เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 163 ชื่อก็ไม่เหมือนกันนะ
ตอนที่ 163 ชื่อก็ไม่เหมือนกันนะ
ที่เถียนเหวินคุ่ยนัดเฉิงเทียนเย่ามาวันนี้ก็คือความต้องการของหวงฟา แน่นอนว่าเป้าหมายก็คือเตรียมการจัดการร้านอาหารร่ำรวย
หวงฟาบอกว่าถ้าทำให้ร้านอาหารร่ำรวยปิดร้านได้สามวัน ย่อมรอถึงวันที่สี่ไม่ได้แน่นอน และวิธีที่ดีที่สุดไม่ใช่หาคนไปก่อเรื่อง แต่เป็นการใช้อำนาจของภาครัฐ
ภาครัฐที่ใกล้ชิดกับร้านอาหารที่สุดก็คือหน่วยงานสาธารณสุข หน่วยงานควบคุมตลาดและสมาคมอาหาร เทียบกับสองหน่วยงานก่อนหน้า ย่อมติดต่อกับสมาคมอาหารได้สะดวกกว่า เพราะอย่างไรก็เป็นกึ่งเอกชนกึ่งรัฐบาล
แต่สิ่งที่ทำให้เถียนเหวินคุ่ยแปลกใจก็คือเฉิงเทียนเย่าพาลูกบุญธรรมมาด้วย ไม่รู้ว่าหมายความว่าอะไร…
ตั้งใจไม่ให้ตนขอร้องเขาจัดการเรื่องให้ หรือว่า…อยากหาผลประโยชน์บางอย่างให้ลูกบุญธรรมคนนี้กัน
“เหอะๆ คนหนุ่มสาวนี่รู้มารยาทดีจริงๆ เรียบจบหรือยังล่ะ” เถียนเหวินคุ่ยจงใจถาม ถ้าเขายังเป็นนักศึกษาอยู่ เรื่องนั้นก็จัดการได้ง่ายแล้ว บ่งบอกได้ว่าเฉิงเทียนเย่าถือโอกาสพาเขามาด้วยเฉยๆ
“เรียนจบแล้วครับ ตอนนี้นอกจากทำธุรกิจพวกการก่อสร้างกับพ่อแล้ว ยังเรียนรู้เกี่ยวกับพวกการจัดการธุรกิจอาหารกับคุณลุงด้วยครับ” หลี่เจียหาวพูดอย่างมีมารยาท
เถียนเหวินคุ่ยพยักหน้าน้อยๆ “ไม่เลวเลยจริงๆ มา ดื่มชาเถอะ”
จิบชาไปอึกหนึ่ง เฉิงเทียนเย่าก็พูด “น้องเถียน วันนี้เรานัดกันมาที่แพงๆ ขนาดนี้ มีเรื่องยุ่งยากใช่ไหม”
เถียนเหวินคุ่ยได้ยินดังนั้นก็ถอนหายใจ “พูดแบบไม่ปิดบังพี่เลยนะ เรื่องนี้…น่าเวียนหัวนิดหน่อย ถ้าไม่ขอให้พี่ช่วย ผมก็คิดถึงคนที่สองไม่ออกแล้ว”
“ฮ่าๆๆ เหวินคุ่ยหนอ นายจะเกรงใจขนาดนั้นทำไม มีอะไรพูดมาตรงๆ สิ เราคนกันเอง”
ประโยคว่าคนกันเองทำให้เถียนเหวินคุ่ยโล่งใจ ที่จริงทางหวงฟาก็มีเส้นสายกับภาครัฐอยู่ไม่น้อย แต่คนที่คอยเชื่อมสัมพันธ์กับเส้นสายกลับเป็นเถียนเหวินคุ่ย ช่วงนี้เขานับว่าไม่ได้ไปมาหาสู่กับเฉิงเทียนเย่าบ่อยนัก ก็เกิดกลัวว่าจะเหินห่างกันไป
