเมือง แต่สภาพการตกแต่งกลับแย่มาก
เมื่อเทียบกับหน่วยงานควบคุมตลาด สมาคมเป็นเพียงหน่วยงานขนาดเล็ก ถึงแม้จะมีจำนวนพนักงานนับพันคน แต่พนักงานในสำนักงานมีเพียงสิบกว่าคนเท่านั้น
เวลานี้ถึงแม้จะเป็นเวลาสองทุ่มกว่าแล้ว ไฟในสำนักงานส่วนใหญ่ปิดหมดแล้ว แต่ยังมีอยู่สองสามห้องที่เปิดไฟสว่างอยู่
ภายในห้องทำงาน เฉิงเทียนเย่าถือหยกเหอเถียนอันหนึ่งอยู่ในมือ พลางก้มหน้ามองไม่หยุด
“อืม ไม่เลว มีความวาวมากจริงๆ หยกเหอเถียนที่มีระดับความขาวขนาดนี้น่าจะมีราคาหลักหมื่นหยวนใช่ไหม” เฉิงเทียนเย่าถาม
เฝิงต๋าที่นั่งอยู่บนโซฟาข้างๆ หัวเราะ “ท่านรองประธาน คุณยังไม่ค่อยเข้าใจเท่าไร วัสดุแบบนี้เกรงว่าต้องมีหกหลักครับ”
ได้ยินดังนั้น เฉิงเทียนเย่าก็เงยหน้ามองเฝิงต๋า “แพงขนาดนี้เชียว เป็นของดีจริงๆ”
“เหอะๆ เจียหาวแสดงความตัญญูต่อคุณงั้นเหรอครับ” เฝิงต๋าถาม
เฉิงเทียนเย่าได้ยินแล้วก็อึ้งไป แต่ไม่ช้าก็หัวเราะออกมา “เพื่อนเก่าสมัยเรียนคนหนึ่งเอามาให้ อ้อใช่เฝิงต๋า วันนี้พวกนายไปตรวจสอบร้านนั้นเป็นยังไงบ้าง”
“คุณวางใจได้ครับ อยากทำให้เขามีปัญหาก็ง่ายๆ ไม่ใช่เหรอ ผมจัดการเรียบร้อยแล้วครับ”
เฉิงเทียนเย่าพยักหน้า มองหยกเหอเถียนไปพลางพูดไปพลางว่า “ฝ่ายทีมตรวจสอบส่งใครไป”
“หลิ่วต้าไห่ครับ คนหัวรั้นคนหนึ่ง ผมแทบจะบอกไปหมดเปลือกแล้ว เขายังพูดว่าต้องทำตามขั้นตอน จนผมเกือบจะพูดไปแล้วว่าคุณเป็นคนสั่ง”
เฉิงเทียนเย่าหัวเราะหนึ่งที “คนบางคนก็เป็นแบบนี้ หัวรั้น ดูเหมือนจะขยันทำงานมาก แต่ทั้งชีวิตก็ไม่เคยได้เลื่อนขั้น”
“ใช่แล้วครับ ผมโมโหแทบตาย จริงสิท่านรองประธาน วันพรุ่งนี้ผมจะออกเอกสารให้พวกเขา คุณคิดว่าจะปรับเงินหรือว่าปิดกิจการชั่วคราวดีครับ”
“เหอะๆ เฝิงต๋า นายดูหยกอันนี้สิ…จำนวนหกหลัก พวกเราน่าจะสั่งให้พวกเขาหยุดกิจการหรือปรับเงินล่ะ”
“เอ่อ…” เฝิงต๋าเข้าใจทันที คนที่มอบหยกอันนี้ให้ก็คือคนที่อยากจัดการร้านอาหารร่ำรวย
แต่แน่นอนว่าเขาไม่สามารถพูดได้ ต้องรอหัวหน้าตัดสินใจถึงจะถูกต้อง
“ท่านรองประธาน อย่างนั้นก็แล้วแต่ความคิดของคุณครับ”
เฉิงเทียนเย่าพยักหน้าช้าๆ “ฉัน…เกรงว่าต้องขอเวลาคิดอีกหน่อย เอาอย่างนี้แล้วกัน ยังไม่ต้องรีบตัดสินใจ วันพรุ่งนี้ฉันจะบอกอีกที”
