เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 168 ฉันเชื่อในตัวนาย
ตอนที่ 168 ฉันเชื่อในตัวนาย
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกะทันหันนี้เหนือความคาดหมายของหวังเฉียงและซ่งจื่อเซวียนอย่างเห็นได้ชัด จนกระทั่งไม่รู้ด้วยซ้ำว่าควรจะทำอย่างไรไปพักหนึ่ง
ทว่าหวังเฉียงยังมีประสบการณ์จากการทำงานในสำนักงานมาหลายปี พูดง่ายๆ คือแผนกนี้มีหน้าที่คอยรับใช้ผู้บริหาร เขารีบเดินเข้าไปวางของขวัญไว้บริเวณประตูแล้วเดินเข้าไปข้างใน
ขณะนี้ลู่ลี่จวินกำหน้าอกด้วยสีหน้าเจ็บปวด หวังเฉียงรีบเอ่ย “ท่านอธิบดีลู่ เป็นอะไรไปครับ”
“ไม่สบายตัวเลย แน่นหน้าอก รู้สึกหายใจไม่ออก…”
หวังเฉียงได้ยินดังนั้นจึงพูดว่า “ผมมาพอดี รถผมอยู่ชั้นล่าง ให้ผมพาคุณไปโรงพยาบาลนะครับ”
หวังเฉียงพูดพลางประคองลู่ลี่จวิน ซ่งจื่อเซวียนที่อยู่ข้างหลังก็พูดทันที “ผู้อำนวยการหวัง อย่าเพิ่งพาท่านอธิบดีไปโรงพยาบาลเลยครับ”
เมื่อหวังเฉียงได้ยินก็หันกลับมาจ้องซ่งจื่อเซวียน “ไม่ไปโรงพยาบาลได้ยังไง พูดเรื่องอะไรเนี่ย”
พูดจบ เขาก็กดเสียงลงอีกครั้ง “เรามาไม่ได้จังหวะ เรื่องของนายค่อยว่ากันทีหลังแล้วกัน”
ซ่งจื่อเซวียนเข้าใจทันทีว่าหวังเฉียงไม่อยากพลาดโอกาสนี้ที่จะออกตัวไปส่งอธิบดีที่โรงพยาบาลได้ทันเวลา อธิบดีจะจดจำความดีของเขาแน่นอน เทียบกับการใช้ซ่งจื่อเซวียนเพื่อเอาใจอธิบดี สิ่งนี้รวดเร็วกว่าอย่างเห็นได้ชัด
“ไม่ครับ ผู้อำนวยการหวัง คุณเข้าใจผิดแล้ว ผมจะบอกว่าอาการของท่านอธิบดีลู่ในตอนนี้ไม่ขยับตัวจะดีที่สุด ถ้าอาการหนักจริงๆ ทางที่ดีก็ควรโทรเรียกรถพยาบาลครับ” ซ่งจื่อเซวียนกล่าว
“หืม นายหมายความว่าไง” หวังเฉียงเอ่ยถาม
ในเวลานี้ลู่ลี่จวินและภรรยาไม่ได้พูดอะไร เพราะพวกเขาก็ไม่รู้ว่าหวังเฉียงพาใครมา
“ขอผมตรวจชีพจรให้ก่อนนะครับ”
ลู่ลี่จวินชะงัก “นายเป็นหมอเหรอ”
“ไม่ใช่ครับ แต่ผมรู้ด้านแพทย์แผนจีนมาบ้าง ผมคิดว่าอาการของคุณตอนนี้ทางที่ดีไม่ควรขยับตัวง่ายๆ และห้ามนอนราบ ถ้ามีปัญหาเกี่ยวกับหัวใจ การเคลื่อนไหวต่างๆ อาจจะเกิดอันตรายได้ครับ”
แม้ซ่งจื่อเซวียนจะบอกว่าไม่ใช่หมอ แต่สิ่งที่เขาพูดกลับเป็นมืออาชีพมาก บวกกับลู่ลี่จวินเคยเป็นอธิบดีสาธารณสุขมาก่อนจึงเข้าใจการแพทย์ทั่วไปอยู่บ้าง
เขาพยักหน้า “ได้ นายช่วยดูให้ฉันหน่อย”
