เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 157 แก๊งอันดับหนึ่งในใต้หล้า
ตอนที่ 157 แก๊งอันดับหนึ่งในใต้หล้า
ซ่งจื่อเซวียนแอบหัวเราะ กู่เสี่ยวเป่าพูดปากไม่มีหูรูด แต่ต่อให้เขารู้ว่าคนที่อยู่ในนี้ล้วนเป็นคนมีอิทธิพลในตู้เหมิน เกรงว่าก็คงจะไม่สนใจ เด็กขอทานคนหนึ่งจะต้องกลัวอะไรล่ะ
“ไม่มีอะไร ฉันกับพวกเพื่อนมานั่งคุยกัน แต่คุยเสร็จแล้ว พวกเราไปกันเถอะ”
“ได้เลย ไปกินข้าวที่ร้านของพี่ดีกว่า กำลังหิวพอดี”
“ไม่มีปัญหา”
จากนั้น พวกเขาจึงเดินออกจากศาลาโบตั๋น อันที่จริงสำหรับซ่งจื่อเซวียนแล้วนับว่าเป็นเรื่องดี ได้จังหวะเดินออกมาพอดี ไม่อย่างนั้นคงต้องยืนประจันหน้ากับเสี่ยหวงอยู่ตรงนั้น ยากที่จะปลีกตัวออกมา
หลี่ม่านหงมองกลุ่มคนที่เดินออกไป เธอแอบโล่งใจ อย่างไรเธอก็ไม่อยากให้คนพวกนี้ก่อเรื่องอะไรในหอหงเยวี่ยของเธอ
“เสี่ยหวง พวกเราย้ายไปไฉ่อวิ๋นเฟยกันไหมคะ” หลี่ม่านหงเอ่ย
“ไม่ต้องแล้ว ดื่มน้ำชาเสร็จก็จะกลับแล้ว!”
หวงฟาพูดพลางเดินกลับมาที่โซฟา เขายังไม่กลับ เคอหงเทา เสี่ยเจียงก็ไม่กล้ากลับ แต่วันนี้หวงฟาสั่งสอนไม่สำเร็จ ไม่เพียงเท่านั้น ยังเสียหน้าต่อเสี่ยพวกนี้อีกด้วย
“เจ๊หง คนพวกนั้นไม่คุ้นหน้าเลย เป็นใครกันแน่ ไม่ได้อยู่ในพื้นที่ตู้เหมินใช่ไหม” หวงฟาดื่มน้ำชาพลางเอ่ยถาม
หลี่ม่านหงตอนนี้นั่งลงอย่างไม่ลนลาน “ที่จริงฉันก็ไม่แน่ใจค่ะ แต่…น่าจะมีประวัติไม่ธรรมดา”
“ไม่ธรรมดางั้นเหรอ เหอะๆ ไม่ธรรมดาแค่ไหน คนแบบไหนบ้างที่เธอไม่เคยเจอ คนที่ทำให้เจ๊หงพูดประโยคนี้ออกมา…มีไม่เยอะจริงๆ”
หลี่ม่านหงพยักหน้า “ก็จริงค่ะ แต่คนพวกนี้แค่มองก็รู้ว่าไม่ธรรมดา อีกอย่างค่าใช้จ่ายห้องส่วนตัวของไฉ่อวิ๋นเฟยคือหนึ่งหมื่นหยวน ค่าน้ำค่าเหล้าคิดต่างหาก คุณอวี่เหวินเมื่อครู่ตอนที่จองห้องก็ทำบัตรสมาชิกสามแสนหยวนหนึ่งใบ ในหอหงเยวี่ยของเราเจอได้ไม่บ่อยเลยค่ะ”
