เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 171 ทีมตรวจสอบอาหาร
ตอนที่ 171 ทีมตรวจสอบอาหาร
คำพูดของซ่งอวิ๋นฮั่นทำให้ซ่งจื่อเซวียนอดอึ้งไปไม่ได้ เพราะเขาคิดไม่ถึงว่าซ่งอวิ๋นฮั่นต้องการความช่วยเหลืออะไรจากเขา
“ใช่ ฉันออกจากบริษัทมาพักหนึ่งแล้ว ถึงแม้ตัวจะไม่อยู่ แต่เจิ้งอวี่ก็จะเล่าเรื่องที่บริษัทให้ฉันฟัง”
“ครับ…เกิดปัญหาอะไรที่บริษัทงั้นเหรอ”
ซ่งอวิ๋นฮั่นพยักหน้า “ใช่ ถึงอาการป่วยของฉันจะไม่เคยเปิดเผยมาตลอด แต่ไม่อยู่นานๆ แบบนี้ ไม่ได้ร่วมประชุมวาระอะไรเลย คาดว่าคนพวกนั้นคงเกิดความคิดต่างๆ นานาแล้ว
โครงการใหญ่ที่สุดของบริษัทคือโรงแรม อุตสาหกรรมภาพยนตร์และการลงทุนในตลาด แต่นอกจากโรงแรมข่ายอ้อที่ฉันร่วมทุนแล้ว อย่างอื่นแค่เป็นผู้ถือหุ้นในบริษัทน่ะ”
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้าช้าๆ “ผมเข้าใจแล้ว ก็คือโรงแรมข่ายอ้อเป็นของคุณเอง กิจการอย่างอื่นเป็นแค่ผู้ถือหุ้น”
“ถูกแล้ว ถึงโครงการที่ลงทุนทั้งหมดฉันจะมีสิทธิ์ออกเสียงอย่างเด็ดขาดก็จริง แต่ผู้ถือหุ้นทั้งหมดก็มีส่วนที่ตัวเองถือครองอยู่ ถ้าไม่มีฉันควบควบคุมสถานการณ์…”
“คุณกลัวพวกเขาจะถือโอกาสเข้ายึดครองบริษัทตอนที่คุณไม่อยู่งั้นเหรอ” ซ่งจื่อเซวียนถาม
ซ่งอวิ๋นฮั่นยิ้มเล็กน้อย “แกใช้คำได้ถูกต้องมาก ใช่แล้ว ผลประโยชน์ของบริษัทดูเหมือนจะเป็นหนึ่งเดียวกัน แต่หากไม่มีคนควบคุม ก็จะถูกแบ่งเป็นหลายส่วน ตอนนี้…ก็คือช่วงเวลาที่เสียผลประโยชน์ไป”
ซ่งจื่อเซวียนครุ่นคิด พยักหน้าพูดว่า “เข้าใจแล้ว ถ้าอย่างนั้นคุณต้องการให้ผมทำอะไรครับ”
“ช่วยฉันดูสถานการณ์ปัจจุบันในบริษัท ถึงเจิ้งอวี่จะทำงานกับฉันมาหลายปี เรื่องความซื่อสัตย์หรือความสามารถในการทำงานเขาก็ดีหมด แต่พูดถึงการวิเคราะห์สถานการณ์…ความสามารถของเขายังไม่พอ” ซ่งอวิ๋นฮั่นกล่าว
“ผมก็อาจจะไม่พอครับ คุณก็รู้ ผมแค่เปิดร้านอาหารเล็กๆ เท่านั้น บริษัทของคุณใหญ่ขนาดนี้…”
“แกไม่มีปัญหาหรอก เพราะแกเป็นลูกชายของฉันซ่งอวิ๋นฮั่น” ซ่งอวิ๋นฮันเบิกตาโตทั้งสองข้าง พูดอย่างจริงจัง
ได้ยินดังนั้น ซ่งจื่อเซวียนก็อึ้งไปสองสามวินาทีกว่าจะได้สติกลับมา เขาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ “ผมก็แค่ลองพูดดูครับ ยังไงผมก็ไม่เข้าใจบริษัทมากเท่าไร และก็…ตอนนี้ผมมีเรื่องอื่นที่ต้องทำ”