ซ่งจื่อเซวียนก้าวไปแล้ววางสามนิ้วบนข้อมือลู่ลี่จวิน ไม่นานเขาก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย “ท่านอธิบดีลู่ครับ ร่างกายคุณอ่อนแอมาก คุณคงไม่ได้มีประวัติเป็นโรคหัวใจใช่ไหมครับ”
ลู่ลี่จวินส่ายหัว “เพราะงานยุ่งมากเกินไปน่ะ บางครั้งความดันเลือดจะสูง แต่ฉันกินยามานานก็นับว่าบรรเทาอาการได้บ้าง แต่ไม่เคยเป็นโรคหัวใจมาก่อนนะ”
“แต่ตอนนี้หัวใจคุณเต้นเร็วมาก หัวใจห้องบนเต้นเป็นระยะๆ ผมแนะนำให้คุณนั่งตรงนี้และอย่าขยับตัวเยอะ ถ้ามีอะไรร้ายแรงอีก ให้โทรเรียกหนึ่งสองศูนย์เลยนะครับ”
ลู่ลี่จวินได้ยินดังนั้นก็อดรู้สึกเกินคาดไม่ได้ ช่วงที่เขาเป็นอธิบดีสาธารณสุข เขาพอรู้เกี่ยวกับโรงพยาบาลแพทย์แผนจีนหลายแห่งในเมืองตู้เหมินอยู่บ้าง หมอเหล่านั้นอาจจะวินิจฉัยได้ละเอียดรวดเร็วขนาดนี้ไม่ได้ แน่นอนว่าสิ่งที่ซ่งจื่อเซวียนพูดนั้นถูกต้องทั้งหมด
“นายหมายถึง…ตอนนี้ท่านอธิบดีลู่ไม่ต้องไปโรงพยาบาลแล้วเหรอ”
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้า “ใช่ครับ โรคหัวใจจะวินิจฉัยยากที่สุด และต้องวินิจฉัยตอนอาการกำเริบเท่านั้น อาการของท่านอธิบดีลู่ไม่คงที่ บางทีไปถึงโรงพยาบาลก็อาจจะไม่มีอาการแล้ว ไปเสียเที่ยวเปล่าๆ”
“งั้นตอนนี้…นายคิดว่าควรทำยังไง” ลู่ลี่จวินเอ่ยถาม
“พักผ่อนนิดหน่อยไม่กี่นาทีแล้วผมจะนวดง่ายๆ ให้ครับ ถ้ารู้สึกดีขึ้นก็รักษาตัวที่บ้านต่อไปได้ครับ”
“ได้”
อย่างไรก็ไม่มีหมออยู่แถวนี้ ซ่งจื่อเซวียนอาจจะเป็นคนเดียวที่สามารถแก้ไขปัญหาในตอนนี้ได้ ลู่ลี่จวินไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเห็นด้วย
จากนั้นซ่งจื่อเซวียนจึงกดจุดเน่ยกวนตรงข้อมือด้านใน จุดจื้อหยางตรงกึ่งกลางสันหลังและจุดจิวเหว่ยตรงลิ้นปี่ของลู่ลี่จวินตามลำดับ เริ่มแรกเขาเบามือมาก เมื่อกดต่อไปแรงจึงเพิ่มขึ้น แต่ละจุดกดสิบกว่าครั้ง จากนั้นก็เปลี่ยนไปกดจุดอื่นต่อ
หวังเฉียงและภรรยาของลู่ลี่จวินที่อยู่ด้านข้างก็อึ้ง เนื่องจากพวกเขาไม่รู้เรื่องการแพทย์ สิ่งที่ไม่เข้าใจยิ่งกว่านั้นคือพวกเขาปล่อยให้คนแปลกหน้ามานวดอธิบดีลู่ได้อย่างไร…
เมื่อทำแบบนี้ไปประมาณสามนาที ลู่ลี่จวินหายใจเข้าเบาๆ แล้วเอ่ย “โอ๊ะดูเหมือนว่าจะช่วยได้นิดหน่อย”
ประโยคนี้ทำให้หวังเฉียงโล่งใจทันที เพราะเขาพาคนรู้จักมาที่นี่ หากเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นอาชีพของเขาคงจะจบเห่
