เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 162 เฉิงเทียนเย่า
ตอนที่ 162 เฉิงเทียนเย่า
เห็นมีดทำอาหารเหล็กอยู่ตรงหน้า สีหน้าฟางจิ่งจือปรากฏความจริงจังออกมาอย่างหาได้ยาก
เขาลูบตัวมีด มองตั้งแต่คมมีดจนถึงสันมีด ท้ายสุดเป็นด้ามจับ
“เหล็ก ฝีมือดี ด้ามยังเป็นไม่เนื้องามของเกาะไหหลำ หลานเอ๊ย มีดนี่…งานละเอียดนะ”
ได้ยินตาเฒ่าพูดย่างนี้ ซ่งจื่อเซวียนก็รู้สึกเหมือนได้ยกภูเขาออกจากอก เพราะตัวเขาเชี่ยวชาญพวกของงานไม้หรือเครื่องลายคราม รวมถึงภาพวาดเขียนอักษรของคนดัง แต่เรื่องมีด…กลับมีสายตาที่แย่มาก
“ปู่บอกว่านี่คือเหล็กเหรอ ของจริงเหรอ ไม่ใช่ของสังเคราะห์ใช่ไหม”
“ถูกต้อง ไม่ใช่ของสังเคราะห์อะไร เป็นมีดเหล็กงานฝีมือเยี่ยมเล่มหนึ่งเลย บอกปู่มา เอามาจากไหน” ฟางจิ่งจือมองซ่งจื่อเซวียน สายตาเผยความรักใคร่เอ็นดู
ก่อนหน้านี้ ในสายตาฟางจิ่งจือ ซ่งจื่อเซวียนก็คือเด็กคนหนึ่ง เพราะเขารู้จักเคารพและกตัญญูต่อตนเอง รู้มารยาท ฟางจิ่งจือจึงยอมดูแลและสอนอะไรมากมายให้เขา
รวมถึงอธิบายพวกความรู้เกี่ยวกับการแพทย์แผนจีนและของโบราณให้เขา กระทั่งให้เขาอ่านหนังสือในคลังของตนเอง นี่จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้ซ่งจื่อเซวียนผู้เรียนไม่จบมัธยมปลาย กลับรอบรู้กว่าคนรุ่นเดียวกันค่อนข้างมาก
แต่ตอนนี้ ดูเหมือนฟางจิ่งจือจะมองว่าซ่งจื่อเซวียนโตแล้วจริงๆ ไม่ใช่เด็กที่รู้เรื่องรู้ราวแต่ไร้เดียงสาคนเดิมอีก และเติบโตมาเป็นชายหนุ่มคนหนึ่ง
ซ่งจื่อเซวียนเอ่ยถาม “ปู่รู้จักแก๊งขอทานไหม”
“รู้จักสิ ทำไมเหรอ”
“ตอนนี้มีแก๊งขอทานจริงๆ…”
ฟางจิ่งจือยิ้ม “ไม่น่าแปลกนี่ แต่ละยุคแต่ละสมัยก็มีกันหมด ตอนนี้มีก็ปกติ มีดนี่…แก๊งขอทานให้แกมาเหรอ”
“ครับ มีตาเฒ่าเจ้าเล่ห์คนหนึ่งในแก๊งขอทาน เราเรียกเขาว่าปู่กุ่ย เขาให้มีดเล่มนี้ผมมาน่ะ”
“พนันเก่งเหรอ”
“ถูกต้อง ปู่รู้ได้ยังไงน่ะ” ซ่งจื่อเซวียนผงะ ที่จริงเขามองว่าฟางจิ่งจือเป็นผู้ใหญ่ที่รอบรู้คนหนึ่งมาตลอด ทว่ายังรู้จักกระทั่งตาเฒ่าเจ้าเล่ห์ของแก๊งขอทาน นี่มันผิดปกติเกินไปแล้ว
“เหอะๆ ปู่แกไม่ใช่คนไม่ออกจากบ้านนะ เพิ่งจะสองสามปีนี่เองที่อายุมากแล้วถึงได้อยู่แต่บ้านเนี่ย”
ซ่งจื่อเซวียนทำปากเป็นรูปตัวโอ “อ้อ…ปู่รู้จักเขาเหรอ”