“ครับ รอฟังคำสั่งคุณครับ”
“เหอะๆ พวกเจียหาวเปิดห้องหนึ่งที่เย่หาวเหมินกำลังเล่นกันสนุกเชียว เฝิงต๋า นายก็ไปด้วยสิ” เฉิงเทียนเย่าพูด
เฝิงต๋าหัวเราะ “ไอ้เด็กคนนี้ว่างไม่ได้เลยจริงๆ แต่ผมอายุปูนนี้แล้ว…เข้าไปคงไม่เหมาะสมมั้งครับ”
ช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้ งานของสมาคมถือว่าน่าเบื่อ ไร้ชีวิตชีวา หลังจากที่หลี่เจียหาวเข้ามาในสมาคม ก็มักจะจัดกิจกรรมบ่อยๆ รวมไปถึงการเที่ยวผู้หญิง ถือว่าสร้างบรรยากาศคึกคักนอกเวลางาน
แน่นอนว่า ค่าใช้จ่ายเหล่านี้หลี่เจียหาวเป็นคนรับผิดชอบเอง
“ไม่มีอะไรไม่เหมาะสม ตอนนี้ไปก็มีแต่ผู้บริหารระดับกลางสองสามคนของสมาคมพวกเรา ดึกๆ หน่อยฉันค่อยเข้าไป” เฉิงเทียนเย่ากล่าว
“ได้ครับ ผมจะเข้าไปก่อน อีกสักพักหากคุณต้องการผมจะมารับคุณครับ”
เฉิงเทียนเย่าไม่สนใจ มองหยกชิ้นนั้นที่อยู่ในมือต่อไป เห็นได้ชัดว่ากำลังไล่แขก เฝิงต๋าก็เข้าใจความหมายจึงหมุนตัวเดินออกไปทันที
เมื่อเห็นเฝิงต๋าออกไปแล้ว เฉิงเทียนเย่าจึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วกดเบอร์โทรออก
“รองประธานเฉิง ได้ข่าวแล้วใช่ไหม”
เฉิงเทียนเย่าหัวเราะ “เหวินคุ่ย จมูกนายนี่ไวจริงๆ วันนี้พวกเขาส่งคนไปตรวจสอบร้านอาหารร่ำรวยแล้ว ดูเหมือนจะมีความคืบหน้าจริงๆ”
“เหอะๆ หลักๆ แล้วเป็นเพราะทางพี่ใหญ่ทำงานน่าเชื่อถือ ตอนนี้มีความคืบหน้าเป็นยังไงบ้างครับ” เถียนเหวินคุ่ยเอ่ยถาม
“ความคืบหน้า…” เฉิงเทียนเย่าหยุดไปครู่หนึ่ง ลูบหยกเหอเถียนในมือ “พวกเราจะทำการตรวจสอบ หารือในขั้นต่อไป ยังไงทำธุรกิจไม่ใช่เรื่องง่าย พวกเราก็ต้องรับผิดชอบ”
เฉิงเทียนเย่าพูดแบบนี้ เถียนเหวินคุ่ยจะไม่เข้าใจได้อย่างไร นี่คือเริ่มขอเงินอย่างเห็นได้ชัด
แต่แบบนี้ไม่ถือว่าทำเกินไป หากเป็นคนทั่วไปก็คงปล่อย แต่ด้วยความสามารถเสี่ยหวงของนายแล้ว แค่ให้หยกเหอเถียนอย่างเดียว…ดูจะอัตคัดไปหน่อย
“ครับๆๆ พี่พูดถูก แต่ผมต้องขอบคุณมากๆ เสี่ยหวงบอกแล้วว่า การขอบคุณจะพูดแค่ปากไม่ได้ พี่ใหญ่ ยังใช้บัญชีนั้นอยู่ใช่ไหมครับ”
“เหอะๆ เสี่ยหวงทำงานยังขี้เกรงใจเหมือนเดิม ถ้างั้น…เหวินคุ่ย ก็แล้วแต่นายก็แล้วกัน”
“ครับ ได้ครับพี่ใหญ่ไม่ต้องกังวลเรื่องนี้เลย”
