เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 158 ตาแก่คนนี้เจ้าเล่ห์จริงๆ
ตอนที่ 158 ตาแก่คนนี้เจ้าเล่ห์จริงๆ
สาเหตุที่กู่เสี่ยวเป่าพูดแบบนี้ก็มีเหตุผล ในใจของเขา เขามองซ่งจื่อเซวียนเป็นเพื่อนจริงๆ
ที่เขาสนิทกับซ่งจื่อเซวียนเป็นเพราะซ่งจื่อเซวียนช่วยพาเขาไปซ่อนในร้านอาหารชุนเซียง หลังจากนั้นพวกเขาได้เจอกันอีกสองสามครั้งจึงกลายเป็นเพื่อนกัน
ต้องรู้ไว้ว่าไม่ว่าจะเป็นซ่งจื่อเซวียนหรือกู่เสี่ยวเป่า ก็ไม่ค่อยมีเพื่อนกันทั้งคู่ ดังนั้นการทะนุถนอมกันและกันเช่นนี้จึงไม่ใช่สิ่งจอมปลอม
ต่อมาภายหลังเขาจึงช่วยซ่งจื่อเซวียนสองสามครั้ง แต่ท่าทีที่ซ่งจื่อเซวียนมีต่อตาเฒ่าเจ้าเล่ห์แก๊งขอทานทำให้กู่เสี่ยวเป่ารู้สึกประทับใจ เขาจึงแอบตัดสินใจว่า หากซ่งจื่อเซวียนเจอปัญหา แก๊งขอทานจะยื่นมือเข้ามาช่วยแน่นอน
ขณะที่พวกเขากำลังกินข้าว ซ่งจื่อเซวียนพลันเงยหน้าขึ้นมา นึกอะไรออกกะทันหัน
เขาเกือบลืมว่าตอนเย็นวันนี้นัดหวังเฉิงยงว่าจะไปดูเครื่องถมปัดลงยาฝ้าหลางลายตังกวยด้วยกัน พอดูนาฬิกาก็เป็นเวลาหกโมงเย็นแล้ว คาดว่านั่งรถแท็กซี่กลับไปถึงก็ประมาณหนึ่งทุ่มกว่าแล้ว ไม่รู้ว่าจะยังทันไหม
พอนึกถึงตรงนี้ จู่ๆ เขาก็ลุกขึ้นแล้วเอ่ยว่า “เสี่ยวเป่า ฉันเพิ่งนึกออกว่ามีธุระสำคัญมากอยู่ ฉันรับปากเขาไว้แล้ว พวกนายค่อยๆ กินกันไปนะ ฉันขอตัวก่อน”
“ได้เลย พี่รอง ไปทำธุระตามสบายเลย ถ้ามีโอกาสพวกเราค่อยคุยกันใหม่!” กู่เสี่ยวเป่ายิ้มให้
“อาจารย์ ผมจะไปเป็นเพื่อน!”
“ไม่ต้องหรอก นายอยู่เป็นเพื่อนเสี่ยวเป่าเถอะ ฉันนั่งรถแท็กซี่ไปก็ได้แล้ว!”
พูดจบ ซ่งจื่อเซวียนจึงวิ่งออกจากร้านอาหาร เรียกรถแท็กซี่แล้วมุ่งตรงไปยังบ้านของหวังเฉิงยง
หลังจากซ่งจื่อเซวียนออกไป กู่เสี่ยวเป่าจึงพูดว่า “หลานชายคนโต ช่วงนี้ปู่กุ่ยมาบ้างหรือเปล่า”
“ปู่กุ่ยเหรอ นายไม่พูดฉันก็เกือบลืมไปเลย ดูเหมือนจะไม่มาสองวันแล้ว”
กู่เสี่ยวเป่าได้ยินแล้วจึงขมวดคิ้วเล็กน้อย “ปู่คนนี้ไปไหนอีกแล้วเนี่ย…อวี่เหวินเซี่ยว กลับไปสั่งคนคอยจับตาดูหน่อย เพราะปู่กุ่ยก็อายุมากแล้ว”
อวี่เหวินเซี่ยวได้ยินแล้วก็หัวเราะอย่างขมขื่น “เสี่ยวเป่า นายก็รู้ ปู่กุ่ยเดินทางไปไหนไม่แน่นอน อีกอย่าง…พี่น้องของเราอยากจะติดตามเขาก็ไม่ใช่เรื่องง่าย”
“ตาแก่คนนี้…จะจับพวกเขามารวมตัวกันก็ยากเกินไปแล้ว ได้ข่าวที่เขตเจียงเป่ยบ้างไหม”
“ได้ข่าวมาอยู่ ตามหาเพ่าเพ่าหลงกับปู่ตาบอดเจอแล้ว บอกว่าถึงเวลาจะมารวมตัวที่ตู้เหมิน” อวี่เหวินเซี่ยวกล่าว
กู่เสี่ยวเป่าพยักหน้า “อย่างนั้นก็ดี อย่าทำให้งานหลักต้องล่าช้าล่ะ”
ได้ยินดังนั้น ซางเทียนซั่วก็หัวเราะออกมาทันที “ฮ่าๆๆๆ เด็กขอทานนายก็ตลกจริง ฉันรู้ว่าพวกนายคือแก๊งขอทาน แต่นอกจากขอทานแล้วยังมีเรื่องสำคัญอะไรอีกล่ะ”
กู่เสี่ยวเป่ากลอกตาใส่เขาหนึ่งที “แก๊งขอทานแล้วทำไม แก๊งขอทานจะมีเรื่องสำคัญไม่ได้หรือไง ขอทานก็คือเรื่องสำคัญ!”
