เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 164 คำเตือน
ตอนที่ 164 คำเตือน
ได้ยินซางเทียนซั่วพูดแบบนี้ หลัวลี่ลี่ก็จ้องเขาเขม็ง “ทำไมปากนายถึงพูดไปเรื่อยแบบนี้ มันเกี่ยวกับนายหรือไง”
ซางเทียนซั่วอึ้ง เขาแค่โพล่งออกไปเท่านั้น คิดไม่ถึงว่าปฏิกิริยาของหลัวลี่ลี่จะรุนแรงขนาดนี้ อีกทั้งตอนที่พูดอยู่ น้ำเสียงก็เย็นชามาก อย่างกับเผชิญหน้ากับอริอย่างไรอย่างนั้น
เห็นอย่างนั้น ซางเทียนซั่วก็ไม่กล้าพูดอะไรอีก จากนั้นก็ช่วยหลัวลี่ลี่ทำสัญญาจ้างงานให้เรียบร้อย
สิ่งนี้เป็นความต้องการของซ่งจื่อเซวียนเช่นกัน เปิดร้านต้องทำให้ชอบด้วยกฎหมาย โดยเฉพาะเมื่อคิดจะสร้างร้านสักร้านขึ้นมา ก็ยิ่งควรจะเดินเรื่องตามขั้นตอน ไม่อย่างนั้นจะทำให้เติบโตและอยู่ยืนยาวได้ยากมาก
แม้ว่าแรกสุดเสี่ยเฉิงปาจะไม่ชอบความยุ่งยากจึงไม่เห็นด้วย แต่เห็นซ่งจื่อเซวียนยืนยันอย่างนั้น สุดท้ายก็ตอบตกลง แต่ขอให้ซ่งจื่อเซวียนจัดการเรื่องสัญญาพวกนี้มา ตัวเฉิงปาเขาทำเรื่องพวกนี้ไม่เป็น
เพราะเสี่ยปาก็ทำร้านอาหารมาหลายสิบปีแล้ว แต่จนถึงตอนนี้ยังไม่มีสักร้านในมือที่ทำประกันให้พนักงาน…
จากนั้น ทุกคนก็เริ่มเตรียมตัว ด้านซ่งจื่อเซวียนนั่งจิบชาอยู่ในโถง ถึงด้านนอกจะมีคนมาต่อแถวสั่งข้าวผัดจักรพรรดิแล้ว แต่ก็ยังไม่ถึงเวลาเปิดทำการ เขาจึงไม่รีบ
ซางเทียนซั่วเขยิบเข้ามาใกล้ พูดว่า “จริงสิอาจารย์ เมื่อวานอาจารย์ไปทำอะไรมา”
“ไปหาเพื่อนคนหนึ่งมา พวกเสี่ยวเป่าได้กินจนพอใจแล้วใช่ไหม” ซ่งจื่อเซวียนถาม
“อืม พออาจารย์ไปไม่นานพวกเขาก็ไป แต่เขาถามหาปู่กุ่ยด้วย แถมช่วงนี้ปู่กุ่ยก็ไม่ค่อยได้มา”
ซ่งจื่อเซวียนขมวดคิ้ว “เหมือนว่า…จะไม่รู้จริงๆ ว่าไปไหนแล้ว เหอะๆ ยังไงก็เป็นคนของแก๊งขอทาน ที่อยู่ไม่แน่นอน”
“นี่ก็ใช่ แต่จากที่เด็กขอทานพูด เหมือนพวกเขาจะมีเรื่องอะไรสำคัญที่ขาดปู่กุ่ยไปไม่ได้” ซางเทียนซั่วพูด
“หืม เรื่องของแก๊งขอทานเหรอ”
“เดาว่าใช่ แถมยังพูดว่าอะไรนะ…เพ่าเพ่าหลงกับปู่ตาบอดมาถึงแล้ว ฮ่าๆ ยังไงชื่อก็แปลกๆ นะ ทำไมพวกเขาถึงดูเหมือนล้อกันอย่างนั้นล่ะ” ซางเทียนซั่วเอ่ยยิ้มๆ
“อย่าพูดไปเรื่อย ขอบเขตของแก๊งขอทานไม่ใช่สิ่งที่พวกเราจะจินตนาการได้ ปู่กุ่ยพอมีตำแหน่งในแก๊งขอทานอยู่บ้าง เดาว่าต้องรวมตัวหลายๆ คนมาปรึกษาหารือเรื่องใหญ่อะไรสักเรื่อง นี่ไม่เกี่ยวกับพวกเรา อย่าคิดเลอะเทอะ”
“อืม งั้นก็ดี จริงสิ เมื่อกี้นายคุยอะไรกับลี่ลี่เหรอ บัตรประชาชนสองใบอะไรกัน”