พอวางสาย เฉิงเทียนเย่าก็ไม่รีบร้อน ยังคงดูหยกเหอเถียนชิ้นนั้นเหมือนเดิม ในไม่ช้า เสียงเตือนข้อความก็ดังมาจากในลิ้นชักของเขา
เขาเปิดลิ้นชักดูข้อความ แล้วจึงหัวเราะขึ้นมา
โทรศัพท์เครื่องนี้เป็นโทรศัพท์สำรองของเขา แต่ซิมการ์ดกลับไม่ใช่ชื่อของเขา
บัญชีที่ผูกกับซิมการ์ดปกติเป็นบัญชีที่เขารับเงินติดสินบนพวกนี้ เมื่อเห็นเงินสามแสนหยวนเข้าบัญชีแล้ว เขาจึงพึงพอใจเป็นอย่างมาก
วันถัดมา ร้านอาหารร่ำรวยไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ
เดิมทีทุกคนคิดว่าคนของทีมตรวจสอบจะมาอีก แต่กลับไม่เห็นมีใครมา
ตอนเช้าตรู่ ทุกคนทำงานตามปกติ เก็บกวาด เตรียมของ นำของเข้าร้าน
แน่นอนว่า ซางเทียนซั่วยังคงทำหน้าที่ตามกิจวัตรประจำวัน ยืนข้างเคาน์เตอร์คุยเล่นเป็นเพื่อนกับหลัวลี่ลี่ ถึงแม้เธอจะไม่สนใจเขาก็ตาม
“ลี่ลี่ ทำไมเธอถึงหน้าตาดีขนาดนี้ ฮิๆ ไม่มีไฝบนหน้าเลยสักนิด ดีจริงๆ…”
เมื่อเห็นท่าทางเจ้าชู้ของซางเทียนซั่ว หลัวลี่ลี่จึงกลอกตาใส่เขาหนึ่งที “ถ้านายพูดจาน่าเกลียดอีก ฉันจะถีบนายออกไปซะ!”
“น่าเกลียดงั้นเหรอ จะเป็นไปได้ยังไง ฉันพูดความจริงทั้งนั้น”
“หลบไป ฉันจะไปนับจำนวนเครื่องดื่ม” ขณะพูด หลัวลี่ลี่ก็ผลักซางเทียนซั่วออก เดินไปตรงหน้าตู้เครื่องดื่ม
เมื่อเห็นซางเทียนซั่วไม่เป็นที่ชื่นชอบ ซ่งจื่อเซวียนกับฟางรุ่ยก็หัวเราะออกมาไม่หยุด
“เทียนซั่ว นายก็เห็นว่าลี่ลี่ไม่สนใจนาย นายยังจะเข้าไปคุยกับเธอทุกวันทำไม” ซ่งจื่อเซวียนเอ่ยยิ้มๆ
ซางเทียนซั่วได้ยินจึงเดินมานั่งลงหน้าโต๊ะ “อาจารย์ไม่เข้าใจ ผมชอบโดนเธอปฏิเสธ น่าตื่นเต้น มันน่าตื่นเต้นมาก!”
“โอ๊ยอาจารย์ อย่าพูดถึงเธอเลย ผู้หญิงที่ไม่เป็นกุลสตรีขนาดนั้น ตามจีบผู้ชายน่ะไม่ดี ผมชอบตามจีบเองมากกว่า!” ซางเทียนซั่วเบ้ปากพูด
ซ่งจื่อเซวียนส่ายหน้า อันที่จริงเรื่องที่ร้านอาหารตะวันตกครั้งที่แล้ว เขาประทับใจโต้วซานซานอยู่ไม่น้อย
ไม่ใช่เพราะไม่ชอบหลัวลี่ลี่ แต่หลัวลี่ลี่ดูเหมือนไม่ชอบซางเทียนซั่วเลยสักนิด ซางเทียนซั่วเหมือนรักเขาข้างเดียวมากกว่า
ขณะที่พูดอยู่ ก็เห็นร่างเงาที่สวยงามร่างหนึ่งเดินเข้ามาในร้าน หยางกังที่กำลังจัดโต๊ะอยู่เอ่ยว่า “คนสวย พวกเรายังไม่เปิดร้านครับ!”