“ครับๆๆ นายพูดถูก มาๆ กินลูกชิ้นหน่อย”
กู่เสี่ยวเป่ายื่นมือหยิบลูกชิ้นมากัดหนึ่งคำ ซางเทียนซั่วพูดด้วยสีหน้ารังเกียจ “พวกเราใส่ชุดสูทแล้ว ยังจะใช้มืออีกเหรอ”
“ฮ่าๆๆ ชินแล้วนี่นา กินกับมือ…อร่อย!”
พอพูดอย่างนี้ ทุกคนต่างก็หัวเราะออกมา
…………………………
ตึกจวี้เฟิง
หวงฟาวางขาสองข้างบนโต๊ะ นั่งอยู่ในห้องทำงาน บุหรี่ในมือมอดไปหมดแล้ว แต่กลับยังหนีบอยู่ตรงกลางระหว่างสองนิ้ว
การพบเจอกันในวันนี้ทำให้เขาช้ำใจเป็นอย่างมาก
ผ่านมาหลายปี เขาอยู่ในเมืองตู้เหมินก็แทบจะได้รับการปฏิบัติดั่งหมู่ดาราร่วมสรรเสริญดวงเดือน[1] วงการใต้ดินเขาคือเสี่ย ในวงการธุรกิจบนดินก็ยังต้องให้เงินค่าน้ำร้อนน้ำชากับเขาเพื่อความสะดวก แม้แต่ภาครัฐก็ยังต้องไว้หน้าเขาเช่นกัน
แต่วันนี้ที่หอหงเยวี่ย เขาถูกเด็กหนุ่มที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวถล่มยับเยิน หลายทศวรรษนี้เขาไม่เคยเจอมาก่อน
“ซ่งจื่อเซวียน…”
เขากัดฟันพูดชื่อของซ่งจื่อเซวียนออกมา ขณะเดียวกันบุหรี่ในมือก็ถูกกำแน่นกลางฝ่ามือ ใช้แรงบดขยี้จนเละ
เขาสูดลมหายใจลึกๆ ลุกขึ้นยืนเดินไปที่ริมหน้าต่าง มองม่านราตรีที่อยู่ข้างนอก
หวงฟาเคยคิดว่าตัวเองต่อสู้มานับสิบปี ยืนอยู่บนจุดสูงสุดในวงการธุรกิจประชาชนในเมืองตู้เหมินแล้ว เขาได้ครอบครองทุกอย่างที่อยู่ตรงหน้าเรียบร้อยแล้ว
แต่วันนี้กลับมีเสียงนาฬิกาเตือนเขา เขายืนอยู่ตรงนี้ แต่กลับไม่รู้ว่าข้างนอกมีเด็กรุ่นหลังมากความสามารถเกิดขึ้นมามากน้อยแค่ไหน เหมือนกับในสายตาของเด็กรุ่นซ่งจื่อเซวียน…ไม่มีตัวเขาอยู่ในสายตาเลยด้วยซ้ำ!
เขาหัวเราะเย็นชาหนึ่งที แอบตัดสินใจอย่างเงียบๆ จะไม่ยอมให้คนแบบนี้อยู่ในตู้เหมินเด็ดขาด!