“ไม่ขนาดนั้นหรอก เคยได้ยินมา ดื่มเหล้าเก่ง พนันเก่ง เขาเอามีดมาแลกค่าเหล้าเหรอ” ฟางจิ่งจือถาม
“ถูกต้อง ปู่นี่เทพจริงๆ อะไรก็รู้ไปหมด”
ฟางจิ่งจือยิ้มอย่างดีใจ ถึงอายุจะเยอะแล้ว ก็ชอบฟังคำชม
“พอแล้ว เลิกประจบประแจงฉันได้แล้ว ไอ้หนู มีดเหล็กนี่ แกหาเนื้อสักชิ้นมาลองดูจะดีที่สุดนะ”
“ปู่ ผมเคยได้ยินมาว่า มีดเล่มนี้หั่นเนื้อได้แบบไม่ต้องเฉือนเลย”
“เหอะๆ อย่างนั้นแหละ แค่แนบคมมีดที่เนื้อ เนื้อก็ออกมาเป็นชิ้นๆ แล้ว”
ได้ยินฟางจิ่งจือพูดอีกรอบ ซ่งจื่อเซวียนก็อดนับถือหวังเฉิงยงเล็กน้อยไม่ได้ เปรียบเทียบกันแล้ว สิ่งที่ตาแก่คนนั้นรู้ก็ไม่น้อยจริงๆ
“ได้ เดี๋ยวผมไปลองดู ผมวางเหล้าไว้ที่โต๊ะนั่นแล้วนะ ปู่ก็ดื่มให้มันน้อยๆ หน่อยล่ะ”
ฟางจิ่งจือเอนกายพิงตั่ง “ไม่ต้องรีบ วิเคราะห์อาหารเมนูที่สองออกมาหรือยัง”
ซ่งจื่อเซวียนชะงัก “หา น้ำแกงเกล็ดปลาทองห้าสาย…ปู่ก็ชิมไปแล้วนี่”
ได้ยินดังนั้น ฟางจิ่งจือก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย “ชิมไปแล้วเหรอ ทำไมฉัน…ถึงจำไม่ได้ล่ะ”
ซ่งจื่อเซวียนส่ายหน้าอย่างจนใจ ดูท่าปู่จะอายุมากแล้วจริงๆ เริ่มขี้หลงขี้ลืมแล้ว
“หลานเอ๊ย เครื่องครัวที่ดีต้องคู่กับกล่องหรือกระเป๋าดีๆ นะ อย่าทำให้เสียซะล่ะ”
“รู้แล้วครับปู่”
กลับถึงบ้าน ซ่งจื่อเซวียนปรี่ไปหยิบเนื้อมาชิ้นหนึ่ง จับมีดค่อยๆ ขยับเข้าไปใกล้ ตอนนี้เองก็รู้สึกตื่นเต้น
เขาเชื่อว่ามีดเหล็กเล่มนี้เป็นของจริง และเชื่อว่าถ้าได้แตะเนื้อจริงๆ ก็หั่นเนื้อออกมาเป็นชิ้นได้ แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้น ในใจก็ยังรู้สึกตื่นเต้นอยู่ดี เพราะเขาไม่เคยเห็นมีดที่คมขนาดนี้มาก่อน
อย่างที่หวังเฉิงยงพูด มีดทำอาหารในยุคนี้ หากทำมีดออกมาบางขนาดนี้ เหล็กนั่นคงใช้ได้ไม่กี่ครั้งก็พังแน่นอน แต่เหล็กเช่นนี้ไม่เหมือนกัน งานฝีมือแบบดั้งเดิมก็ไม่เหมือนกัน มีเพียงเอาทั้งสองอย่างนี้มารวมกันถึงจะทำคมมีดที่คมขนาดนี้ออกมาได้
ก็เหมือนกับเครื่องครัวที่ขายอยู่มากมายในตอนนี้ มีดทำอาหารอะไรที่พิถีพิถันที่สุดล่ะ แน่นอนว่าเป็นการตีเหล็กขึ้นรูปแบบโบราณอยู่แล้ว แต่การตีเหล็กขึ้นรูปแบบโบราณทั้งหมดส่วนใหญ่จะหายสาบสูญไปแล้ว เป็นแค่ลูกเล่นการขายเท่านั้น