ได้ยินประโยคนี้ ซางเทียนซั่วมองไปที่หลัวลี่ลี่โดยอัตโนมัติ และตอนนี้หลัวลี่ลี่ก็กำลังจ้องเขาอยู่ เหมือนเดาออกว่าพวกเขากำลังคุยอะไรกัน จึงใช้สายตาข่มขู่เขาว่าห้ามพูด
“เอ่อ…ไม่มีอะไร บัตรประชาชนอะไรเหรอ” ซางเทียนซั่วถาม อดเหลือบมองหลัวลี่ลี่ไม่ได้
เห็นเขาไม่อยากพูด ซ่งจื่อเซวียนก็ไม่ถามอีก ร้านอาหารร่ำรวยเปิดร้านพอดี เขาจึงเดินเข้าไปในครัวด้านหลัง
ซางเทียนซั่วเดินไปที่เคาน์เตอร์ “แหะๆ ลี่ลี่ ฉันยังไม่ได้พูดอะไรออกไปนะ ควรให้รางวัลฉันสักหน่อยใช่ไหมล่ะ”
ซางเทียนซั่วพูดพลางเอานิ้วชี้จิ้มไปที่หน้าของตัวเองสองสามครั้ง สื่อให้หลัวลี่ลี่จุ๊บหนึ่งที
หลัวลี่ลี่กลอกตาใส่เขาทันที “ไสหัวไปเลย ลองพูดดูสิฉันฆ่านายแน่!”
“ครับๆๆ แม่ทูนหัว ผมกลัวว่าคุณจะฆ่าตาย ไม่พูดแน่นอนครับ แต่ว่า…”
“แต่ว่าอะไร” หลัวลี่ลี่จ้องซางเทียนซั่วเขม็งอีกรอบ เขาก็ไม่กล้าพูดทันที
“ไม่มีอะไร ฉันไปช่วยครัวด้านหลังละ ลำบากเธอแล้ว ฮ่าๆ!”
……
เสี่ยเฉิงปายกถ้วยชาขึ้นดื่ม จากนั้นก็บ้วนปาก บ้วนน้ำชาออกมา
บนโต๊ะยังมีซาลาเปาสองสามลูกและข้าวต้มครึ่งถ้วยที่กินเหลือไว้ เห็นได้ชัดว่าไม่อยากอาหาร เขาหยิบบุหรี่มวนหนึ่งออกมาจุด
“เหลยจื่อ ช่วงนี้ได้ไปที่ร้านอาหารนั้นบ้างไหม” เสี่ยปาถามพลางลูบหัวล้านของตัวเอง
“ร้านอาหารเหรอครับ เสี่ยหมายถึงร้านไหน”
“เพ้อเจ้อ ร้านอาหารร่ำรวยสิ ฉันจะถามถึงที่อื่นทำไม”
ช่วงนี้ สิ่งที่เสี่ยปากังวลที่สุดก็คือสถานการณ์ของร้านอาหารร่ำรวย เทียบกับร้านอื่นๆ ในมือของเขาแล้ว ขอแค่ซ่งจื่อเซวียนขายข้าวผัดจักรพรรดิได้ยี่สิบที่ บวกกับครัวด้านหลังเสิร์ฟอาหารได้อีกหลายๆ จาน ก็มีกำไรสุทธิสูงกว่าร้านอาหารอื่นๆ ในมือของเขาแล้ว
หรือพูดได้ว่า ขอแค่การค้าของร้านอาหารร่ำรวยเป็นปกติ ร้านอาหารอื่นๆ ของเขาก็ปิดทำการได้เลย เขาคร้านจะไปดูแลแล้ว
“อ้อ ไม่ค่อยได้ไปครับ ช่วงนี้ทางนายท่านรองก็ไม่ได้เรียกผม” เหลยจื่อพูด
เสี่ยเฉิงปาหยิบลูกวอลนัทขนาดใหญ่ห้าสิบมิลลิเมตรขึ้นมา ก่อนพูดว่า “ไปดูหน่อย จากนี้ไม่ต้องรอให้นายท่านรองของแกเรียก มีเวลาก็ไปดูบ้าง ฉันไปบ่อยๆ ไม่ค่อยดี มันจะเหมือนไม่ไว้ใจเขา”
“เข้าใจแล้วครับเสี่ย”
เสี่ยเฉิงปาพยักหน้า ยกถ้วยชาขึ้นยังไม่ทันถึงปาก โทรศัพท์ก็มีสายเข้า พอเห็นว่าเถียนเหวินคุ่ยโทรมา เขาก็วางถ้วยชาลงด้วยใจที่เต้นตึกตัก