ได้ยินดังนั้น หวงฟาจึงขมวดคิ้วเล็กน้อย เป็นอย่างที่หลี่ม่านหงพูดจริงๆ เติมเงินในบัตรสมาชิกสามแสนหยวนรวดเดียว เจอได้ไม่บ่อยจริงๆ
คนที่มาหอหงเยวี่ยจำเป็นต้องมีบัตรสมาชิกก็จริงอยู่ ถึงแม้ผู้นำหลายคนในเมืองนี้จะไม่มีบัตรสมาชิก แต่ลูกน้องของเขาจะต้องทำไว้สักหนึ่งใบแน่นอน ไม่อย่างนั้นคงไม่สามารถเข้ามาใช้จ่ายในหอหงเยวี่ยได้
แต่บัตรสมาชิกของหอหงเยวี่ยแบ่งเป็นสี่ระดับ ห้าหมื่นหยวน หนึ่งแสนหยวน สองแสนหยวนและสามแสนหยวน ที่ขายออกมากที่สุดคือห้าหมื่นหยวน ใช้หมดแล้วค่อยเติมเงิน คนทั่วไปจะไม่ฝากเงินมากมายขนาดนั้นในหอหงเยวี่ย
ตัวหวงฟาก็เช่นกัน บัตรห้าหมื่นหยวนหนึ่งใบใช้นานสองสามปี อีกอย่างเป็นเพราะหลี่ม่านหงชอบให้เขากินฟรีและแถมเป็นประจำ
ในความทรงจำของหวงฟา คนที่ทำบัตรสมาชิกสามแสนหยวนครั้งก่อนคือนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ เป็นเพราะตอนนั้นอยากได้ที่ดินผืนหนึ่ง เขาจึงทำบัตรให้ผู้ช่วยของรองนายกเทศมนตรี แต่คนอื่น…กลับไม่เคยได้ยินมาก่อน
“สามแสนหยวน เหอะๆ กะว่าจะมาใช้บริการบ่อยๆ ใช่ไหมเนี่ย”
หลี่ม่านหงส่ายหน้า “ดูจะไม่ใช่นะคะ พวกเขาสั่งแต่ชา เหล้าและการบริการที่แพงที่สุด วันนี้ตอนบ่ายใช้เงินไปแล้วแปดหมื่นกว่าหยวน เพราะงั้นฉันรู้สึกว่าพวกเขาไม่ธรรมดาจริงๆ ค่ะ”
“ใช้เงินเยอะขนาดนี้…พวกเขาเลี้ยงพวกผู้นำเหรอ”
“เปล่าค่ะ คนของทั้งสองฝ่ายที่มาเจอหน้ากันฉันไม่รู้จักเลย แต่แปลกอย่างหนึ่ง คุณอวี่เหวินแค่จัดการเท่านั้น ไม่ใช่คนรับผิดชอบหลัก คนรับผิดชอบหลักตัวจริงคือเด็กที่ใส่สูทเมื่อกี้นี้”
พอพูดจบ พวกเขาต่างนิ่งอึ้งไป
“เด็กเหรอ เด็กที่พูดจาไม่มีหูรูดคนเมื่อกี้น่ะเหรอ” เถียนเหวินคุ่ยอดถามไม่ได้
“ใช่ค่ะ ส่วนคุณอวี่เหวินแค่ทำตามคำสั่งอย่างเคร่งครัด เด็กคนนั้นก็ไม่ได้แสดงความคิดเห็นอะไร เอาแต่กินขนมดื่มชานมอย่างเดียว แค่กะหรี่ปั๊บนกยวนยางหนึ่งจานราคาเจ็ดร้อยหยวนก็กินไปสามจานแล้ว”