เดิมทีเขาอยากเสนอหน้าต่อหน้าอธิบดี ใครจะรู้ว่าการกระทำที่ผลีผลามของซ่งจื่อเซวียนนั้นเกินความคาดหมายของเขาโดยสิ้นเชิง ต่อมาเขาไม่มีทางเลือกจึงถูกบังคับให้เดิมพันด้วยอนาคตของตัวเอง…
“เหล่าลู่ ดีขึ้นแล้วใช่ไหมครับ”
ลู่ลี่จวินพยักหน้า “เจ้าหนุ่ม วิธีนี้ของนายไม่ธรรมดาเลยนะ มีอาจารย์ใช่ไหม”
เมื่อได้ยินลู่ลี่จวินถามถึงอาจารย์ของตัวเอง ซ่งจื่อเซวียนจึงยกยิ้ม “ไม่มีครับ คนรุ่นใหม่อย่างผมแค่ชอบอ่านหนังสือด้านแพทย์แผนจีนตั้งแต่ยังเด็กและได้เรียนรู้แบบผิวเผินจากผู้เฒ่าของผมด้วย โชคดีที่ปัญหาของคุณไม่มากนัก ไม่อย่างนั้นผมคงทำอะไรไม่ได้”
ลู่ลี่จวินยิ้มพลางพูด “ถ่อมตัวแล้ว ฉันทำงานที่สาธารณสุขมาหลายปีไม่เคยเห็นหมอวิเศษเลยสักคน เทียบกับชายหนุ่มอย่างนายไม่ได้เลย”
ได้ยินประโยคนี้ หวังเฉียงก็คลี่ยิ้ม “ท่านอธิบดีลู่ นี่คือซ่งจื่อเซวียนเพื่อนของผมครับ จริงๆ แล้วที่ผมพาเขามาที่นี่เพื่อให้มาดูอาการคุณ”
“เอ๋ เหอะๆ งั้นนายยังบอกว่าไม่ใช่หมออีกเหรอ” ลู่ลี่จวินถาม
“ท่านอธิบดีลู่ชมเกินไปแล้วครับ ผมไม่ใช่จริงๆ พูดได้ว่ารู้เพียงพื้นฐานเท่านั้นครับ” ขณะที่พูด ซ่งจื่อเซวียนก็หยุดมือ “ท่านอธิบดี คุณขยับตัวหน่อยครับจะได้ดูว่าดีขึ้นแล้วหรือยัง”
ลู่ลี่จวินสูดลมหายใจเข้าทันที ส่ายคอแล้วขยับมือและเท้า “เป็นอย่างนั้นจริงๆ หัวใจไม่ได้เต้นเร็วแล้ว หายใจสะดวกมากขึ้นด้วย”
ภรรยาของลู่ลี่จวินได้ยินก็กล่าว “งั้นก็ดีเลย ดีจริงๆ พ่อหนุ่มน้อย พวกเราต้องขอบคุณนายนะ”
ลู่ลี่จวินยิ้มพลางพูด “ใช่แล้ว คนหนุ่มสาวมีความสามารถจริงๆ ที่รัก ช่วยชงชาหน่อย เราจะได้ดื่มกันที่นี่ตอนเที่ยง”
“เหอะๆ ท่านอธิบดีลู่อย่าเกรงใจเลยครับ เราแค่จะมาเยี่ยมคุณ เราเอาปลิงทะเลกับรังนกมาฝาก วางไว้แถวหน้าประตูครับ” หวังเฉียงกล่าว
“มาแล้วจะไม่ทานข้าวได้ยังไงกัน” ลู่ลี่จวินพูดพร้อมกับมองดูนาฬิกา “เราดื่มชากันก่อน ตอนเที่ยงก็กินข้าวที่นี่ ฉันต้องขอบคุณเพื่อนคนนี้ของนาย”
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้าแล้วยกยิ้ม “ท่านอธิบดีไม่ต้องเกรงใจครับ เป็นสิ่งที่คนรุ่นใหม่อย่างผมควรจะทำ จริงสิ สภาพร่างกายของคุณตอนนี้ ทางที่ดีที่สุดอย่าทานอาหารตามใจปากนะครับเพราะอาจกระตุ้นอาการอีกได้”
“คุณไม่มีประวัติโรคหัวใจ ครั้งนี้เกี่ยวกับสภาพร่างกายของคุณ การรักษาโรคต้องรักษาที่ต้นเหตุก่อน ดังนั้นคุณควรรักษาสุขภาพให้ดีก่อนจะดีที่สุดครับ” ซ่งจื่อเซวียนกล่าว