แต่ได้ยินประโยคนี้ เขาก็วางใจแล้ว พูดว่า “พี่กว้างขวางขนาดนั้น เอ่อ…พี่น่าจะเคยได้ยินเกี่ยวกับข้าวผัดจักรพรรดิมาบ้างล่ะมั้ง”
“แน่นอนสิ นั่นเป็นสิ่งมหัศจรรย์อย่างหนึ่งของเมืองตู้เหมินเรา เดือนก่อนตอนที่ประชุมกันในสมาคม ท่านประธานยังพูดเลยว่าเมืองตู้เหมินน่าจะมีข้าวผัดจักรพรรดิมากหน่อย แบบนี้ระดับการผลิตอาหารของพวกเราก็จะเพิ่มขึ้นแล้ว”
เฉิงเทียนเย่าพูดจาติดภาษาทางการอยู่บ้าง แต่เถียนเหวินคุ่ยชินแล้ว การติดต่อพูดคุยกับคนพวกนี้ ไม่ว่าพวกเขาจะพูดอะไร คุณต้องพูดจุดประสงค์ของคุณไปตรงๆ
เรื่องที่เป็นทางการ พวกเขาต้องพูดภาษาทางการ แต่คนพวกนี้กลับเป็นคนฉลาดระดับหนึ่งกันทั้งนั้น คุณจัดการเรื่องผลประโยชน์ให้ดี พวกเขาย่อมเลือกทำอย่างนั้นอยู่แล้ว
“เหอะๆ ใช่ครับ ข้าวผัดจักรพรรดินี่ดังจริงๆ แต่…พี่รู้จักเชฟข้าวผัดจักรพรรดิคนนี้ไหม” เถียนเหวินคุ่ยถาม
“เชฟเหรอ ไม่รู้จริงๆ นายก็รู้ว่าถึงขนาดของต้าสือไต้จะไม่เล็ก แต่ไม่คิดจะเปิดร้านสาขา แบรนด์ก็ไม่ได้ใหญ่โต ยังไม่ถึงขั้นเป็นที่รู้จักหรอก เราก็ไม่ได้พยายามไปทำความรู้จักด้วย” เฉิงเทียนเย่าพูด
เถียนเหวินคุ่ยพยักหน้า “อย่างนี้นี่เอง แต่ว่าช่วงนี้ข้าวผัดจักรพรรดิของต้าสือไต้ไม่ได้ขายแล้วครับ”
“ไม่ใช่แค่ไม่ขายนะครับ ต้าสือไต้หยุดกิจการแล้วด้วย” จู่ๆ หลี่เจียหาวข้างๆ ก็พูดแทรกขึ้นมา
“หืม หยุดกิจการแล้วเหรอ” เถียนเหวินคุ่ยแสร้งทำเป็นไม่รู้
ที่ตู้เหมิน หากร้านอาหารที่มีขนาดใหญ่อยู่บ้างมีการเคลื่อนไหวอะไร ทางเสี่ยหวงก็จะได้รับข่าวสารทันที ไม่มีทางที่เถียนเหวินคุ่ยจะไม่รู้แน่นอน
“นั่นสิเหวินคุ่ย นายไม่รู้เหรอ”
“เหอะๆ ช่วงนี้ยุ่งอยู่กับเรื่องในร้านน่ะครับ ไม่ทันได้สังเกตเรื่องพวกนี้ รู้แค่ว่าไม่ได้ขายข้าวผัดจักรพรรดิแล้ว” เถียนเหวินคุ่ยพูด
เฉิงเทียนเย่าพยักหน้า “อย่างนี้นี่เอง เหอะๆ เพราะตอนนั้นข้าวผัดจักรพรรดิดังเกินไป ในเน็ตถึงมีข่าวพวกนี้อยู่บ้าง”
“ใช่ครับ จากนี้ผมควรจะใส่ใจเรื่องพวกนี้ให้มากหน่อย จำได้ว่าตอนที่ประชุมคราวก่อนพี่ยังพูดว่านักธุรกิจที่ดีก็ต้องใส่ใจตลาดให้มากๆ”
“ฮ่าๆ นายยังจำได้อยู่นี่นา นายนี่ใจรักนะ”