เสียงเคาะประตูสองสามทีทำให้หวงฟาตกใจ รีบกลับมานั่งเก้าอี้ทันที “เข้ามา!”
“เสี่ยครับ” เถียนเหวินคุ่ยเดินเข้ามาในห้องทำงาน
หวงฟาพยักหน้า “มีอะไร”
“คนพวกนั้นไม่มีประวัติและร่องรอยใดๆ ในเมืองตู้เหมินเลยครับ สืบอะไรไม่ได้เลย ผมคิดว่า…ต้องไปถามหลี่ม่านหง” เถียนเหวินคุ่ยกล่าว
ได้ยินดังนั้น หวงฟาจึงขมวดคิ้วขึ้นมาเล็กน้อย “ถามเธอ…เป็นไปไม่ได้แน่นอน จะไม่มีร่องรอยอะไรได้ยังไง พวกเขาคงไม่ได้มาเมืองตู้เหมินครั้งแรกหรอกมั้ง”
“ผมคิดว่าไม่ใช่ครับ แต่หาเบาะแสอะไรไม่ได้จริงๆ เสี่ยครับ เรื่องนี้…ดูไม่ชอบมาพากล”
หวงฟาพยักหน้า “ใช่แล้ว ครั้งนี้แปลกจริง แต่เห็นได้ชัดว่าคนพวกนี้ไม่ธรรมดา แค่ทำบัตรสามแสนหยวนที่ดูไม่น่าจะหยิบออกมาใช้อีกก็เห็นแล้วว่าอิทธิพลของพวกเขาไม่ธรรมดาจริงๆ”
หวงฟาเข้าใจดี คนที่สามารถหยิบเงินสามแสนหยวนออกมาใช้ได้มีเยอะแยะ แต่คนที่สามารถใช้เงินสามแสนหยวนเพื่อจัดงานเลี้ยงแค่ครั้งเดียว กลับมีน้อยนิด
ในมุมมองของขา อย่างน้อยตัวเองที่ครอบครองทรัพย์สินหลักร้อนล้าน ก็ไม่มีทางทำเรื่องแบบนี้
“เสี่ยครับ ถ้างั้นที่ร้านอาหารร่ำรวย…”
ได้ยินเถียนเหวินคุ่ยถาม หวงฟาจึงเงียบไปครู่หนึ่ง
อันที่จริงสำหรับเขาเล่นงานร้านอาหารร่ำรวยไปใช่ว่าจะเป็นเรื่องดี อย่างแรกเขตเฉิงตงมีเฉิงปาคอยคุมอยู่ ถึงแม้อำนาจของอีกฝ่ายไม่สามารถเทียบกับตัวเองได้เลย แต่การสร้างศัตรูขึ้นมาหนึ่งคน ไม่ใช่ความต้องการของหวงฟา
อีกอย่างก็เท่ากับว่าจะต้องแตกหักกับซ่งจื่อเซวียนโดยตรง ในอนาคตถ้าเขาอยากจะได้สูตรข้าวผัดจักรพรรดิมาก็มีแต่ต้องใช้ไม้แข็งเท่านั้น
การพบเจอกับซ่งจื่อเซวียนในวันนี้ หวงฟามั่นใจแล้ว ในเมืองตู้เหมิน เขากับเด็กหนุ่มคนนี้ถูกกำหนดให้อยู่ด้วยกันอย่างสงบสุขไม่ได้ หรือไม่เขาก็ต้องหลับตาแสร้งทำเป็นไม่เห็น หรือไม่ก็…ต้องสู้กันให้ตายไปข้างหนึ่ง
ตามหลักแล้วเด็กรุ่นหลังไม่ควรทำให้เขามีความคิดเช่นนี้ กระทั่งไม่มีสิทธิ์มาโต้เถียงกับเขา แต่การเจอหน้าในวันนี้…ทำให้เขาไม่คิดแบบนี้แล้ว