เมื่อได้ยินดังนั้น ลู่ลี่จวินก็ถอนหายใจ “เฮ้อ ก็ไม่รู้ว่าต้องพักร่างกายอีกนานแค่ไหน”
“ท่านอธิบดีลู่ไม่ต้องร้อนใจ ผมจะเขียนรายการที่ห้ามทานให้ พยายามอย่าทานอาหารพวกนั้นก็พอครับ” ซ่งจื่อเซวียนพูดพลางยกกระติกเก็บความร้อนขึ้นมา “แล้วก็น้ำแกงนี้ คุณกินเพื่อบำรุงร่างกายได้ครับ”
ทุกคนมองไปที่กระติกเก็บความร้อน ตอนที่รีบเข้าไปเมื่อสักครู่นี้ หวังเฉียงไม่ได้สังเกตว่าซ่งจื่อเซวียนยังถือสิ่งนี้อยู่
“นี่คือ…”
“เหอะๆ นี่คือน้ำแกงที่ผมทำเอง ยังไม่มีขายในตลาด คุณลองชิมดูได้ครับ”
ลู่ลี่จวินได้ยินก็คลี่ยิ้ม “นายยังทำอาหารได้ด้วยเหรอ ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ”
“เหอะๆ ท่านอธิบดีลู่ คุณรู้ไหมครับว่าเขาเป็นใคร ข้าวผัดจักรพรรดิที่โด่งดังที่สุดในเมืองตู้เหมินช่วงสั้นๆ เมื่อก่อนก็เป็นฝีมือของเขา”
“หา ฉันรู้จักนะ ข้าวผัดจักรพรรดิจานละแปดร้อยเก้าสิบเก้าหยวน แต่มันก็โด่งดังมาก พวกเขายังบอกว่าจะพาฉันไปลองอยู่เลย แต่เห็นว่าหลังจากนั้นยกเลิกไม่ขายแล้ว”
ซ่งจื่อเซวียนยกยิ้ม “ประเด็นเป็นเพราะผมย้ายไปร้านอาหารอื่นแล้วครับ ที่จริงข้าวผัดจักรพรรดิยังมีอยู่ตลอด”
“ที่แท้ก็เป็นแบบนี้ เหอะๆ เป็นเกียรติและโชคดีจริงๆ ที่ฉันได้ชิมอาหารให้เชฟข้าวผัดจักรพรรดิ”
ขณะที่พูด ลู่ลี่จวินก็หยิบกระติกเก็บความร้อนขึ้นมา นาทีที่เขาเปิดฝา กลิ่นหอมก็ตลบอบอวลไปทั่วทั้งห้องทันที
“นี่…คือ…เมนูอะไรเหรอ” ลู่ลี่จวินถามด้วยดวงตาที่เบิกกว้าง
แม้ว่าลู่ลี่จวินจะเป็นผู้บริหารแต่เขากลับไม่ถือตัว บางครั้งผู้ใต้บังคับบัญชาก็มอบของขวัญให้เขานั่นถือเป็นจุดสูงสุด
แต่สิ่งนี้กลับไม่ได้เป็นอุปสรรคของเขาในฐานะผู้นำที่เคยพบเจอหลายสิ่งหลายอย่างในด้านตลาด ช่วงหลายปีมานี้มีอาหารเลิศรสอะไรบ้างที่เขายังไม่ได้ลิ้มรส อาหารล้ำค่าหายากใดๆ อยู่ในปากของเขาก็ล้วนสูญเสียรสชาติไปนานแล้ว แต่กลิ่นที่ได้สัมผัสในวันนี้…ทำให้เขาทึ่ง
“กลิ่นนี่หอมมากเลยนะ พ่อหนุ่ม รสมือของนายดีมาก” ภรรยาของลู่ลี่จวินอดประหลาดใจไม่ได้
หวังเฉียงที่อยู่ด้านข้างพูดไม่ออก ถ้าให้พูด…เขาอยากจะพูดอะไรหนึ่งอย่าง นั่นคือให้ฉันชิมคำหนึ่งได้ไหม
ซ่งจื่อเซวียนคลี่ยิ้ม “ท่านอธิบดี เมนูนี้เรียกว่าน้ำแกงเกล็ดปลาทองห้าสายครับ”
