เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 170 ช่วยอะไรหน่อย
ตอนที่ 170 ช่วยอะไรหน่อย
ณ ร้านบะหมี่ไร้ชื่อเสียงริมถนนในเขตเฉิงซี
แม้ว่าเมืองตู้เหมินเป็นเมืองที่มีชื่อเสียงด้านอาหารเลิศรส แต่ร้านบะหมี่ริมถนนประเภทนี้เป็นร้านระดับต่ำสุดอย่างแน่นอน แต่เนื่องจากราคาถูกจึงมีลูกค้าแน่นร้านอยู่เสมอ
บะหมี่ร้อนสองชามมาเสิร์ฟ กลิ่นหอมอุ่นๆ ก็ฟุ้งกระจายไปทั่ว
มองดูชามบะหมี่ใส่เนื้อและไข่ตรงหน้า เจิ้งฮุยก็อดฝืนยิ้มไม่ได้
“แม่งซวยจริงๆ ที่เราตกอับจนเป็นแบบนี้”
“เหล่าเจิ้ง นายคิดแง่ลบเกินไป ต้าสือไต้ปิดแล้ว เราจะไม่มีวิธีรอดเลยเหรอ ถ้าให้ฉันพูดนะ นี่กลับเป็นโอกาสต่างหากล่ะ”
เมื่อโจวเผิงพูดจบด้วยรอยยิ้ม เขาก็คีบบะหมี่ขึ้นมาหนึ่งคำ
“โอกาสงั้นเหรอ ไม่เห็นเหรอว่าข้าตกอับจนกินบะหมี่เครื่องในสับแบบนี้แล้ว”
ทั้งสองคนที่เป็นหัวหน้าเชฟและผู้จัดการห้องโถงของต้าสือไต้กำลังนั่งอยู่ในร้านอาหารริมถนนแห่งนี้เพื่อทานบะหมี่เครื่องในสับ แต่ไม่ใช่เพราะไม่มีเงิน
อันที่จริงพวกเขาต่างก็มีเงินเดือนสูง เพียงแต่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อนี้ถ้าพวกเขาไปที่ร้านอาหารดีๆ ก็จะถูกคนรู้จักหัวเราะเยาะเอา
ในวงการอาหารเป็นอย่างนี้ ถ้าคุณทำได้ดีก็จะเจริญก้าวหน้า หากทำได้ไม่ดี คนในอาชีพเดียวกันก็จะเยาะเย้ยคุณ
“เหอะๆ เหล่าเจิ้ง นายวางแผนว่ายังไงต่อ” โจวเผิงกล่าว
เจิ้งฮุยปอกกระเทียมพลางเอ่ย “จะวางแผนอะไรได้อีก ครอบครัวอ้าปากรอข้าวกินอยู่นะ หางานทำเถอะ โอกาสแบบที่ต้าสือไต้ไม่ได้มีง่ายๆ หาร้านเล็กลงมาหน่อยแล้วกัน ไม่ว่ายังไงก็ต้องหาเงิน”
เมื่อโจวเผิงได้ยินก็ยิ้ม “นายไม่คิดว่านี่เป็นโอกาสอีกครั้งจริงๆ เหรอ ไม่คิดจะหางานอย่างอื่นเลยเหรอ”
“ไร้สาระ คุณคงจะหัวเดียวกระเทียมลีบแต่ผมต้องเลี้ยงดูครอบครัวนะ”
“เหอะๆ เหล่าเจิ้ง มาทำด้วยกันเถอะ ในครัวฉันเชื่อใจนายนะ” โจวเผิงกล่าว
เมื่อเจิ้งฮุยได้ยินก็ชะงัก “ทำ…อะไรนะ คุณวางแผนจะเปิดร้านอาหารของตัวเองเหรอ มันเสี่ยงนะ”
โจวเผิงคลี่ยิ้ม “นั่นไม่ใช่แนวโจวเผิงอย่างฉันเลย เอาอย่างนี้เหล่าเจิ้ง บอกฉันหน่อย ถ้ามีโอกาสทำให้นายมีเงินเดือนเท่ากับต้าสือไต้ นายจะทำไหม”
“ทำสิ ขอแค่คุณมีโอกาสให้ ผมก็ทำงานได้ทุกเมื่อ หลังจากนี้ผมจะฟังที่คุณต้องการ!”