ซ่งอวิ๋นฮั่นพยักหน้า “ฉันเข้าใจ ฉันจะไม่บังคับแก อ้อใช่ เรื่องนั้นของแกเป็นยังไงบ้าง หวงฟามาหาเรื่องแกอีกไหม”
ซ่งจื่อเซวียนจึงเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นสองสามวันที่ผ่านมาให้ซ่งอวิ๋นฮั่นฟังอีกหนึ่งรอบ โดยเฉพาะตอนที่เจอกับหวงฟาสองต่อสอง ซ่งอวิ๋นฮั่นเผยสีหน้าตื่นเต้นอย่างชัดเจน
อย่างไรก็เป็นลูกชายแท้ๆ เขาไม่อยากให้ซ่งจื่อเซวียนต้องเจอเรื่องอันตรายใดๆ
แต่เมื่อได้ยินว่าซ่งจื่อเซวียนกับลู่ลี่จวินสร้างสัมพันธมิตรกัน ซ่งอวิ๋นฮั่นกลับมีแต่ความชื่นชมเต็มใบหน้า พยักหน้าช้าๆ
“ลู่ลี่จวินคนนี้..ฉันไม่เคยคุยกับเขามาก่อน แต่ได้ยินว่า เขาเป็นคนชื่อตรงและแข็งแกร่ง ทำงานอย่างมีหลักการ จื่อเซวียน แกต้องจัดการความสัมพันธ์กับเขาให้ดีๆ นะ”
“ผมเข้าใจ จริงๆ ที่ผมมาครั้งนี้ ผมก็อยากจะถามคุณเรื่องนี้พอดี คุณคิดว่าลู่ลี่จวินช่วยผมให้ผ่านสถานการณ์ยุ่งยากครั้งนี้ได้ไหมครับ” ซ่งจื่อเซวียนเอ่ยถาม
ซ่งอวิ๋นฮั่นครุ่นคิด “ถ้าเขาทำไม่ได้ ในเมืองตู้เหมินนี้คงไม่มีใครทำได้แล้ว แต่แกต้องจับวิธีการให้ดี แล้วก็เรื่องแบบนี้ต้องทำครั้งเดียวจบ เพื่อไม่ให้หวงฟากล้ามาหาเรื่องแกอีก”
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้า “ผมก็คิดแบบนี้ครับ ถึงได้ติดต่อหลินเทียนหนานไป ผมเข้าใจถึงความรุนแรงของเรื่องนี้ดี”
“ทิศทางการวิเคราะห์ของพวกแกถูกต้องแล้ว หวงฟาอยากจัดการร้านของนาย จะไม่ใช้วิธีการของพวกนักเลงแน่นอน จะต้องใช้วิธีของภาครัฐ จื่อเซวียน แกโตแล้วจริงๆ แกทำให้ฉันรู้สึกภูมิใจมาก”
ระหว่างที่ซ่งอวิ๋นฮั่นพูด แววตาที่มองซ่งจื่อเซวียนนั้นเต็มไปด้วยความชื่นชม ไม่ใช่แค่การชื่นชมของพ่อลูก แต่เป็นการชื่นชมแบบผู้อาวุโสมองเด็กรุ่นหลังด้วย
“ผมไม่อยากพูดคำว่าต้องขอบคุณคุณหรือเป็นเพราะคุณอะไรแบบนี้ ที่ผมมาเพราะยังมีอีกเรื่องหนึ่งคือจะมาดูอาการป่วยของคุณ คุณพักผ่อนเยอะๆ ควรต้องใช้หน้ากากออกซิเจนก็ใช้เถอะ ระวังจะหายใจไม่สะดวก”
ซ่งอวิ๋นฮั่นหัวเราะพลางพยักหน้า ถึงแม้ปากจะไม่พูดอะไร แต่ในใจกลับเปี่ยมล้นไปด้วยความสุข ลูกชายของตนกำลังเป็นห่วงตัวเองอยู่ ความสุขแบบนี้เมื่อก่อนเขาไม่กล้าแม้แต่จะคิด