ทันทีที่คมมีดสัมผัสกับพื้นผิวของเนื้อ ซ่งจื่อเซวียนก็รู้สึกว่ามือสั่นเล็กน้อย ทว่าเมื่อเห็นเนื้อที่ถูกผ่าแยกออกมาแล้ว ซ่งจื่อเซวียนก็เบิกตากว้างทันที
เขาแทบจะไม่ได้ออกแรงเลย ทันทีที่กดตัวมีดลงไป เนื้อก็ถูกหั่นเป็นสองท่อนแล้ว
น่าอัศจรรย์เกินไปแล้ว…
ซ่งจื่อเซวียนแทบไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง แม้ว่าเขาจะรู้ว่ามีอยู่จริง แต่ในใจกลับซาบซึ้งกับเทคนิคการตีเหล็กขึ้นรูปสมัยโบราณของจีนแผ่นดินใหญ่อย่างสุดซึ้ง และได้ค้นพบคุณสมบัติของวัสดุหายากประเภทนี้
“โธ่ ดึกขนาดนี้แล้วแกยังไม่นอนอีก มัวแต่ทำอะไรอยู่เนี่ย” หานหรงเดินเข้ามาในห้องครัว
“ฮะ? แม่ ไม่มีอะไร ลูก…หั่นเนื้ออยู่”
“หั่นเนื้อเหรอ แกจะหั่นเนื้อทำไม ปัดโธ่ แถมยังหั่นเป็นสองท่อนอีก เนื้อนี่ไม่ได้หั่นแบบนี้สักหน่อย แกต้องหั่นตามลายเนื้อสิ”
หานหรงพูดพลางเดินเข้าไปใกล้เอาเนื้อเก็บ
ซ่งจื่อเซวียนแอบยิ้ม เขาจะไม่รู้ได้ยังไงว่าต้องหั่นตามลายเนื้อ เขาตั้งใจหั่นขวางเพราะอยากจะดูความคมของเหล็กต่างหาก คิดไม่ถึงว่า เส้นใยเนื้อพวกนี้แทบจะไม่ได้เป็นอุปสรรคกับความคมของมีดเลย
“ครับ ลูกไม่กวนแม่แล้ว ลูกไปนอนละ!”
ระหว่างที่นอนบนเตียง ซ่งจื่อเซวียนก็กำลังคิดทบทวน ที่จริงตนเองก็ไม่ได้ใช้เครื่องครัวพวกนี้ทุกวัน เพราะเครื่องครัวของร้านก็มีพอใช้อยู่แล้ว ตนต้องหากล่องดีๆ มาเก็บสักหน่อย
โดยเฉพาะมีดเล่มนี้ อย่างที่ตาเฒ่าฟางพูด เขาควรจะทำที่เก็บมีดสักอัน อีกทั้งมีดดีๆ ต้องถนอมไว้ จะใช้กระดาษห่อไว้แบบนี้ตลอดย่อมใช้ไม่ได้แน่นอน
วันรุ่งขึ้นตอนที่ซ่งจื่อเซวียนมาถึงร้านอาหารร่ำรวย กลับรู้สึกแปลกใจอยู่บ้าง คิดไม่ถึงว่าซางเทียนซั่วก็อยู่ด้วย
ต้องรู้ว่าหมอนี่แทบจะไม่เคยมาถึงก่อนเลย ซ่งจื่อเซวียนเดินเข้ามาในร้านก็เอ่ยถามว่า “เทียนซั่ว ทำไมวันนี้นายมาเร็วจัง นี่เพิ่งจะกี่โมงเอง”
“แหะๆ อาจารย์พูดแบบนี้อย่างกับผมไม่มีการเปลี่ยนแปลงเท่าไรเลยนะ” ซางเทียนซั่วเดินยิ้มแย้มมา ทั้งยังยกถ้วยชาร้อนมาด้วย “อาจารย์จิบชาก่อน กินอาหารเช้ามาแล้วใช่ไหม แก้เลี่ยนหน่อย”
เห็นดังนั้น ซ่งจื่อเซวียนก็ชะงัก เขามองฟางรุ่ยข้างๆ แวบหนึ่ง ฟางรุ่ยก็สับสน ซางเทียนซั่วคนนี้เป็นอะไรไป จู่ๆ ถึงเอาใจใส่แบบนี้
ซ่งจื่อเซวียนนึกอะไรได้ทันที ถ้าไม่ใช่ซางเทียนซั่วอยากให้ตนทำอะไรให้ก็ต้องก่อเรื่องอะไรไว้…