อันที่จริงแล้วเจิ้งฮุยเป็นคนเรียบง่าย เขาใช้ชีวิตไปเรื่อยๆ เขาไม่มีความทะเยอทะยานสูงนักและไม่ได้เฉลียวฉลาดมากเท่าโจวเผิง
โจวเผิงพยักหน้าพลางยิ้ม “งั้นดีเลย แค่รอสายจากฉัน ช่วงนี้นายจะไปทำอะไรก็ได้ แต่จำไว้ว่าอย่าเซ็นสัญญาจ้างระยะยาวแล้วเตรียมตัวมาช่วยฉันทุกเมื่อนะ”
“โจวเผิง คุณพูดจริงเหรอ คุณมีเส้นสายเหรอ”
“เหอะๆ ไม่ปิดบังนายแล้วกัน รู้จักท่านชายเฮ่อในตลาดปลาไหม เขามาหาฉันแล้วพร้อมร่วมมือด้วย แต่ฉันยังไม่ตัดสินใจ ต้องคิดดูว่ามีโอกาสที่ดีกว่านี้หรือเปล่า”
เจิ้งฮุยขมวดคิ้วเล็กน้อย “เขา…ทำอาหารทะเลนะ จะเปิดร้านอาหารได้เหรอ”
“เพราะงั้นถึงมาหาฉันไง พี่ชายที่ซื่อบื้อของฉัน ความสามารถของเราตอนนี้คือบริหารจัดการร้านอาหารและห้องครัวได้ดี พวกคนที่รอลงทุนร้านอาหารก็ต้องมาหาคนแบบเรา”
เจิ้งฮุยพยักหน้าช้าๆ “อย่างนี้นี่เอง คุณมีหัวคิดแฮะ…”
ขณะที่ทั้งสองกำลังคุยกัน โจวเผิงก็เงยหน้ามองและเห็นชายคนหนึ่งเดินเข้ามาในร้านอาหาร
ชายคนนั้นสวมแจ็กเก็ตยีนส์และกางเกงยีนส์ รูปร่างแข็งแรง แต่ใบหน้าดูบาดเจ็บเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าเพิ่งถูกต่อยมาในช่วงสองวันนี้
ชายคนนั้นหาที่นั่งว่างแล้วนั่งลงก่อนเอ่ยว่า “เถ้าแก่ บะหมี่หนึ่งชาม ออเดิร์ฟเย็นหนึ่งที่ เอ้อร์กัวโถวสองร้อยครึ่งจินหนึ่งขวด”
เมื่อโจวเผิงเห็นก็ยิ้ม “เหล่าเจิ้ง ฉันขอตัวสักครู่ เจอเพื่อนน่ะ”
พูดจบเขาก็ลุกขึ้นเดินไปนั่งยังโต๊ะที่ชายคนนั้นนั่งอยู่
“ไม่เจอกันนานนะพี่เจี๋ย”
“โจวเผิงเหรอ เหอะๆ ยากนักที่นายจะมากินข้าวในที่แบบนี้” คนที่พูดคือลูกน้องของเสี่ยเคอซาน ‘ฉินซินเจี๋ย’
ฉินซินเจี๋ยเป็นลูกน้องของเสี่ยเคอซานก็จริง แต่กลับเป็นคนหนึ่งที่เสี่ยเคอซานไม่ชอบมากที่สุด
หมอนี่หุนหันพลันแล่น นอกจากกำปั้นก็แทบจะไม่ได้ใช้สมอง ช่วงนี้เขาจึงถูกเสี่ยเคอซานเขี่ยทิ้ง
สำหรับพวกนักเลงเหล่านี้ การถูกเขี่ยทิ้งเท่ากับไม่มีรายได้ เป็นธรรมดาที่จะใช้ชีวิตไปวันๆ
“เหอะๆ บางครั้งก็เปลี่ยนรสนิยมบ้าง พี่ล่ะ นี่ไม่ใช่ที่ที่พี่เจี๋ยควรจะมาเสียหน่อย ปกติพี่จะพาพวกน้องชายสองสามคนไปหาที่ดื่มกินกันไม่ใช่เหรอ” โจวเผิงเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม
เมื่อได้ยินฉินซินเจี๋ยก็ขมวดคิ้ว “ทำไมฉันรู้สึกเหมือนนายกำลังพูดเหน็บแนมอยู่”