พูดแล้วลู่ลี่จวินก็ชิมไปคำหนึ่ง จากนั้นสีหน้าเขาก็นิ่งค้างฉับพลัน
เขาเบิกตากว้างมองซ่งจื่อเซวียน “นี่…นี่มัน…”
“เป็นอะไรไปเหล่าลู่ ช่วงนี้คุณไม่ค่อยอยากอาหารมาตลอด ทานอะไรก็ไม่รับรส อย่าบอกนะว่าอาหารที่พ่อหนุ่มคนนี้ทำไม่อร่อย การรับรสของคุณมีปัญหามากกว่า” ภรรยากล่าว
“ไม่ๆๆ รสชาติดีมากๆ ต่างหาก”
พูดจบ ลู่ลี่จวินก็กินไปอีกหลายคำ ตักมาอีกชามก็ซดน้ำแกงหมดจนเกลี้ยงแล้วรีบเติมอีกครั้ง
เห็นดังนั้น ซ่งจื่อเซวียนก็ยิ้มเล็กน้อย อันที่จริงนี่เป็นผลลัพธ์ที่เขาคาดการณ์ไว้ ไม่ว่าลู่ลี่จวินจะอาการแย่แค่ไหนก็เทียบไม่ได้กับซ่งอวิ๋นฮั่น รสชาติน้ำแกงห้าสายนี้ยังทำให้ซ่งอวิ๋นฮั่นทานไปตั้งสองชาม นับประสาอะไรกับเขา…
เมื่อทานชามต่อไปจนหมด ลู่ลี่จวินก็เช็ดปาก “อร่อยเลิศมากจริงๆ พ่อหนุ่ม ฝีมือนายเยี่ยมมาก ระยะนี้กินอะไรก็ไม่อร่อย พอจะกินข้าวก็กลุ้มใจทุกครั้งเลยกลัวการกินข้าวไป แต่…น้ำแกงของนายนี่สุดยอดจริงๆ”
“แหะๆ ถ้างั้นคุณทานเยอะๆ นะครับ น้ำแกงนี้ช่วยแก้หิวและบำรุงร่างกายด้วย คุณลองทานสักสองวัน ถ้าอาการดีขึ้นผมจะเอามาให้อีกครับ”
ลู่ลี่จวินพยักหน้าอย่างต่อเนื่อง “ดีๆๆ เสี่ยวหวัง ฝีมือเพื่อนนายยอดเยี่ยมจริงๆ คราวนี้พวกนายช่วยฉันได้มากจริงๆ อย่างน้อยก็แก้ไขปัญหาการกินได้แล้ว”
เขาพูดจบ หลายคนก็เริ่มหัวเราะขึ้นมา
หวังเฉียงก็รู้สึกมั่นใจขึ้นแล้ว จากนั้นจึงไม่ได้พูดอะไรอีก
เขารู้ว่าผลลัพธ์ในตอนนี้ดีมากและตรงกับสิ่งที่เขาต้องการ รวมทั้งซ่งจื่อเซวียนทำหน้าที่ได้ดี การพูดจาก็เหมาะสม ดังนั้นเขาจึงไม่จำเป็นต้องพูดอะไรอีก ไม่อย่างนั้นอาจจะเป็นการพูดมากไปโดยไร้ประโยชน์
“ใช่แล้วพ่อหนุ่ม นายชื่ออะไรล่ะ ตอนนี้ทำงานอยู่ที่ไหนเรอะ” ลู่ลี่จวินเอ่ยถาม
“ซ่งจื่อเซวียนครับ ตอนนี้เป็นเชฟที่ร้านอาหารร่ำรวยในเขตเฉิงตงครับ” ซ่งจื่อเซวียนตอบ
“โอเค ดีจริงๆ นะ ไม่ง่ายเลยที่จะทำงานในธุรกิจอาหาร โดยเฉพาะเป็นเชฟ แต่ว่านาย…เหอะๆ ฉันเชื่อในตัวนาย!”
หวังเฉียงอึ้งไปหลังจากที่ลู่ลี่จวินพูดจบ
เขารู้จักลู่ลี่จวินดี อีกฝ่ายเป็นคนที่เอาจริงเอาจัง เข้มงวดในการทำงานและแสวงหาความสมบูรณ์แบบ คนที่เคยถูกเขาชื่นชมในหน่วยงานตลอดหลายปีที่ผ่านมามีเพียงไม่กี่คนเท่านั้น นับประสาอะไรกับในภาคอุตสาหกรรม
นี่เป็นครั้งแรกในประวัติการณ์ ทำให้พอจะมองออกได้ว่าตอนนี้ในใจเขาประเมินซ่งจื่อเซวียนไว้สูงแค่ไหน!
………………………………………