“หลักๆ ที่พี่พูดมันค่อนข้างคลาสสิก ผมเลยจดไว้หมดแล้วครับ” ที่จริงช่วงนี้เถียนเหวินคุ่ยก็ศึกษาเพิ่มทักษะอยู่ เมื่อคืนก็ฟังบันทึกการประชุมคราวก่อนมาโดยเฉพาะ “จริงสิพี่เฉิง พี่รู้เหตุผลที่ไม่ขายข้าวผัดจักรพรรดิแล้วหรือเปล่าครับ”
ได้ยินดังนั้น เฉิงเทียนเย่าก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย “เอ่อ…ไม่รู้สิ”
“เหตุผลหลักๆ คือในข้าวผัดจักรพรรดิมีพวกวัตถุดิบที่ห้ามใช้น่ะสิครับ พี่คิดดูสิ ถ้าไม่ใช่แบบนี้ จะมีคนมากมายขนาดนั้นไปกินข้าวผัดไข่จานละเก้าร้อยหยวนได้ยังไงกัน”
“หืม มีเรื่องแบบนี้ด้วยเหรอ แต่ที่นายพูดก็เหมือนจะจริงนะ ข้าวผัดนั่นฉันเคยกินครั้งหนึ่ง ก็เป็นข้าวผัดง่ายๆ แต่ไม่รู้ว่าใส่เครื่องปรุงอะไร กลิ่นถึงได้หอมขนาดนั้น” เฉิงเทียนเย่าหรี่ตาลงเล็กน้อย เหมือนนึกย้อนพลางพูด
เถียนเหวินคุ่ยพยักหน้า “ใช่แล้วครับ เหมือนจะถูกเถ้าแก่พวกเขาจับได้ เถ้าแก่เลยไม่ให้เชฟคนนั้นใช้เครื่องปรุงนั้นอีก แต่เชฟคนนั้นดื้อรั้นมาก บอกว่าขอแค่ได้เงินคุณจะสนใจเรื่องพวกนั้นทำไม ทั้งสองไม่ลงรอยกัน เถ้าแก่เลยไล่เชฟคนนั้นออกไปครับ”
เฉิงเทียนเย่าเงียบไปครู่หนึ่ง “ถ้าอย่างนั้น…เถ้าแก่คนนี้ก็เป็นนักธุรกิจที่มีจรรยาบรรณน่ะสิ แต่ตอนนั้นไม่มีคนรายงาน ไม่อย่างนั้นเราต้องไปตรวจสอบแน่”
“เหอะๆ พี่ครับ รายงานนี่…ไม่ระบุชื่อคนแจ้งได้ไหม”
“หืม เหวินคุ่ย นายหมายความว่ายังไง”
“พี่ก็รู้ความสัมพันธ์ทางนี้ดีนี่ ถ้ารายงานไปโต้งๆ เกรงว่าจะไม่เหมาะสมเท่าไร แต่ช่วงนี้เราพบว่าเขตเฉิงตง…มีข้าวผัดจักรพรรดิโผล่มาน่ะ” เถียนเหวินคุ่ยพูด
“อะไรนะ แล้วยังเป็นคนคนนั้นทำอยู่เหรอ”
“ถูกต้องครับ เชฟคนเดียวกัน รสชาติเดียวกัน ส่วนผสมเดียวกัน หนึ่งจานแปดร้อยเก้าสิบเก้าหยวน”
เถียนเหวินคุ่ยจงใจใส่สีตีไข่ให้เรื่องกลายเป็นแบบนี้ อย่างไรเขาก็พูดออกไปไม่ได้อยู่แล้วว่านี่เป็นเพราะความไม่พอใจส่วนตัว ถึงแม้ทุกคนจะรู้กันดีอยู่แล้วก็ตาม
ได้ยินประโยคนี้ เฉิงเทียนเย่าก็ขมวดคิ้ว ฟาดฝ่ามือลงบนโต๊ะ “เกินไปจริงๆ ดื้อด้านไม่เปลี่ยน ต้องตรวจสอบร้านนี้ แถมต้องห้ามไม่ให้คนแบบนี้เป็นเชฟโดยเด็ดขาด!”