“ฮ่าๆๆ เด็กก็คือเด็ก เจ๊หง เมื่อกี้นี้ตอนที่คนพวกนั้นอยู่ในห้องไฉ่อวิ๋ยเฟย คุณนั่งอยู่ตลอดไหม” เสี่ยเจียงที่อยู่ข้างๆ เอ่ยถาม
“ตอนแรกใช่ค่ะ เพราะลูกค้าใช้จ่ายเงินเยอะ ฉันเลยอยากนั่งอยู่ในห้องส่วนตัวสักครู่ แต่พวกเขาคุยกันได้สักพักคุณอวี่เหวินก็บอกให้ฉันออกไป คาดว่ามีเรื่องสำคัญต้องคุยกัน” หลี่ม่านหงตอบ
หวงฟาขมวดคิ้วเล็กน้อย “ผู้ชายคนนั้นชื่ออวี่เหวินเซี่ยว เถ้าแก่ของเขาเป็นเด็ก ไม่น่าเชื่อว่าเด็กคนนั้นจะรู้จักซ่งจื่อเซวียนเหมือนกัน…แม่งเกี่ยวข้องอะไรกันวะ…”
“เสี่ยครับ เกรงว่าพวกเราต้องสืบเรื่องนี้สักหน่อย” เถียนเหวินคุ่ยเอ่ย
หวงฟาพยักหน้า “ยกเลิกกิจกรรมสองวันนี้ ฉันจะรอข่าวที่บริษัท นายไปสืบให้ชัดเจน รวมทั้งประวัติความเป็นมาของคนพวกนั้นด้วย แล้วก็ความสัมพันธ์ของพวกเขากับซ่งจื่อเซวียน”
“เข้าใจแล้วครับเสี่ย”
พอเดินออกจากหอหงเยวี่ย ซ่งจื่อเซวียนก็หายใจยาวโล่งอก ต้องบอกเลยว่า ภายในศาลาโบตั๋น ทุกประโยคที่เขาเอ่ยออกไปนั้นทำเอาใจสั่นระริก โชคดีที่น่ากลัวแต่ไม่มีอันตราย และตอนนี้ก็ออกมาแล้ว
“อาจารย์ วันนี้สุดยอดมากเลย สุดยอดอย่าบอกใคร ผมโคตรนับถือเลยครับ ถึงขั้นยอมหมอบศิโรราบเลย!” ซางเทียนซั่วเดินไปพลางพูดไปพลาง
“ใช่แล้ว ตอนนายท่านรองอยู่ข้างในเจ๋งมากจริงๆ กล้าพูดกับหวงฟาแบบนั้น คาดว่าในเมืองตู้เหมินตอนนี้คงไม่มีคนที่สองแล้ว” ฟางรุ่ยก็พูดด้วยหนึ่งประโยค
ซ่งจื่อเซวียนมองพวกเขาแต่ละคนหนึ่งที ไม่พูดอะไร อย่างไรก็มีแต่ผีเท่านั้นที่รู้ว่าเขาตื่นเต้นแค่ไหนตอนที่อยู่ข้างใน
อันที่จริงซ่งจื่อเซวียนคิดไว้ก่อนหน้านี้แล้ว ด้วยคุณสมบัติและประสบการณ์ของเขา เมื่อต้องเผชิญหน้ากับหวงฟา นั่นคือเอาไข่ไปทุบหิน ไม่มีคำอื่นนอกจากการอธิบายที่ดูต่ำต้อยนี้แล้ว
ดังนั้นเขาจึงเลือกเป็นลูกวัวแรกเกิดไม่กลัวเสือ ปะทะไปตรงๆ เช่นนี้อย่างน้อยก็ยังพอมีมาดกดขี่อีกฝ่ายได้ก่อน แล้วค่อยพูดในสิ่งที่ตัวเองอยากจะพูด