แต่เขารู้ว่าเถียนเหวินคุ่ยโทรมาก็เทียบเท่ากับหวงฟาโทรมา ตำแหน่งหวงฟาในตู้เหมินไม่มีทางติดต่อเรื่องใดๆ ด้วยตัวเองได้ทุกเรื่องอยู่แล้ว อีกทั้งถึงแม้เสี่ยปาจะคุ้นเคยกับเสี่ยหวง แต่ไม่นับว่าใกล้ชิดสนิทสนมกัน ประกอบกับเรื่องร้านอาหารร่ำรวย ก็ยิ่งห่างไกลเข้าไปอีก
ตอนนี้จุดประสงค์ที่เถียนเหวินคุ่ยโทรมา ก็กลายเป็นสาเหตุที่ทำให้เสี่ยปากังวล
แต่เห็นมาโทรเข้ามาเจ็ดแปดสายแล้ว เสี่ยเฉิงปาอึ้งอยู่ตรงนั้น เหลยจื่อที่อยู่ใกล้ๆ จึงพูดว่า “เสี่ยครับ โทรศัพท์…”
“ฮะ อ้อๆ”
เสี่ยเฉิงปาถึงได้สติกลับมา กดรับสาย
“แหะๆ คุณเถียน ไม่เจอกันนานเลยนะครับ” เสี่ยเฉิงปาพูด
“เสี่ยปา ช่วงนี้เสี่ยไม่มารวมตัวกับพวกเราเลย พวกเราอยากติดต่อกับเสี่ยปามากนะครับ” เถียนเหวินคุ่ยพูดแกมหัวเราะ
เฉิงปาฟังออกว่าคำว่าพวกเราของเถียนเหวินคุ่ยย่อมหมายถึงพวกเสี่ยหวงกลุ่มนั้น
“เหอะๆ คุณเถียน คุณพูดแบบนี้ได้ที่ไหนกัน ผมเต็มใจไปนั่งกับพวกพี่ๆ อยู่แล้ว แต่คุณก็รู้ว่าเรื่องที่ร้านตอนนี้มากขึ้นเรื่อยๆ ผมนี่ผละตัวออกไปไม่ได้เลย”
“ฮ่าๆๆ ผมรู้อยู่แล้วว่าเสี่ยปายุ่ง ยิ่งช่วงนี้ขายดิบขายดีด้วย อ้อ จริงสิ ผมได้ยินมาว่า…เสี่ยปายังทำข้าวผัดจักรพรรดิอยู่ใช่ไหม” เถียนเหวินคุ่ยพูดอย่างสุภาพ
เฉิงปาเข้าใจเถียนเหวินคุ่ย คนคนนี้ไม่ว่าตอนไหนก็จะอ่อนน้อมตลอด น้ำเสียงก็เหมือนกัน เป็นเสือหน้ายิ้ม แต่ในถ้อยคำกลับซ่อนคมมีดเอาไว้
เหมือนกับประโยคนี้ ถึงพูดเจือรอยยิ้ม แต่รู้ทันว่าจงใจถาม
“ใช่ครับ แต่แค่พอใช้ได้ครับคุณเถียน คุณคิดว่าผมที่อายุเท่านี้แล้ว จะมีเวลาไปใช้ชีวิตสบายๆ ได้ยังไงกัน ต้องถือโอกาสก่อนจะแก่หาเงินไว้ใช้ชีวิตยามชราดีๆ หน่อยสิครับ” เสี่ยเฉิงปาค่อยๆ เอนกายพิงพนักเก้าอี้ ลูบหัวล้านพลางพูด
“ฮ่าๆ ช่างถ่อมตัวจริงๆ นะ เสี่ยปา นี่เสี่ยปาเหมาว่าพวกเราเป็นพวกไม่ทำการทำงานแล้วเหรอเนี่ย”
“คุณเถียนก็พูดไป เฉิงปาอย่างผมจะไปคิดแบบนั้นได้ยังไงล่ะครับ แต่ต้องอธิบายกับคุณนิดนึง ตอนนี้ผมอยากหาเงินให้มากอีกหน่อย รอผมมีเงินมากแล้ว ค่อยไปรวมตัวกับเพื่อนได้อย่างมั่นใจก็ได้นี่ครับ คุณก็รู้ว่าชีวิตผม…ไม่ได้ดีเด่อะไรเลย”
เถียนเหวินคุ่ยหัวเราะ “ครับๆๆ ที่เสี่ยปาพูดผมเข้าใจแล้ว แต่ว่า…ที่จริงวันนี้มีเรื่องจะคุยกับคุณ ที่สำคัญก็มีเรื่องทางการด้วย เสี่ยหวงฝากให้ผมมาแจ้งให้คุณทราบ”
“หืม คุณเถียนว่ามาเลยครับ”