เถียนเหวินคุ่ยได้ยินแล้วก็มั่นใจ แต่เขาก็รู้ว่าที่เฉิงเทียนเย่าพูดแบบนี้เป็นคำพูดฉากหน้าทั้งสิ้น อีกฝ่ายรู้อยู่แล้วว่าตนเองมีเรื่องขัดแย้งถึงได้ไปรายงาน อย่างไรเถียนเหวินคุ่ยก็ไม่ได้ว่างขนาดที่วันๆ ต้องไปจับพวกก่อปัญหาในตลาด
ดังนั้น คำพูดถัดไปจึงเป็นจุดสำคัญ นั่นก็คือผลประโยชน์ หรือก็คือเฉิงเทียนเย่ากำลังรอให้เถียนเหวินคุ่ยพูดออกมา
“ใช่ครับพี่ เสี่ยหวงรู้เรื่องนี้ก็โกรธมากเหมือนกัน หวังว่าครั้งนี้สมาคมจะช่วยจัดการ ถ้ามีอะไรจัดการยากต้องการเงินอุดหนุน ทางพวกเราจะเป็นสปอนเซอร์ให้เองครับ”
มีประโยคนี้ ในใจเฉิงเทียนเย่าก็มีความสุขแล้ว เพราะเขาก็ทำงานให้เปล่าๆ ไม่ได้ ที่ต้องการก็คือผลประโยชน์
ที่จริงประโยคที่ว่าเป็นสปอนเซอร์ก็พูดได้น่าฟัง ตัวหวงฟาก็ออกเงินให้สมาคมตรงๆ ไม่ได้ แต่ว่า…เป็นสปอนเซอร์ให้เฉิงเทียนเย่าแบบส่วนตัวเล็กน้อยก็ไม่ใช่ปัญหา
“ได้ ถ้ามีฉันจะติดต่อพวกนายไป แต่เรื่องนี้เราจำเป็นต้องตรวจสอบ ส่วนตรวจสอบได้ถึงระดับไหน เราดูสถานการณ์ก่อนแล้วค่อยตกลงกัน!”
เถียนเหวินคุ่ยยิ้ม “ฟังพี่หมดเลยครับ”
เขาเข้าใจความหมายของการดูสถานการณ์ก่อนแล้วค่อยตกลงกันเป็นอย่างดี หรือก็คือนายให้เงินฉันเท่าไร ฉันก็จะจัดการให้เรื่องใหญ่ได้เท่านั้น ถ้านายให้เงินถึงขั้น ฉันทำให้พวกเขาปิดร้านก็ยังได้ ให้ทั้งชีวิตนี้ของเชฟคนนั้นแตะเตาไม่ได้อีกเลยก็ยังได้!