“ฮ่าๆ ไม่กล้าหรอก ใครจะไม่รู้จักชื่อเสียงเรียงนามของพี่เจี๋ย ผมโจวเผิงไม่ได้กล้าขนาดนั้น แต่…พี่เจี๋ย ชีวิตช่วงนี้ไม่ค่อยดีเหรอ ทำไมถึงได้มาดื่มเหล้าดับทุกข์ที่นี่ล่ะ” โจวเผิงกล่าว
ขณะที่กำลังพูด เหล้าและกับแกล้มที่ฉินซินเจี๋ยสั่งก็มาเสิร์ฟ เขารินเหล้าหนึ่งแก้วแล้วเอ่ยถาม “นายจะดื่มไหม”
“เหอะๆ ไม่ดื่มครับ ผมไม่ดื่มตอนกลางวันอยู่แล้ว” โจวเผิงตอบ
ฉินซินเจี๋ยไม่ใส่ใจ เงยหน้าดื่มแล้วกล่าว “นายดูสิ ฉันมาดื่มที่นี่คนเดียว แล้วชีวิตจะเป็นยังไงได้ล่ะ”
“ไม่น่ามั้ง ผมได้ยินมาว่าพี่เจี๋ยเป็นคนของเสี่ยซานเชียวนะ”
ได้ยินเช่นนั้น ฉินซินเจี๋ยก็กลอกตามองโจวเผิง “อะไรที่ไม่ควรพูดก็อย่าพูด เสี่ยซานไม่ไยดีฉัน ฉันกับเสี่ยซานไม่ได้เจอกันมาครึ่งเดือนกว่าแล้ว”
เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านี้ โจวเผิงก็แอบหัวเราะอยู่ภายในใจ ‘ไม่ได้เจอกัน เสี่ยซานคงขี้เกียจจะเจอหน้านายน่ะสิถึงจะถูก’
แม้ว่าจะมองออกแต่โจวเผิงก็ไม่ได้อธิบายให้ชัดเจน เขายกยิ้ม “ดูเหมือนว่าช่วงนี้เราทุกคนจะไม่ค่อยราบรื่นกันหมด”
“หืม ไม่ราบรื่น เกิดอะไรขึ้นกับนาย ได้ยินว่านายไต่ขึ้นไปบนยอดสูงหาเงินได้เยอะแล้วนี่” ฉินซินเจี๋ยกล่าว
“เฮ้อ เหมือนกันหมด ร้านอาหารของผมปิดไปแล้ว ก็คือตกงานแล้ว”
“หา? งั้นก็บังเอิญแล้ว พวกเราต้องมาดื่มกันหน่อย ฉันคิดว่าพวกนายมีความรู้คงจะหาเงินได้เยอะแน่ ใครจะรู้ว่าจะเป็นเหมือนฉัน ฮ่าๆ”
เจอการเหน็บแนมเอาคืนของฉินซินเจี๋ย โจวเผิงก็ขี้เกียจจะโต้ตอบ “เหอะๆ พี่เจี๋ย ผมขอบอกตามตรงนะ ช่วงนี้ผมมองโปรเจกต์หนึ่งอยู่ ไม่กล้าพูดว่ามันจะทำเงินได้มากมาย แต่จะทำให้คุณมีรายได้ทุกเดือน สนใจไหม”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ฉินซินเจี๋ยก็เงยหน้าขึ้นมา “หืม นี่อยากจะแนะนำงานให้ฉันเหรอ บอกมาสิว่าต้องการให้ฉันทำอะไร แล้ว…ได้เงินเท่าไร”
โจวเผิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “เงินเดือนก้อนแรกที่ผมจะให้ น่าจะสองสามพันหยวน แล้วถ้าผมต้องการให้คุณทำเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ก็จะให้เงินเพิ่มอีก คุณคิดว่ายังไง”
ฉินซินเจี๋ยใคร่ครวญพักหนึ่งแล้วหยิบแก้วเหล้าขึ้นมาจิบ “ได้ ตกลงตามนี้ ยังไงซะฉันก็ไม่มีอะไรทำ”
“แต่เราตกลงกันแล้วนะ ขอเพียงแค่งานที่ผมพูดถึงเรียบร้อยดี หลังจากนี้คุณต้องเชื่อฟังผม” โจวเผิงยิ้มบางๆ
“ไม่มีปัญหา เส้นทางนี้มีกฎอยู่ คนที่ให้เงินคือนายท่าน ตราบใดที่คุณให้เงินผมได้ก็คือเถ้าแก่ของผม!”