สำหรับเด็กหนุ่มอายุสิบแปดสิบเก้าปีถือว่ายากเกินไปจริงๆ กระทั่งวินาทีนี้ ในใจของซ่งจื่อเซวียนก็ยังเต้นตึกตักอยู่เลย
แต่สิ่งที่ทำให้เขาแปลกใจคือวันนี้เสี่ยเจียงกับเคอซานก็อยู่ด้วย นับว่าเป็นผลพลอยได้ที่ไม่คาดคิด ต่อหน้าเสี่ยสองคนนี้ ถ้าหากหวงฟาพูดอะไรแล้วไม่อยากยอมรับคงยาก
ด้วยเหตุนี้ เขาจึงยิ่งกล้าเถียงหวงฟาอย่างกำเริบเสิบสาน รวมไปถึงเถียนเหวินคุ่ยที่อยู่ข้างกายเขา เพื่อทำให้พวกเขาทุกคนคิดว่าซ่งจื่อเซวียนขอสู้ตาย
ต้องรู้ไว้ว่า ในวงการใต้ดินนั้น คนใจร้อนกลัวคนที่หยาบคายชอบใช้กำลัง คนที่หยาบคายชอบใช้กำลังกลัวคนสู้ตายไม่เสียดายชีวิต แม้แต่ผิดใจกับหวงฟาซ่งจื่อเซวียนก็ยังไม่กลัว แล้วยังจะกลัวอะไรอีก จึงเป็นการบอกเคอซานกับเสี่ยเจียงไปในตัวว่า ต่อไปถ้าคิดจะหาเรื่องตัวเอง ต้องวางแผนมาล่วงหน้า
พวกเขาเดินมาถึงที่จอดรถ จากนั้นก็เห็นกู่เสี่ยวเป่าเดินตรงไปที่รถอู่หลิงคันนั้น ซางเทียนซั่วจึงเอ่ยยิ้มๆ “ฉันก็คิดอยู่ว่ารถของใครกล้าจอดหน้าประตูหอหงเยวี่ย ที่แท้ก็เป็นของเด็กขอทานอย่างนายนี่เอง”
ได้ยินดังนั้น กู่เสี่ยวเป่าจึงแสยะยิ้ม “หลานชายคนโต คิดไม่ถึงว่าฉันจะมีรถเหมือนกันใช่ไหม ฮ่าๆๆ อยากให้ฉันไปส่งนายไหมล่ะ”
“อย่าเลย อย่างนั้นฉันกับอาจารย์คงไม่ได้กลับไป อาจารย์ พวกเราขึ้นรถกันเถอะ!”
พูดจบ ซางเทียนซั่วก็เข้าไปนั่งในรถบีเอ็มดับเบิลยูที่จอดอยู่ข้างๆ
กู่เสี่ยวเป่าเห็นดังนั้นจึงตะโกนเรียก จากนั้นกระโดดลงจากรถ อวี่เหวินเซี่ยวตกตะลึง “เสี่ยวเป่า นายจะทำอะไร…”
“ฉันจะนั่งรถสวยๆ นายตรงไปที่ร้านของพี่รองได้เลย เดี๋ยวเจอกัน!”
ซางเทียนซั่วที่อยู่อีกด้านหนึ่งกำลังจะสตาร์ทรถ พอเห็นกู่เสี่ยวเป่าขึ้นมานั่งก็เอ่ยว่า “เฮ้ไอ้เด็กขอทาน มีจิตสำนึกด้วยสิ จะวิ่งมาขึ้นรถของฉันทำไม”
“ฮ่าๆๆ วันนี้ฉันแต่งตัวสะอาดสะอ้าน อย่ามัวแต่พูดจาไร้สาระ ออกรถเถอะ!”