จากนั้น ซ่งจื่อเซวียนจึงเดินออกจากห้อง มองหานหรงที่หน้าตาเศร้าหมอง ก็รู้สึกไม่สบายใจไปด้วย
“แม่ อาการของเขาเหมือนจะแย่อีกแล้ว” ซ่งจื่อเซวียนกล่าว
หานหรงได้ยินแล้วจึงเอามือป้องปากน้ำตาไหลลงมา
ถึงแม้จะอายุใกล้ห้าสิบปี แต่อย่างไรก็คือผู้หญิง จึงมีด้านที่จิตใจอ่อนแอเช่นกัน
ซ่งจื่อเซวียนมองแม่ร้องไห้ เขาน้ำตาซึมทั้งสองข้าง แต่กลับช่วยอะไรไม่ได้ บางทีอาจจะเป็นเรื่องเดียวที่เขาช่วยอะไรแม่ไม่ได้
“ไม่เจอกันนับสิบปี พอเจอกันแล้ว…กลับเจอหน้ากันเป็นครั้งสุดท้าย เจ้ารอง นี่แหละคือชีวิต” หานหรงพูดพลางร้องไห้
ซ่งจื่อเซวียนนั่งลงยองๆ ตรงหน้าหานหรง เอ่ยว่า “แม่ อย่าร้องไห้เลย ตอนนี้เขาต้องการพักผ่อน ถ้าแม่อยากจะอยู่เป็นเพื่อนเขา จะพักอยู่ที่นี่ระยะหนึ่งก็ได้ครับ”
หานหรงพยักหน้า “เจ้ารอง ลูกเป็นผู้ใหญ่แล้ว ลูกไม่ต้องสนใจแม่หรอก ช่วงนี้เจิ้งอวี่มารับแม่ทุกวัน”
“แม่ครับ แม่ก็รักษาสุขภาพด้วยนะครับ…”
ขณะที่พูดอยู่นั้น โทรศัพท์ของซ่งจื่อเซวียนก็ดังขึ้นมา
“นายท่านรอง คุณรีบกลับมาหน่อยค่ะ เกิดเรื่องที่ร้านแล้ว”
เมื่อได้ยินเสียงของหลัวลี่ลี่ ปฏิกิริยาแรกของซ่งจื่อเซวียนคือหวงฟาเริ่มลงมือแล้ว แต่การกระทำเช่นนี้…อาจจะไม่ใช่ตัวหวงฟาลงมือ
“เกิดอะไรขึ้น” ซ่งจื่อเซวียนเอ่ยถาม
“มีคนใส่ชุดเจ้าหน้าที่สามสี่คน บอกว่าเป็นทีมตรวจสอบอาหาร ตอนนี้จะเข้ามาตรวจในร้านค่ะ ฟางรุ่ยกับหยางกังขวางพวกเขาไม่ให้พวกเขาเข้าไปที่ครัวด้านหลัง ตอนนี้กำลังยืนประจันหน้ากันอยู่ค่ะ” หลัวลี่ลี่พูด
ซ่งจื่อเซวียนขมวดคิ้วเล็กน้อย “แย่แล้ว เธอบอกฟางรุ่ยให้ถอยไป พวกเขาอยากจะตรวจอะไรก็ตรวจไปเลย ฉันจะกลับไปเดี๋ยวนี้!”
“ค่ะ! อย่างนั้นคุณรีบมาหน่อยนะคะ”
“แล้วก็ ลี่ลี่ เธอคอยจับตาดูหยางกังกับรุ่ยจื่อด้วยนะ ไม่ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ก็อย่ามีเรื่องกับคนพวกนั้น เข้าใจไหม”
“เข้าใจค่ะนายท่านรอง!”
พอวางสาย ซ่งจื่อเซวียนจึงลาหานหรง แล้วออกจากโรงแรมไป
ตลอดทาง ซ่งจื่อเซวียนเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ซางเทียนซั่วฟัง ซางเทียนซั่วจึงพูดว่า “รุ่ยจื่อแม่งสุดยอดมาก ให้ตาย ต่อต้านทีมตรวจสอบอาหารไม่ยอมให้เข้าไป ฮ่าๆๆๆ เจ๋งมาก!”