“เทียนซั่ว พูดมาเถอะ เรื่องอะไร”
ซ่งจื่อเซวียนนั่งลงที่โต๊ะ จิบชาแล้วพูด
“เอ่อ…เรื่องอะไรล่ะ ไม่มีอะไร แหะๆ จริงสิอาจารย์ ผมจำได้…ก่อนหน้านี้อาจารย์เคยพูดกับเสี่ยปาว่าร้านเรายังขาดผู้จัดการคนหนึ่งใช่ไหม” ซางเทียนซั่วถาม
ซ่งจื่อเซวียนอดขมวดคิ้วไม่ได้ “ผู้จัดการ? ทำไมล่ะ นายมีเพื่อนอยากแนะนำเหรอ แต่ตอนนี้เราก็ไม่ได้รีบรับสมัครนะ ยังไงฉันก็ยังอยู่”
“ฮะ ไม่ ไม่มีหรอก ผมทำเรื่องไม่ยุติธรรมอย่างนั้นไม่ได้หรอก แหะ เรื่องนี้เราต้องเลือกคนที่เหมาะสมที่สุดถึงจะดี”
ซ่งจื่อเซวียนได้ยินก็สูดลมหายใจ ตกลงว่าวันนี้ซางเทียนซั่วเป็นอะไรกันแน่ พูดจาแปลกจริงๆ
ขณะที่กำลังคุยกันอยู่นั้น หลัวลี่ลี่ก็เดินเข้ามาในร้าน พอเข้ามาก็เจอเข้ากับซ่งจื่อเซวียน
“เชฟซ่ง อ้อ ไม่สิ ควรต้องเป็นเถ้าแก่สินะ” หลัวลี่ลี่พูดทักทายก่อน
ซ่งจื่อเซวียนมองหลัวลี่ลี่ แล้วมองซางเทียนซั่ว ใบหน้าซางเทียนซั่วก็แดงทันที รีบหันหน้าหนีไม่สบตากับซ่งจื่อเซวียน
“อ้อ…ฉันเข้าใจแล้ว ซางเทียนซั่ว นี่นายจะให้ฉันรับหลัวลี่ลี่เข้าทำงานใช่ไหม”
“อา อาจารย์ ผมไม่ได้มีเจตนาแอบแฝงนะ แค่คิดว่าอาจารย์ทั้งทำข้าวผัดทั้งดูร้านมันเหนื่อยเกินไป หลัวลี่ลี่เหมาะสมมากเลยนะ รูปร่างหน้าตาดี ยืนอยู่ในโถงด้านหน้าก็ดูดี ฮ่าๆๆ” ซางเทียนซั่วพูดพลางหัวเราะแห้ง
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้า “ดีๆ ดีมาก ดีมากเลยซางเทียนซั่ว นายมาตัดสินใจแทนฉันได้ตอนไหนกัน ฉันบอกว่าจะรับคนเหรอ ร้านนี่คำพูดฉันเป็นคำขาดหรือคำพูดนายเป็นคำขาดกันแน่”
พอได้ยินคำพูดนี้ ซางเทียนซั่วกับหลัวลี่ลี่ก็ชะงัก สำหรับหลัวลี่ลี่ เหมือนว่าจะไม่ได้งานแล้ว ส่วนซางเทียนซั่วก็กลัวอาจารย์โกรธล้วนๆ เลย
ความสัมพันธ์ระหว่างสองคนศิษย์อาจารย์ไม่ใช่แค่วันสองวัน ความรู้สึกก็เพิ่มพูนขึ้นแล้ว เห็นซ่งจื่อเซวียนโกรธ ซางเทียนซั่วก็ยังกลัวจริงๆ
“อาจารย์ ผม…”
“นายกล้าพูดกับฉันไหมว่าไม่ใช่เพราะลี่ลี่น่ะ ถ้าเป็นคนอื่นนายก็รับเหรอ” ซ่งจื่อเซวียนพูดกลั้นยิ้ม
“ผม…” ซางเทียนซั่วไม่รู้จะตอบอย่างไรไปชั่วขณะ
หลัวลี่ลี่เห็นก็พูดอึกอัก “เถ้าแก่ซ่งก็อย่าด่าเทียนซั่วเลยค่ะ ฉันผิดเอง ทำให้คุณลำบากแล้ว”
พูดจบ หลัวลี่ลี่ก็โค้งคำนับ หันหลังเดินไป
“เดี๋ยว!”