ซางเทียนซั่วมองซ่งจื่อเซวียนหนึ่งที ซ่งจื่อเซวียนก็โบกมือเพื่อบอกให้เขาออกรถ
พอสตาร์ทรถแล้ว รถก็เคลื่อนออกไปนอกประตูหอหงเยวี่ย
“พี่รอง วันนี้พี่มาทำอะไรที่นี่น่ะ”
ซ่งจื่อเซวียนทำท่าครุ่นคิด เอ่ยว่า “มาเจอเพื่อนๆ น่ะ นายล่ะเสี่ยวเป่า ทำไมนายแต่งตัวแบบนี้”
“ฮ่าๆๆ ฉันก็เหมือนกัน เข้ามาร้านน้ำชาแบบนี้ แน่นอนว่าต้องแต่งตัวเรียบร้อยหน่อย เป็นยังไง ดูเหมาะไหม”
ซ่งจื่อเซวียนพิจารณามองกู่เสี่ยวเป่าหนึ่งที แล้วพยักหน้า “อืม…ไม่เลว ต่อไปก็แต่งตัวแบบนี้สิ อย่ามัวแต่ทำตัวเหมือนเด็กขอทานตลอด”
กู่เสี่ยวเป่ากลับหัวเราะออกมา “พี่รอง พูดแบบนี้ไม่ถูก เดิมทีฉันก็เป็นเด็กขอทานอยู่แล้ว ฮ่าๆๆ”
ในไม่ช้า รถสองคันก็ขับมาถึงร้านอาหารร่ำรวยแล้ว ซ่งจื่อเซวียนสั่งครัวด้านหลังให้ทำอาหารอะไรก็ได้สองสามอย่างมา แล้วจัดให้พวกกู่เสี่ยวเป่านั่งที่ชั้นหนึ่ง
เมื่อเห็นอาหารเต็มโต๊ะ กู่เสี่ยวเป่าดีใจทันที “ฮ่าๆๆ อาหารพวกนี้แค่มองก็หิวแล้ว”
“เสี่ยวเป่า เมื่อกี้ที่หอหงเยวี่ยนายกินขนมไปตั้งเยอะแล้ว ตอนนี้อย่ากินเยอะเกินไป…” อวี่เหวินเซี่ยวพูดด้วยสีหน้าเป็นห่วง
และเวลานี้ซ่งจื่อเซวียนก็ได้สังเกตเห็นสีหน้าของอวี่เหวินเซี่ยว ปกติอวี่เหวินเซี่ยวจะมีสีหน้าเย็นชา แต่เวลาที่อยู่ต่อหน้ากู่เสี่ยวเป่า กลับแสดงความเป็นห่วงอย่างจริงใจเป็นพิเศษ
“ฮ่าๆๆ ไม่เป็นไร วันพรุ่งนี้ต้องไปขอทานอีก วันนี้ฉันจะกินเยอะหน่อย!”
ซ่งจื่อเซวียนมองกู่เสี่ยวเป่า ขณะเดียวกันก็คิดในใจ สงสัยวันนี้กู่เสี่ยวเป่าต้องไปร่วมงานสำคัญของแก๊งขอทานแน่นอน ถึงได้แต่งตัวอย่างเป็นทางการ แต่จากคำพูดของอีกฝ่ายก็พอฟังออกว่า เรื่องนี้จบลงแล้ว ตั้งแต่วันพรุ่งนี้เขาจึงต้องกลับไปทำงานเดิม ต้องไปขอทาน
ส่วนอวี่เหวินเซี่ยว…แน่นอนว่าในแก๊งขอทานนี้เขาเป็นคนที่ไม่ต้องขอทาน เพราะทุกครั้งเขาล้วนแต่งตัวดี เป็นระเบียบสุภาพเป็นอย่างมาก
แต่…ตามหลักการแล้ว อวี่เหวินเซี่ยวน่าจะมีตำแหน่งที่สูงกว่ากู่เสี่ยวเป่าถึงจะถูก แต่ทำไมทุกครั้งถึงทำตามคำสั่งอย่างเคร่งครัดล่ะ และสีหน้าของเขาในตอนนี้ก็เป็นห่วงกู่เสี่ยวเป่ามากจริงๆ เช่นนั้นกู่เสี่ยวเป่าเป็นใครกันแน่
ซ่งจื่อเซวียนไม่เคยสงสัยหรือระแวงกู่เสี่ยวเป่า แต่ทุกครั้งที่พูดถึงเรื่องนี้ กู่เสี่ยวเป่าก็จงใจหลีกเลี่ยง ทำให้ซ่งจื่อเซวียนอดไม่ได้ที่จะสงสัย
ขณะที่กำลังคิดอยู่ กู่เสี่ยวเป่าก็ยกเครื่องดื่มขึ้นมา เอ่ยว่า “มาๆๆ พี่รอง ดื่มให้พวกเราที่เจอกันในหอหงเยวี่ยสถานที่หรูราคาแพง ชนแก้ว!”