“เหอะๆ เหวินคุ่ยหนอ ข่าวที่นายเล่ามามีค่ามาก ฉันจะกลับไปทำงานต่อให้เอง” เฉิงเทียนเย่าจิบชาพลางพูดว่า “จริงสิ เจียหาว คราวหลังแกก็ต้องเรียนรู้จากผู้อาวุโสให้มากนะ อนาคตเข้ามาทำงานในสมาคมก็ต้องรับฟังความเห็นของทุกคนให้มากๆ”
“ครับ คุณลุง ผมจะจำไว้” หลี่เจียหาวพูด
เถียนเหวินคุ่ยถึงได้รู้จุดประสงค์อีกอย่างที่เฉิงเทียนเย่ามาวันนี้ ที่แท้ก็เป็นการแนะนำหลี่เจียหาว ฟังความนัยประโยคนี้ก็คือ…หลี่เจียหาวต้องทำงานที่สมาคมในเร็วๆ นี้
“อ้อ อ้อ…ที่แท้คุณชายหลี่ก็ต้องทำงานที่สมาคมนี่เอง เหอะๆ งั้นอนาคตก็คนกันเองแล้ว” เถียนเหวินคุ่ยพูดเข้าใจทันที
“คุณเถียนเกรงใจไปแล้วครับ ก่อนหน้านี้ผมก็รู้ตำแหน่งของคุณเถียนในวงการอาหารอยู่แล้ว เสี่ยหวงก็ด้วย พวกคุณเป็นผู้อาวุโสกว่าผมทั้งนั้น ผมต้องเรียนรู้ให้มากถึงจะถูก” หลี่เจียหาวพูด
“ดูสิ พูดได้ขนาดนี้เชียว อนาคตไร้ขีดจำกัดแน่ แต่คุณชายหลี่ คนแซ่เถียนคนนี้ไม่ได้มีตำแหน่งอะไรเลย วีรบุรุษที่แท้จริงในวงการอาหารเมืองตู้เหมินนี่ก็คือเสี่ยหวง จุดนี้ตัวคุณลุงก็รู้ดี”
เฉิงเทียนเย่าได้ยินก็พยักหน้ายิ้ม “ใช่แล้ว เสี่ยหวงเป็นคนควบคุมสถานการณ์เมืองตู้เหมินของเรา เจียหาว แกต้องเรียนรู้ให้มาก ดูให้มาก ถึงจะมีประสบการณ์ สมาคมของเราทำอะไรน่ะหรือ ก็ทำเพื่อช่วยเหลือนักธุรกิจอาหารให้ทั่วถึงไงล่ะ…”
“ครับ คุณลุง ผมจำไว้หมดแล้วครับ”
ฟังคำพูดทางการของสองคนนี้แต่ละอย่าง เถียนเหวินคุ่ยก็คร้านจะใส่ใจ ถึงอย่างไรก็ตกลงกันเรียบร้อยแล้ว เวลาที่เหลือก็ไม่คุยมั่วซั่ว พูดพวกเรื่องข้อเท็จจริงและพวกเรื่องสัพเพเหระเล็กน้อย เขารู้ว่าเรื่องพวกนี้…พวกเขาชอบฟัง
……
ที่ร้านอาหารร่ำรวย
ซ่งจื่อเซวียนขมวดคิ้วเล็กน้อย “อะไรนะ ต้าสือไต้ปิดกิจการเหรอ เอ่อ…เพราะอะไรล่ะ พวกเขาคงไม่ถึงขนาดกับทำกำไรไม่ได้หรอกมั้ง”
“ไม่รู้สิคะ ก็ปิดกิจการไปแล้ว ฉันตกงาน แถมทีมเชฟกับพนักงานโถงด้านหน้าก็ไม่มีงานทำ”
ซ่งจื่อเซวียนถอนหายใจ “คราวนี้ก็สงสารพวกโจวเผิงกับเจิ้งฮุย เวทีของต้าสือไต้ไม่เลวเลย เปลี่ยนที่ทำงาน พวกเขาจะต้องโดนลดเงินเดือนแน่”
พูดถึงพวกเขา หลัวลี่ลี่กลับไม่มีปฏิกิริยาอะไร เดิมทีก็ไม่ได้คุยกันเท่าไร โดยเฉพาะโจวเผิงคนนั้น ยังจีบเธอบ่อยๆ ด้วย เธอเกลียดเขาจะตายไป
“นายท่านรอง ยังไงจากนี้ฉันก็จะติดตามคุณค่ะ ฉันไม่กลัวเงินเดือนจะลด คุณให้ข้าวฉันกินก็พอแล้ว ฮิๆ!”