“เหอะๆ ฉันไม่ได้มากินข้าว ฉันมาหาคน!”
วินาทีที่เสียงนั้นดังเข้ามา ซางเทียนซั่วเหมือนโดนไฟฟ้าช็อต สั่นไปทั้งตัว จนเกือบเด้งขึ้นมาจากเก้าอี้
ซ่งจื่อเซวียนมองไปที่หน้าประตู เห็นโต้วซานซานใส่ชุดแจ็คเก็ตหนังดำมันวาวขนาดยาวพอดีตัว ด้านล่างเป็นรองเท้าบูทยาวสีดำมันวาว เผยให้เห็นถุงน่องสีเนื้อตรงกลาง ความเซ็กซี่และแฟชั่นผสมผสานกันอย่างลงตัว
“เทียนซั่ว!”
ขณะพูด โต้วซานซานก็เดินพุ่งเข้าไป กอดคอซางเทียนซั่วจากด้านหลัง
“เอ่อ…มาแล้วเหรอ…” ซางเทียนซั่วไม่รู้เป็นอะไร พูดได้แค่ประโยคนี้
โต้วซานซานจุ๊บที่ใบหน้าของเขาหนึ่งที “ฮิๆๆ คนบ้า ช่วงนี้ฉันยุ่งมาก ไม่ได้มาอยู่เป็นเพื่อนนาย นายไม่โกรธใช่ไหม!”
“ไม่ ไม่หรอก จะโกรธได้ยังไง เธอยุ่งงานของเธออยู่ จริงๆ ไม่ต้องสนใจฉันเลยก็ได้” ซางเทียนซั่วเอ่ยอย่างกระอักกระอ่วน
“เหอะๆ ซานซานมาแล้วเหรอ…” ซ่งจื่อเซวียนก็สัมผัสได้ถึงความกระอักกระอ่วน รีบรับคำต่อ ทักทายโต้วซานซาน
“ฮิๆๆ อาจารย์ ฉันมาเยี่ยมเทียนซั่วค่ะ!” โต้วซานซานพูดพลางหยิกใบหน้าของซางเทียนซั่วไปด้วย
ในสายตาของโต้วซานซาน ซางเทียนซั่วเหมือนเด็กผู้ชายคนหนึ่ง ทำให้เธอหลงใหล แทบอยากจะฝังร่างเติบโตอยู่บนตัวของซางเทียนซั่ว
ซางเทียนซั่วหัวเราะอย่างเก้อเขิน พลางมองหลัวลี่ลี่ที่อยู่หน้าตู้เครื่องดื่มเป็นระยะ
หลัวลี่ลี่ไม่มีการตอบสนองใดๆ นับจำนวนเครื่องดื่มไปพลาง จดบันทึกไปพลาง
ทว่าโต้วซานซานกลับสังเกตเห็นหลัวลี่ลี่ สีหน้าจึงเปลี่ยนทันที เธอชี้ไปที่หลัวลี่ลี่แล้วพูดว่า “ดีเหลือเกินซางเทียนซั่ว นายมาทำงานที่นี่แล้ว ยังจะพาผู้หญิงแรดคนนี้มาด้วยอีกเหรอ”
พอได้ยินเช่นนี้ หลัวลี่ลี่ก็โมโหทันที หันกลับไปพูดว่า “เธอว่าใครน่ะ แต่งตัวเหมือนสาวบริการแท้ๆ เธอนั่นแหละแรด!”