ซ่งจื่อเซวียนพูดพลางลุกขึ้นเดินไปหาหลัวลี่ลี่ “อยากสมัครก็ต้องสมัครกับฉันสิ เรากำลังขาดเคาน์เตอร์ต้อนรับคนหนึ่งอยู่พอดี ฉันคิดว่า…เหมาะกับลี่ลี่นะ”
“หา เถ้าแก่พูดจริงเหรอคะ” หลัวลี่ลี่ถาม
ซ่งจื่อเซวียนยิ้ม “เธออย่าเรียกฉันว่าเถ้าแก่ก็พอ ไม่คุ้นหูเท่าไรน่ะ”
“หา? ไม่เรียกเถ้าแก่เหรอ งั้น…จะเรียกว่าอะไรล่ะ”
ซ่งจื่อเซวียนยิ้ม ยังไม่ได้เอ่ยปาก ซางเทียนซั่วก็รีบพูดว่า “เรียกอาจารย์สิ ฉันเรียกอาจารย์ เธอก็ต้องเรียกตามสิ”
พูดประโยคนี้จบ คนในร้านก็ล้วนงุนงง ไม่รู้ว่าซางเทียนซั่วใจดีมาจากไหน ให้คนเขาเป็นคนในครอบครัวเสียอย่างนั้น…
หลัวลี่ลี่ลำบากใจ ไม่กล้าเอ่ยปาก หยางกังที่อยู่ใกล้ๆ ก็เอ่ยว่า “นายท่านรอง ให้เธอเรียกนายท่านรองเหมือนพวกเราไม่ได้เหรอ”
“ฮะ นายท่านรองเหรอ”
ซ่งจื่อเซวียนพูด “เอ่อ…อย่าเลย ลี่ลี่เป็นเด็กผู้หญิงนะ เรียกแบบนี้น่าเกลียดแย่”
“ฮ่าๆ ไม่น่าเกลียดหรอก นายท่านรอง ยิ่งใหญ่ดีนะ อย่างกับนายท่านรองกวน[1]แน่ะ จากนี้ฉันจะเรียกอย่างนี้แหละ!”
เห็นซ่งจื่อเซวียนกระอักกระอ่วนเล็กน้อย คนอื่นๆ กลับยิ้มออกมา โดยเฉพาะซางเทียนซั่ว สามารถรั้งให้หลัวลี่ลี่อยู่ที่นี่ได้ เขาก็แอบดีใจอยู่ลึกๆ
……………..
หอหงเยวี่ย ศาลาโบตั๋น
เถียนเหวินคุ่ยนั่งอยู่ที่โต๊ะขยับชุดน้ำชาไปมา วันนี้เขาเป็นคนจองห้องส่วนตัว ไม่ได้จำเป็นต้องใช้ไฉ่อวิ๋นเฟยเหมือนกับหวงฟา จึงใช้แค่ศาลาโบตั๋นก็พอแล้ว
เพิ่งจะรินชาเสร็จ ก็เห็นหลี่ม่านหงเปิดประตูห้องส่วนตัว ขณะเดียวกันข้างกายยังมีชายวัยกลางคนอีกคนตามมาด้วย
ชายวัยกลางคนบุคลิกไม่ธรรมดา สวมกางเกงสแล็คสีเทาและสูทสีอ่อน ขนาดค่อนข้างใหญ่ เห็นได้ชัดว่าค่อนข้างหลวมและสบายๆ
“คุณเถียน รองประธานเฉิงมาแล้วค่ะ”
เถียนเหวินคุ่ยรีบลุกขึ้นไปต้อนรับ ยื่นสองมือไปจับ “พี่เฉิง ไม่เจอกันนานเลยนะครับ มาๆ เรามานั่งคุยกัน”
“เหวินคุ่ยหนอ นายก็เกรงใจไปแล้ว เราเป็นเพื่อนสมัยเรียนกันทั้งนั้น จัดใหญ่แบบนี้ทำไมกัน มีเรื่องอะไรเราคุยกันที่ห้องทำงานก็ได้นี่” รองประธานเฉิงพูด
คนคนนี้ก็คือเฉิงเทียนเย่า รองประธานกรรมการและรองประธานสมาคมอาหารเมืองตู้เหมิน และเคยเป็นเพื่อนสมัยเรียนมหาวิทยาลัยตู้เหมินของเถียนเหวินคุ่ย
เถียนเหวินคุ่ยยิ้มพูด “จะทำอย่างนั้นได้ยังไง ผมไม่กล้าสร้างปัญหาให้พี่หรอก เหอะๆ เอ่อ คนคนนี้คือ…”
คนที่เดินเข้ามาพร้อมกับเฉิงเทียนเย่ายังมีชายหนุ่มอีกคนหนึ่ง ดูแล้วอายุยี่สิบกว่าปี สวมเบลเซอร์สีอ่อน ดูมีชีวิตชีวามาก
“เหอะๆ นี่คือลูกบุญธรรมของฉันเอง เมื่อกี้มาคุยธุระกับฉันพอดี เลยพามาด้วยน่ะ ไม่รบกวนเหวินคุ่ยใช่ไหม”
“ไม่ๆๆ ไม่รบกวนอยู่แล้ว ดูมีความสามารถนะเนี่ย”
ชายหนุ่มคนนั้นยิ้มเล็กน้อย เสนอตัวยื่นมือไปจับก่อน “ได้ยินชื่อเสียงคุณเถียนมานานแล้ว ผมชื่อหลี่เจียหาวครับ!”
…………………………………………….
[1] นายท่านรองกวน (关二爷) หมายถึงกวนอู