ต้องพูดเลยว่า เวลาหลัวลี่ลี่หัวเราะออกมาเป็นธรรมชาติยิ่งกว่าโต้วซานซานเสียอีก บริสุทธิ์กว่าเล็กน้อย ส่วนโต้วซานซานดูโอเวอร์และจงใจมากอย่างเห็นได้ชัด
ซ่งจื่อเซวียนยิ้ม “ได้ เดิมทีเธอกินมากเท่าไร อยู่กับฉันที่นี่ก็ให้กินมากเท่านั้น อีกทั้งกฎร้านเรากับต้าสือไต้ก็เหมือนกัน ควรจะเซ็นสัญญาก็เซ็นดีกว่า เทียนซั่ว นายช่วยเอาสัญญาจ้างงานให้ลี่ลี่เซ็นหน่อย แล้วก็ส่งให้เสี่ยปาทำประกันสังคม[1]ให้ด้วย”
“ได้เลยอาจารย์ ลี่ลี่ มาสิ เดี๋ยวฉันช่วยเธอทำ!” ซางเทียนซั่วพูดอย่างเอาอกเอาใจ
หลัวลี่ลี่กลอกตาใส่เขา “ชิ ฉันจะบอกนายให้นะ นายอยู่ห่างๆ ฉันหน่อย ฉันพึ่งนายท่านรอง ไม่ได้พึ่งนาย”
“หึๆ ตามใจ เธออยู่นี่ก็ดี เธอไม่รู้เลยว่าช่วงนี้ฉันคิดถึงเธออยู่บ่อยๆ เฮ้อ…ในที่สุดก็ได้ทำงานด้วยกันสักที มีความสุข!”
ทุกคนส่ายหน้าอย่างจนใจ ซางเทียนซั่วคนนี้อย่างกับหมูบ้ากามจริงๆ
“ลี่ลี่ เธอทำงานที่เคาน์เตอร์ต้อนรับของร้านเรา รอชินงานแล้ว โถงใหญ่ก็จะให้เธอดูแล หลังจากนี้เธอก็รับผิดชอบสัญญาพวกนี้นะ” ซ่งจื่อเซวียนพูด
“วางใจเถอะค่ะนายท่านรอง ฉันจะตั้งใจทำงานแน่นอน”
หลัวลี่ลี่พูดพลางหยิบกระเป๋าสตางค์ออกมา เธอล้วงหยิบบัตรประชาชน แต่เหมือนจะไม่ทันระวัง บัตรใบหนึ่งจึงติดมาด้วยและตกลงพื้น
ซางเทียนซั่วจะพลาดโอกาสเอาอกเอาใจไปได้อย่างไร จึงก้มลงเก็บขึ้นมาทันที ทว่าเมื่อเห็นบัตรใบนั้น…กลับชะงักไป เพราะดันเป็นบัตรประชาชนอีกใบหนึ่ง
“ลี่ลี่ เธอมีบัตรประชาชนสองใบเหรอ”
หลัวลี่ลี่เหมือนจะประหม่าขึ้นมาทันที รีบฉกบัตรประชาชนในมือซางเทียนซั่วมา “นายนี่มันปากมากจริง ใบนี้หมดอายุแล้วต่างหาก!”
“หมดอายุเหรอ แต่ว่าชื่อก็ไม่เหมือนกันนะ…”
……………………………………………….
[1] ประกันสังคมจีน (五险一金) คือการจ่ายเงินก้อนเดียวและได้รับความคุ้มครอง 5 อย่าง ประกอบไปด้วย เงินบำนาญหลังเกษียณ ประกันสุขภาพ ประกันอุบัติเหตุจากการทำงาน ค่าคลอดบุตร เงินชดเชยว่างงาน