“เหอะๆ ว่าไปก็กระอักกระอ่วนนะครับ แต่แน่นอนว่าไม่ใช่เพราะคุณนะ ช่วงนี้เสี่ยหวง…ไม่ค่อยมองร้านอาหารร่ำรวยดีสักเท่าไร เลยให้ผมมาแนะนำคุณตามตรงว่าถ้าถอนตัวออกมาได้ก็ถอนตัวออกมาเร็วหน่อย อย่าหาเหาใส่หัว”
ได้ยินดังนั้น เสี่ยเฉิงปาก็ชะงัก นี่เป็นประเด็นหลักของวันนี้เหรอ เหอะๆ คำขู่ของเสี่ยหวง…ในที่สุดก็มาแล้ว
เทียบกับที่เคอซานมาหาตัวเองเมื่อวันก่อน คำพูดของเถียนเหวินคุ่ยมีอำนาจมากกว่าอย่างไม่ต้องสงสัย เพราะเขาคือคนสนิทของเสี่ยหวง เคอซานไม่นับว่าใช่
เฉิงปานิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง เถียนเหวินคุ่ยก็ไม่ได้เร่งเขา แค่หวังว่าเขาจะพิจารณาประโยชน์และโทษดีๆ เลือกยืนให้ถูกข้าง
“นี่…คุณเถียน รายได้ของร้านอาหารร่ำรวยทำเอาผมทำใจตัดเนื้อไม่ได้อยู่บ้างจริงๆ คุณว่า…ขอเวลาผมตัดสินใจหน่อยได้ไหมครับ”
คำตอบนี้ก็อยู่ในความคาดหมายของเถียนเหวินคุ่ยเช่นกัน เขายิ้ม “ไม่มีปัญหาครับ เสี่ยปา เราเป็นเพื่อนกัน เสี่ยหวงปฏิบัติกับเพื่อนยังไงคุณก็น่าจะรู้ดี ผมหวังว่า…คุณจะตัดสินใจได้ถูกต้องนะครับ”
เสี่ยเฉิงปาไม่พูด พูดให้เข้าทีคือเขาก็ไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไร เพราะตำแหน่งกับอำนาจของเสี่ยหวงโต้แย้งไม่ได้เลย
ถ้าบอกว่าพวกเขาถือเป็นคนในวงการใต้ดิน อย่างนั้นเฉิงปาก็ยังจัดอยู่ในขั้นถกแขนเสื้อทุบตีคน แต่เสี่ยหวงฟาอยู่อีกขั้นหนึ่งไปตั้งนานแล้ว มีความใกล้ชิดสนิทสนมกับภาครัฐในพื้นที่อย่างลึกซึ้งมาก
อาศัยเพียงแค่จุดนี้ ก็ทำให้เขากลับไปสู่ความลำบากใจในตอนแรกสุด หรือก็คือต้องเลือกระหว่างเงินและความสัมพันธ์กับเสี่ยหวง
เห็นเสี่ยปาไม่พูดอะไร เถียนเหวินคุ่ยก็พูดต่อ “เสี่ยปา สามวัน เสี่ยหวงให้เวลาเสี่ยตัดสินใจสามวัน หลังจากสามวันนี้…ผมคิดว่าคุณคงได้รู้เรื่องทั้งหมด”
พูดจบ เถียนเหวินคุ่ยก็วางสายไป แต่เฉิงปาที่อึ้งอยู่ตรงนั้นกลับไม่ได้สติอยู่นาน เห็นแค่ว่าบนหัวล้านนั่นมีเหงื่อไหลลงมาที่ตาและปลายจมูกเป็นเม็ดๆ
เห็นปฏิกิริยาของเฉิงปา เหลยจื่อที่อยู่ใกล้ก็ถามขึ้นว่า “เสี่ยเป็นอะไรไปครับ”
เฉิงปานิ่งอึ้งตรงที่เดิมอยู่นานไม่เอ่ยปากพูดอะไร ใคร่ครวญวางแผนเรื่องนี้ในใจ ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหน เขาถึงได้ส่ายหน้าน้อยๆ
“ฉันต้องลองไปหาซ่งจื่อเซวียน”
“งั้นผมโทรให้นายท่านรองมาหาไหมครับ”
ที่จริงภัตตาคารเหล่าปาก็ไม่ได้ห่างจากร้านอาหารร่ำรวยมากนัก ต่อให้ซ่งจื่อเซวียนเดินมาก็สิบกว่านาที
เฉิงปาส่ายหน้า “ไม่ล่ะ พวกเราไป ไปตอนนี้ ไปเลย!”