ฉินซินเจี๋ยพูดด้วยความมึนงง
โจวเผิงคลี่ยิ้ม “พอแล้ว ค่อยๆ ดื่ม เดี๋ยวผมจะเช็กบิลโต๊ะนี้ให้คุณนะ”
“เฮ้อ ดูสิว่าน่าอับอายแค่ไหน…เหอะๆ พี่โจวใจกว้างนะเนี่ย” ฉินซินเจี๋ยยกยิ้ม แสดงความคิดเล็กๆ น้อยๆ ของคนระดับล่างออกมา
จากนั้นโจวเผิงก็เดินกลับไปที่ของเขา กินบะหมี่สองคำต่อก็ไม่อยากกินแล้ว เขามองเจิ้งฮุยที่อยู่ตรงหน้าแล้วมองพี่เจี๋ยที่อยู่อีกโต๊ะ ก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มอย่างมีเลศนัย
เรื่องเกี่ยวกับต้าสือไต้จบลงไปแล้ว ขั้นตอนต่อไป…ถึงเวลาที่โจวเผิงอย่างฉันจะนอนกลิ้งไปกลิ้งมาแล้ว!
…………………………….
ณ โรงแรมข่ายอ้อ อ่าวชิงหลง
ซางเทียนซั่วจอดรถเรียบร้อย ซ่งจื่อเซวียนก็ลงจากรถแล้วตรงเข้าไปในโรงแรม
ซางเทียนซั่วไม่ได้ตามไปด้วย เขารู้ว่าซ่งจื่อเซวียนจะไปพบพ่อ สถานการณ์เช่นนี้ไม่เหมาะสมที่จะตามไปด้วย เขาจึงเล่นเกมมือถือรอในรถ
เมื่อเดินไปถึงก็เคาะประตูเบาๆ ในไม่ช้าประตูก็เปิดออก แต่ซ่งจื่อเซวียนรู้สึกเกินคาดมากทีเดียว เมื่อเห็นว่าคนที่เปิดประตูคือหานหรง
“แม่?”