“นายยังจะหัวเราะออกอีก ฉันบอกนายก่อนนะ อีกสักพักพอถึงแล้วไม่ว่ามีเรื่องอะไรให้อดทนไว้ พวกเราใช้วิธีอื่นแก้ปัญหาได้ อย่าใช้ไม้แข็ง!” ซ่งจื่อเซวียนกล่าว
ซ่งจื่อเซวียนกลอกตาใส่เขาหนึ่งที จริงๆ เมื่อเทียบกับฟางรุ่ยแล้ว ซางเทียนซั่วน่ากังวลยิ่งกว่า…
พอขับรถมาถึงร้านอาหารร่ำรวย ยังเหลือระยะทางอีกสิบกว่าเมตร ซ่งจื่อเซวียนกับซางเทียนซั่วก็มองเห็นรถทีมตรวจสอบอาหารสีขาวจอดอยู่หน้าประตูร้านแล้ว
“แม่ง อาจารย์ ครั้งนี้เล่นของจริงเลย…”
“ไร้สาระ ฉันลงรถก่อน นายค่อยๆ จอดรถไป”
พูดจบ ซ่งจื่อเซวียนก็ผลักประตูรถเดินลงมา แล้วเดินตรงเข้าไปในร้าน
เวลานี้ คนสองฝั่งยังคงยืนประจันหน้ากัน ฟางรุ่ยยืนหน้าเคาน์เตอร์ด้วยใบหน้าเย็นชา ส่วนทางเดินไปที่ครัวด้านหลัง หยางกังก็ลากเก้าอี้มานั่งตรงนั้นเลย
อีกด้านหนึ่ง ผู้ที่ใส่ชุดเจ้าหน้าที่พนักงานสี่คนนั่งอยู่หน้าโต๊ะอาหาร และมีผู้ชายใส่สูทสีดำคนหนึ่งอยู่ข้างๆ พวกเขา
ผู้ชายคนนั้นค่อนข้างอ้วนท้วม ใส่สูทตัวใหญ่และหลวมมากอย่างเห็นได้ชัด หวีผมเสยไปด้านหลัง ดูเหมือนจะเป็นหัวหน้าของคนพวกนี้
เมื่อเห็นซ่งจื่อเซวียนเดินเข้ามา หลัวลี่ลี่รีบเดินมารับทันที “นายท่านรอง ฉันพูดเกลี้ยกล่อมแล้ว แต่ฟางรุ่ยกับหยางกังไม่ฟัง”
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้า เดินไปข้างใน แล้วพูดกับเจ้าหน้าที่เหล่านั้น “ไม่ทราบว่านี่คือ…”
ผู้ชายในชุดยูนิฟอร์มหนึ่งคนในนั้นพูดขึ้นว่า “ผมชื่อหลิ่วต้าไห่มาจากทีมตรวจสอบอาหาร นี่คือบัตรพนักงานของผม คนพวกนี้เป็นเพื่อนร่วมงานของผมครับ”
ซ่งจื่อเซวียนรับบัตรพนักงานมาดู เอ่ยว่า “คุณอยากจะตรวจสอบร้านอาหารของพวกเราเหรอครับ”
“ใช่ครับ พวกเราได้รับแจ้งว่า ร้านอาหารของพวกคุณขายเมนูหลักเป็นข้าวผัดจักรพรรดิ พวกเราสงสัยว่ามีวัตถุดิบต้องห้ามอยู่ในอาหาร หวังว่าพวกคุณจะให้ความร่วมมือในการตรวจสอบ แต่ผมคิดว่า…พวกคุณดูไม่อยากให้ความร่วมมือเท่าไร”
ขณะพูด หลิ่วต้าไห่ก็มองไปที่ฟางรุ่ยกับหยางกัง
ซ่งจื่อเซวียนมองพวกเขาหนึ่งที “นั่นคือพนักงานของผม พวกเขาอาจจะไม่ค่อยเชื่อตำแหน่งของพวกคุณ ถึงไม่กล้าปล่อยให้เข้าไปตรวจสอบ คุณก็รู้ดีว่าครัวด้านหลังสำคัญมาก คนนอกห้ามเข้า”
พอได้ยินดังนี้ ผู้ชายที่ใส่ชุดสูทคนนั้นก็ไม่ทนอีก ลุกขึ้นเดินไปข้างหน้า “เหอะๆ ความหมายของคุณคือพวกเราเป็นคนนอกงั้นเหรอ”
ซ่งจื่อเซวียนฟังความหมายออก จึงมองไปที่ผู้ชายใส่ชุดสูทแล้วเอ่ยว่า “ขอโทษนะครับ ผมกำลังพูดกับสหายในทีมตรวจสอบอาหารอยู่ คุณไม่น่าจะใช่หรือเปล่าครับ”
ผู้ชายคนนั้นได้ยินแล้วจึงทำเสียงฮึดฮัดทันที จัดเนกไทให้เรียบร้อย เอ่ยว่า “ผมไม่ใช่ แต่ผมอยู่สมาคมอาหารของเมือง พวกเราสองหน่วยงานร่วมมือกันตรวจสอบครับ”