“เหวินคุ่ย ฉันอยากฟังความคิดของนาย” หวงฟาเอ่ย ขณะเดียวกันก็หยิบบุหรี่ออกมาสองมวน ยื่นหนึ่งมวนให้เถียนเหวินคุ่ย
เถียนเหวินคุ่ยจุดบุหรี่แล้วสูบหนึ่งที เอ่ยว่า “เสี่ยครับ ผมคิดว่า…ตอนนี้ไม่เหมาะที่จะจัดการร้านอาหารร่ำรวย”
“พูดต่อสิ”
“ยุคสมัยเปลี่ยนไป ในยุคของพวกเรา ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ใช้กำปั้นแก้ปัญหาได้ แต่เดี๋ยวนี้…ถึงแม้ในเมืองตู้เหมินพวกเราจะสะดวกสบายหลายอย่าง แต่ถ้าเกิดปัญหาหลักการ จะรับมือได้ยาก” เถียนเหวินคุ่ยกล่าว
หวงฟาเข้าใจว่ารับมือยากนั้นมีความหมายว่าอย่างไร อันที่จริงสำหรับคนอย่างพวกเขา หากทำเรื่องผิดไป ก็อาจจะไม่ถึงขั้นโดนตัดสินโทษหนักที่สุด แต่การเสียทรัพย์สินนั้นเป็นเรื่องที่แน่นอน
หากคุณไม่จ่ายเงินหนักเพื่อไกล่เกลี่ย เช่นนั้นไม่ว่าคุณจะเป็นใคร แน่นอนว่ารอดได้ยาก
ทว่าในยุคนี้ทุกคนออกมาทำงานเพราะเงิน แล้วใครจะยอมเสียเงินบ้างกัน
“พูดต่อ” หวงฟากล่าว
“นี่เป็นเพียงด้านเดียวเท่านั้น และทางเฉิงปา…เสี่ยครับ พวกเราจำเป็นต้องเป็นศัตรูกับเขาจริงๆ ใช่ไหม พวกเราก็มีธุรกิจที่เขตเฉิงตง ถ้าต้อง…เฮ้อ ผมรู้สึกว่าไม่จำเป็นครับ”
หวงฟาพยักหน้า “ฉันก็รู้ ที่จริงเฉิงปา…ก็ถือว่าเกรงใจฉันอยู่เหมือนกัน แต่ครั้งนี้เขาอยู่ข้างซ่งจื่อเซวียน…นายเคยคิดไหมว่าเพราะอะไร”
“เพราะเงินครับ เสี่ย ทุกคนออกมาทำงานเพื่อหาเงินกันทั้งนั้น ผมเชื่อว่าเฉิงปาไม่ได้ตั้งใจอยากเป็นปรปักษ์กับคุณ ลองคิดดู ถ้าพวกเรามีโอกาสได้ร่วมงานกับซ่งจื่อเซวียน เสี่ยจะปฏิเสธไหมครับ”
หวงฟาลองครุ่นคิด “เมื่อก่อนอาจจะใช่ แต่ตอนนี้ไม่แล้ว…”
“เหอะๆ เพราะคุณเคยเจอซ่งจื่อเซวียนแล้วไงครับ และพอเข้าใจอยู่บ้าง เสี่ย เด็กหนุ่มคนนี้ไม่ธรรมดา ถ้าหาก…พวกเราได้เป็นเพื่อน เป็นไปได้มากว่าในอนาคตจะมีโอกาสได้ร่วมงานกัน”
“ร่วมงานงั้นเหรอ เหอะๆ เป็นไปไม่ได้ จุดนี้ฉันมั่นใจมาก” หวงฟาเงยหน้าพูด “ฉันตัดสินใจแล้ว ภายในสามวันต้องทำให้ร้านอาหารร่ำรวยปิดร้านให้ได้ ครั้งนี้ถ้าฉันไม่แสดงอำนาจ ถือว่าฉันเสียชาติเกิดที่อยู่ในเมืองตู้เหมินแล้ว!”