ซ่งจื่อเซวียนหัวเราะ “ได้ ชนแก้ว”
“ว้าว…เครื่องดื่มอันนี้อร่อยมากจริงๆ อ้อใช่พี่รอง พี่รู้จักพวกหวงฟาได้ยังไง”
เมื่อได้ยินดังนั้น ซ่งจื่อเซวียนตกตะลึง ที่แท้กู่เสี่ยวเป่าก็รู้จักหวงฟา สงสัยตอนที่อยู่หอหงเยวี่ย เขาคงตั้งใจไม่ถามตัวเองเรื่องนี้
พอนึกถึงตรงนี้ เขาจึงไม่คิดจะปิดบัง พลางเอ่ยว่า “เหอะๆ อยู่ในวงการไม่มีอะไรนอกจากคำว่าผลประโยชน์ เสี่ยวเป่า นาย…รู้จักหวงฟาเหรอ”
“ไม่ถึงขั้นรู้จักกัน แต่รู้จักเขาน่ะ เป็นคนที่มีอิทธิพลมากในตู้เหมิน”
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้า “ช่วงนี้ฉันเลยปวดหัวมาก”
จากนั้น ซ่งจื่อเซวียนกับกู่เสี่ยวเป่าจึงพูดถึงเรื่องที่หวงฟาอยากได้สูตรข้าวผัดจักรพรรดิของตัวเอง และยังอ้างชื่อของบันทึกหย่งซั่นอีกด้วย
กู่เสี่ยวเป่าโกรธถึงขั้นตบโต๊ะแล้วเอ่ยว่า “ไอ้เชี่ย หน้าด้านเกินไปแล้ว นี่มันแย่งกันชัดๆ ไม่ใช่เหรอ”
“ใครว่าไม่ใช่ล่ะ แต่แล้วจะทำยังไง เขาเก่งกาจขนาดนั้น แต่วันนี้อาจารย์ของฉันก็เก่งเหมือนกัน ฮ่าๆๆ อาจารย์ เพราะว่าเรื่องในวันนี้ ลูกศิษย์ขอดื่มให้หนึ่งแก้วเลย!”
ขณะพูด ซางเทียนซั่วก็ยกแก้วขึ้นมา
ซ่งจื่อเซวียนยกแก้วขึ้นมาดื่มหนึ่งที
กู่เสี่ยวเป่าเงียบไปพักหนึ่ง แล้วพูดว่า “พี่รอง ช่วงนี้ฉันมีเรื่องหนึ่งที่สำคัญมากต้องทำ รอฉันจัดการเสร็จแล้วจะช่วยแก้ปัญหาหนักใจของพี่เอง”
“เสี่ยวเป่านายคิดมากไปแล้ว เรื่องนี้ฉันพอรับมือไหว” ซ่งจื่อเซวียนกล่าว
กู่เสี่ยวเป่ากลับพยักหน้าพร้อมกับขอโทษเล็กน้อย
“อวี่เหวินเซี่ยว ต้องเร่งดำเนินการ รอจัดการเสร็จแล้ว…นายไปนัดหวงฟานะ”
“เข้าใจแล้ว” อวี่เหวินเซี่ยวพยักหน้าอย่างเข้าใจ
ซ่งจื่อเซวียนอดตกใจไม่ได้ นัดหวงฟาตรงๆ เลยเหรอ แก๊งขอทานนี่…สุดยอดขนาดนี้เชียว กู่เสี่ยวเป่าพูดง่ายๆ สองสามประโยค อวี่เหวินเซี่ยวก็จัดการได้เหรอ
แต่พอลองคิดอีกที เรื่องนี้อาจไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่ อย่างไรแก๊งขอทานก็คือแก๊งอันดับหนึ่งในใต้หล้า
หากมองผิวเผินพวกเขาคือแก๊งขอทาน แต่อย่างไรก็มีลำดับขั้น อย่างเช่นยอดฝีมือถ่อมตัวผู้แต่งตัวดูดีมีภูมิฐานแบบอวี่เหวินเซี่ยว
………………………………………….