โต้วซานซานโกรธจนปลดกระดุมคอเสื้อออก ตะโกนแล้วชี้หน้าหลัวลี่ลี่
สำหรับบรรยากาศเช่นนี้ พวกหยางกังเพิ่งเจอเป็นครั้งแรก ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นไปชั่วขณะหนึ่ง ยืนตกตะลึงอยู่ตรงนั้น
แต่ซ่งจื่อเซวียนไม่ได้เจอเป็นครั้งแรก ครั้งที่แล้วเขากับซางเทียนซั่ววิ่งหนีออกมา แต่ครั้งนี้ทำไม่ได้ เพราะครั้งนี้อยู่ในร้านของตัวเอง
เพื่อไม่ให้ผู้หญิงสองคนทะเลาะกัน เขารีบพูดว่า “พอแล้วๆ รีบหยุดเถอะแม่ทูนหัวทั้งสองคน ฉันยอมแล้ว พวกเธอทำไมเจอหน้ากันต้องกัดกันด้วยล่ะ!”
“ใครสั่งให้เธอแย่งผู้ชายของฉันล่ะ หน้าด้าน นางจิ้งจอก!”
“เธอน่าเกลียดไปไหม ผู้ชายแบบนี้ไม่ได้หายากเลย!”
หลัวลีลี่พูดพลางเดินไปหาซ่งจื่อเซวียน แล้วจุ๊บแก้มของซ่งจื่อเซวียนทันที “เห็นหรือยัง ฉันชอบนายท่านรองของฉัน คนแย่ๆ ในบ้านเธอ รีบเก็บกลับไปเลย!”
ทันใดนั้น บรรยากาศกลับเงียบกริบ
ทุกคนมองซ่งจื่อเซวียนด้วยความตกตะลึง ซ่งจื่อเซวียนก็เช่นกัน นี่มันเกิดอะไรขึ้น ทำไมถึงมาลงมือกับเขาล่ะ
และตอนนี้ ก็มีร่างเงาผู้หญิงสวยคนหนึ่งเดินเข้ามาในร้านอาหารร่ำรวย
ผู้หญิงที่ไม่ได้แต่งตัวโอเวอร์เหมือนโต้วซานซาน แต่กลับทำให้คนมองแล้วสบายตายิ่งกว่า
เธอใส่เสื้อกันหนาวขนสัตว์คลุมทั้งตัว เผยให้เห็นเรือนร่างอรชรอย่างชัดเจน ปล่อยผมยาวไปด้านหลัง ผมยาวสลวยดุจแพรไหม
ใบหน้าเรียวเล็กอันงดงามไร้ที่ติเต็มไปด้วยความตกใจ ดวงตาคู่นั้นมองไปที่ซ่งจื่อเซวียน
ถังหย่าฉีนั่นเอง…
ซ่งจื่อเซวียนงงสุดๆ แล้ว เขาไม่เข้าใจ เหตุการณ์เหล่านี้มาอยู่รวมกันได้อย่างไร
มีคำกล่าวว่าผู้หญิงสามคนก็พอสำหรับละครหนึ่งเรื่อง[1] และตอนนี้ ซ่งจื่อเซวียนเข้าใจจุดนี้อย่างลึกซึ้งแล้ว ทว่าละครบทนี้…ไม่ควรจะเล่นต่อนะ
แต่ไม่รอให้ทุกคนพูดอะไร ถังหย่าฉีกลับเอ่ยก่อนอย่างเคอะเขิน “ขอโทษที ฉันมาไม่ถูกจังหวะ”
พูดจบ เธอจึงหมุนตัวแล้ววิ่งออกไป
…………………………………………..
[1] ผู้หญิงสามคนก็พอสำหรับละครหนึ่งเรื่อง 三个女人一台戏 หมายถึง ผู้หญิงสามคนมาอยู่ด้วยกันแล้ววุ่นวายแต่จริงๆ แล้วไม่ได้หมายถึงผู้หญิงสามคนเท่านั้น อาจจะเป็นผู้หญิงที่มากกว่านั้นมาอยู่รวมกันแล้ววุ่นวาย ดราม่าเยอะ