ได้ยินดังนั้น เถียนเหวินคุ่ยยังอยากจะพูดอะไรอีก แต่อึกๆ อักๆ และไม่พูดออกมา เขารู้จักหวงฟาดี ไม่ว่าหวงฟาจะขอคำแนะนำจากเขามากแค่ไหน สุดท้ายก็จะตัดสินใจด้วยความคิดของตัวเอง ยากที่จะเปลี่ยนแปลง
ดังนั้น สุดท้ายเขาจึงได้แต่พยักหน้า
…
รถจอดที่หน้าปากซอย ซ่งจื่อเซวียนลงจากรถแล้ววิ่งตรงไปยังบ้านของหวังเฉิงยง
พอเคาะประตูบ้าน ก็พบว่าไม่ได้ล็อกประตู ซ่งจื่อเซวียนจึงโล่งอก แสดงว่าตาเฒ่าหวังยังไม่ออกจากบ้าน
เป็นดังคาด ตอนนี้หวังเฉิงยงกำลังนั่งดื่มเหล้าอยู่ในห้องนั่งเล่น ไม่ต่างจากที่ซ่งจื่อเซวียนคาดการณ์ไว้ ถ้าตาแก่คนนี้ยังไม่ออกจากบ้าน ก็ต้องนั่งดื่มเหล้าอยู่แน่นอน
“แหะ ไม่สายไปใช่ไหมครับ ไปกันเถอะ” ซ่งจื่อเซวียนพูดหายใจหอบใหญ่
“จะไปไหนล่ะ นี่มันกี่โมงแล้ว นายดูข้างนอกก่อน ฟ้ามืดหมดแล้ว”
ซ่งจื่อเซวียนยิ้มแห้ง “คุณอายุเยอะขนาดนี้ยังจะขี้โมโหอีกนะ ไปกันเถอะ”
“ไปไหนล่ะ” หวังเฉิงยงพูดพลางจิบเหล้า
“ไปเอาของนั่นไง เครื่องถมปัดลงยาฝ้าหลางลายตังกวยใช่ไหม” ซ่งจื่อเซวียนพูดด้วยสีหน้างุนงง
“อ้อ…อ้อ…นายไม่พูดฉันคงลืมไปแล้ว” ขณะพูด หวังเฉิงยงก็ลุกขึ้น หยิบเสื้อคลุมผ้าฝ้ายสีดำที่สกปรกและมีรอยปะของตัวเองขึ้นมาสวมใส่ “ไปกันเถอะๆ จะพานายไปดู”
ซ่งจื่อเซวียนแอบกลอกตาใส่หนึ่งที เขาไม่เชื่อว่าหวังเฉิงยงจะลืมจริงๆ ตอนนี้กำลังเสแสร้งใส่ตัวเองแน่นอน
พอเดินออกจากลานบ้าน หวังเฉิงยงไม่ลืมที่จะล็อกกุญแจอย่างดี หมุนตัวมาแล้วพูดว่า “ฉันจะบอกนายให้นะ วันนี้จะให้นายเห็นของดี เดี๋ยวนี้ของพวกนี้มีไม่น้อย แต่ของจริงนั้น…มีน้อยมาก”
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้า “แน่นอนอยู่แล้ว รู้สึกเสียดายจริงๆ อ้อใช่ พวกเราจะไปไหนกัน”
“ไปเอาเครื่องถมปัดไง” หวังเฉิงยงเอ่ยยิ้มๆ
“ไร้สาระ ผมยังไม่รู้เลยว่าอยู่ที่ไหน”
หวังเฉิงยงมองพิจารณาซ่งจื่อเซวียน “ไม่ต้องถาม ไปแล้วก็จะรู้เอง”
“ไปยังไงล่ะ ถึงจะนั่งรถแท็กซี่ก็ต้องบอกเขาว่าไปที่ไหนนะ” ซ่งจื่อเซวียนเอ่ย
หวังเฉิงยงหัวเราะ “ไม่ต้องหรอก ไม่ไกล เดินไปก็ได้!”
ซ่งจื่อเซวียนจึงไม่ถามอะไรอีก ได้แต่เดินตามหวังเฉิงยงออกจากในซอย และพลันเดินไปอีกทางหนึ่ง
เดินประมาณยี่สิบนาที ทั้งสองคนก็มาถึงตึกแถวด้านข้างย่านเก่า หวังเฉิงยงชี้ไปหน้าประตูที่อยู่ไม่ไกล แล้วเอ่ยว่า “เอาล่ะถึงแล้ว วันนี้นายเลี้ยงอาหารตะวันตกฉัน แล้วฉันจะให้นายดูเครื่องถมปัดลายตังกวย โอเคไหม”
ซ่งจื่อเซวียนมองชื่อร้านอาหารตะวันตก ร้านอาหารตะวันตกเอมโอช ด้านข้างยังเขียนไว้ว่าเป็นร้านอาหารเก่าแก่อายุร้อยปี…
แม่งมีคำว่าหวนตรงไหนกัน
ซ่งจื่อเซวียนตระหนักได้ในทันใด แม่งเอ๊ย ตาแก่คนนี้เจ้าเล่ห์จริงๆ สงสัยตอนนั้นจะจงใจพูดผิด ทำให้ฉันต้องวิ่งไปเขตเฉิงซีเสียเวลาไปเปล่าๆ…
………………………………………
[1] หมู่ดาราร่วมสรรเสริญดวงเดือน หมายถึง ผู้คนมากมายร่วมกันสรรเสริญบุคคลที่ตัวเองเคารพนับถือ