ไม่นานนัก เสี่ยเฉิงปาก็พาเหลยจื่อมาที่ร้านอาหารร่ำรวย พอเข้าไปในร้าน หยางกังก็มาต้อนรับ
“โอ้ เสี่ยปามา มีเรื่องอะไรครับ มาหานายท่านรองใช่ไหม” หยางกังพูดด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
เขารู้ว่าเถ้าแก่ของร้านอาหารร่ำรวยมีสองคนคือเสี่ยปาและซ่งจื่อเซวียน แต่พวกเขาล้วนคิดว่าเสี่ยปาจะต้องเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่แน่นอน เพราะชื่อเสียงก็เป็นที่รู้จักกันไปทั่ว
เสี่ยเฉิงปาพยักหน้า “ใช่ นายท่านรองของพวกแกอยู่ไหน ให้เขาออกมาเดี๋ยวนี้เลย ฉันมีเรื่องต้องคุยกับเขา”
“ได้ครับ เดี๋ยวผมไปตอนนี้เลย เหมือนจะกำลังทำข้าวผัดจักรพรรดิอยู่ครับ”
ได้ยินแบบนั้น เสี่ยเฉิงปาก็รีบยกมือขึ้นทันที “งั้นรอก่อนก็ได้ ไม่รบกวน เอาอย่างนี้ รอเขาทำข้าวผัดเสร็จค่อยให้เขามาหาฉัน ห้องส่วนตัวชั้นสองยังมีห้องว่างไหม”
“มีครับ เดิมก็ว่างทั้งหมดอยู่แล้ว”
“โอเค ฉันจะไปรอเขาข้างบน” พูดจบ เสี่ยเฉิงปาก็เดินขึ้นไปชั้นสอง
ถึงจะเป็นเรื่องด่วนมาก แต่พอเสี่ยเฉิงปาได้ยินว่าซ่งจื่อเซวียนกำลังทำข้าวผัดจักรพรรดิอยู่ก็รีบเปลี่ยนความคิดทันที เพราะเสิร์ฟหนึ่งที่ก็ได้กำไรเก้าร้อยหยวน ที่จริงนี่ก็มองออกแล้วว่าเสี่ยปารักเงินมากกว่าขนาดไหน
เสี่ยเฉิงปาไม่ได้ขอน้ำชา เขาเดินไปเดินมาอยู่ในห้องส่วนตัวครู่หนึ่ง ซ่งจื่อเซวียนก็เดินเข้ามา
“เหอะๆ เสี่ยปามาแล้ว ทำไมถึงไม่แจ้งมาก่อนล่ะครับ”
“ไอ้หยาน้องชาย เกิดเรื่องใหญ่แล้ว!” เสี่ยปาเห็นซ่งจื่อเซวียนเดินเข้ามา ก็พูดด้วยสีหน้ากังวล
เห็นได้ชัดว่า พอเกิดเรื่องขึ้นจริงๆ เสี่ยปาจะเป็นผู้นำน้อยลงและตัดสินใจเองไม่ได้ เวลาส่วนใหญ่เขาเต็มใจที่จะฟังความเห็นของซ่งจื่อเซวียนมากกว่าด้วยซ้ำ
………………………………………………