ขณะพูด ผู้ชายชุดสูทก็หยิบบัตรพนักงานออกมา บนนั้นเขียนว่าสมาคมอาหารของเมืองจริงๆ ชื่อว่าเฝิงต๋า
“อ้อ…อย่างนี้นี่เอง” ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้าช้าๆ “เหอะๆ ผมขอถามหน่อย หลังจากคุณรับเรื่องแล้ว ก็มาตรวจสอบที่ร้านอาหารทันที หรือว่าต้องยืนยันคำร้องเรียนก่อนครับ”
“แน่นอนว่าต้องตรวจสอบเลยสิครับ ความปลอดภัยของอาหารสำคัญมาก!” เฝิงต๋าขึงตามองขณะพูด
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้าพูดว่า “เข้าใจแล้วครับ เพราะงั้นถ้าตอนนี้ผมร้องเรียนไป พวกคุณก็จะรีบไปตรวจสอบทันที ความหมายคือแบบนี้ใช่ไหมครับ”
“คุณ…คุณอย่ามาแอบเปลี่ยนนิยาม ถ้าคุณมีเจตนาร้องเรียนที่ไม่ดี พวกเราก็ต้องไปตรวจสอบเหรอ แบบนั้นจะมีผลกระทบต่อการบริหารของเจ้าของร้าน รบกวนระบบของตลาด!” เฝิงต๋าพูด
ซ่งจื่อเซวียนได้ยินแล้วจึงหัวเราะ “อย่างนั้นพวกคุณไม่กลัวว่าคนที่ร้องเรียนพวกเราจะมีเจตนาร้ายบ้างเหรอครับ”
“เอ่อ…” เฝิงต๋าพูดไม่ออกทันที
เนื่องจากซ่งจื่อเซวียนพูดถูก พวกเขาควรยืนยันที่มาของการร้องเรียนก่อน
แต่เนื่องจากเฉิงเทียนเย่าเป็นคนสั่งการโดยตรง พวกเขาจึงไม่ได้ยืนยันความจริงอะไร
พูดง่ายๆ ก็คือใช้อำนาจกดขี่ข่มเหง
หลิ่วต้าไห่ที่อยู่ข้างๆ เอ่ยว่า “จริงๆ แล้วพวกเรามาครั้งนี้ก็เพื่อยืนยันสถานการณ์สักหน่อย ถ้าตรวจไม่พบตามที่อ้างมา พวกเราก็จะยกเลิกข้อร้องเรียนตามขั้นตอน ดังนั้นพวกคุณไม่ต้องเป็นห่วง แค่ให้ความร่วมมือก็พอครับ”
ตอนนี้เอง ซางเทียนซั่วก็เดินเข้ามาอย่างเฉิดฉาย “อย่างนั้นก็ตรวจสิ ของในครัวด้านหลังของพวกเราวางอยู่ตรงนั้นหมดแล้ว ถ้าตรวจเจอก็ลงโทษปรับ แต่…ถ้าตรวจไม่เจออะไรแล้วจะทำยังไงครับ”
หลิ่วต้าไห่มองซางเทียนซั่ว “คุณเป็นใครครับ”
“เหอะๆ ผมเป็นพนักงานคนหนึ่ง ทำไมครับ พูดแค่ประโยคเดียวก็ต้องบอกฐานะด้วยเหรอ” ซางเทียนซั่วกลอกตาใส่เขาหนึ่งที
ซ่งจื่อเซวียนส่ายหน้าเบาๆ เขารู้ว่าท่าทีของซางเทียนซั่วต้องแย่อยู่แล้ว…
หลิ่วต้าไห่หัวเราะ “ใครในพวกคุณเป็นคนดูแลก็มาคุยกับผมครับ มัวแต่แย่งกันพูดไม่รู้เรื่องแบบนี้ มันส่งผลกระทบกับงานของพวกเราครับ”
“ผมเป็นคนดูแลครับ แต่…หัวหน้าหลิ่ว ผมขอถามสักประโยคบ้าง ถ้าตรวจไม่เจออะไร พวกคุณจะต้องชดใช้อะไรด้วยหรือเปล่าครับ อย่างเช่นแจ้งประกาศ บอกว่าข้าวผัดจักรพรรดิของพวกเราสามารถรับประทานได้อย่างปลอดภัย”
เมื่อได้ยินดังนั้น เฝิงต๋าก็พูดว่า “แจ้งประกาศเหรอ เหอะๆ คุณคิดว่าคุณเป็นใคร หน่วยงานตรวจสอบอาหารของพวกเราถึงต้องแจ้งประกาศให้คุณโดยเฉพาะน่ะ”
……………………………………………