หานหรงวางนิ้วชี้ไว้ที่ปากของเธอ ทำท่าทางจุ๊ปากแล้วกระซิบเบาๆ “พ่อแกกำลังพักผ่อนอยู่ เข้ามาก่อน”
ซ่งจื่อเซวียนเดินเข้าไปในห้อง แต่ไม่เจอซ่งอีหนานจึงเอ่ยถามว่า “แม่ ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ล่ะ”
“เมื่อเช้าเจิ้งอวี่มาที่บ้าน บอกว่าอาการอวิ๋นฮั่นไม่ค่อยดี ฉันก็เลยมาดูน่ะ”
“เขาเป็นยังไงบ้างครับ”
ขณะที่ทั้งสองกำลังคุยกันอยู่นั้น ก็ได้ยินเสียงเปล่งออกมาจากข้างใน
“จื่อเซวียนเหรอ”
เมื่อทั้งสองได้ยินก็ชะงัก หานหรงมองซ่งจื่อเซวียนและส่งสัญญาณให้เขาขานตอบ ซ่งจื่อเซวียนจึงเอ่ย “อืม ใช่ ผมมาเยี่ยมคุณน่ะ”
“เข้ามาสิ”
ซ่งจื่อเซวียนจึงเดินเข้าไปในห้องซ่งอวิ๋นฮั่นทันที
เมื่อเข้าไปก็เห็นซ่งอวิ๋นฮั่นนอนเอนอยู่บนเตียง การจัดวางภายในห้องแตกต่างจากตอนที่พวกเขาเจอกันครั้งแรกมาก
มีเสาน้ำเกลืออยู่ข้างเตียงและยังมีเครื่องวัดอัตราการเต้นของหัวใจอยู่บนโต๊ะข้างเตียง อีกด้านหนึ่งเป็นถังออกซิเจน และซ่งอวิ๋นฮั่นก็ยังสวมหน้ากากออกซิเจนอยู่ด้วย
เห็นซ่งอวิ๋นฮั่นเป็นเช่นนี้ ในใจซ่งจื่อเซวียนก็รู้สึกขมขื่น
พูดตามหลักแล้วก่อนหน้าที่พวกเขาจะได้เจอกันก็ไม่เคยมีความรู้สึกต่อกันมาก่อน ไม่ต้องพูดถึงความเป็นพ่อลูกกัน แม้แต่นั่งพูดคุยกันก็ยังไม่เคยด้วยซ้ำ
แต่ในช่วงระยะเวลาสั้นๆ นี้ ดูเหมือนความสัมพันธ์ทางสายเลือด จะทำให้ความรู้สึกที่จู่ๆ ปรากฏขึ้นมาอบอุ่นขึ้นอย่างรวดเร็วในแบบที่อธิบายไม่ถูก
“คุณตื่นแล้วเหรอ” ซ่งจื่อเซวียนเอ่ยถาม
ซ่งอวิ๋นฮั่นพยักหน้าช้าๆ “หลับไม่สนิท มีเสียงนิดๆ หน่อยๆ ก็ตื่น”
“ผมส่งเสียงรบกวนคุณหรือเปล่า”
“ไม่ใช่ ดูเหมือนฉันจะรู้สึกได้ว่าแกมาแล้ว” ซ่งอวิ๋นฮั่นพูดพร้อมกับถอดหน้ากากออกซิเจนออก จะได้พูดดังขึ้นได้ “ช่วงนี้มีเรื่องอะไรหรือเปล่า ไม่เห็นมาที่นี่เลย”
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้าและเดินไปนั่งข้างเตียง “เป็นเรื่องเดิมนั่นแหละ”
“ขอโทษทีนะ อาการฉันตอนนี้…ช่วยแกไม่ได้…”
ก่อนที่ซ่งอวิ๋นฮั่นจะพูดจบ ซ่งจื่อเซวียนก็ส่ายหัว “ไม่หรอก ผมจัดการเองได้ คุณ…ทำไมไม่สวมหน้ากากออกซิเจนไว้ล่ะ แบบนี้จะหายใจไม่สะดวกหรือเปล่า
“ไม่หรอก เดี๋ยวเดียวคงไม่เป็นไร”
“งั้นก็ดีแล้ว ไม่ต้องกังวลเรื่องผมหรอก รักษาอาการป่วยให้ดีเถอะครับ”
ซ่งอวิ๋นฮั่นได้ยินก็ยิ้มอย่างขมขื่น “ฉันรักษาโรคนี้ให้หายไม่ได้ จื่อเซวียน ฉันรู้สึกว่าช่วงนี้อาการฉันแย่ลงเรื่อยๆ ฉันคิดว่า…”
“คุณยังจะพูดเรื่องนั้นอีกเหรอ”
ซ่งจื่อเซวียนเข้าใจความหมายของซ่งอวิ๋นฮั่น เขาหวังมาตลอดว่าซ่งจื่อเซวียนจะรับช่วงต่อธุรกิจของเขา
“เหอะๆ ฉันให้แกตัดสินใจแล้ว ฉันจะไม่บังคับ แต่ฉันอยากให้แกช่วยอะไรหน่อยได้ไหม”
“หืม ช่วยงั้นเหรอ”
……………………………………….