เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 156 มีแต่ตาแก่พวกนี้เหรอ
ตอนที่ 156 มีแต่ตาแก่พวกนี้เหรอ
ศาลาโบตั๋น ภายในห้องส่วนตัวขนาดเจ็ดสิบแปดสิบตารางเมตร บรรยากาศกลับเงียบสงัดไปไม่รู้กี่ครั้งแล้ว
ต่อหน้าหวงฟา ซ่งจื่อเซวียนแสดงความดื้อรั้นหัวแข็งครั้งแล้วครั้งเล่า ทำเอาเสี่ยพวกนี้ตกตะลึงจริงๆ
ไม่ใช่แค่ตกใจ แต่รู้สึกกลัวด้วย
ต้องรู้ไว้ว่า ถ้าหากเสี่ยหวงโกรธขึ้นมาจริงๆ ไม่ใช่แค่ซ่งจื่อเซวียนเท่านั้น แม้แต่คนที่นั่งอยู่ในนี้ก็อาจจะพลอยซวยไปด้วย อย่างไรในวงการอาหารตู้เหมิน นอกจากภัตตาคารใหญ่ที่มีสาขาทั่วประเทศ เขาแทบจะบดบังท้องฟ้าได้ด้วยมือเดียว
“ปฏิเสธงั้นเหรอ” ในที่สุดหวงฟาก็พูดออกมา
“ถูกแล้ว เสี่ยหวง ถ้าผมปฏิเสธ…แล้วจะเป็นยังไง” ซ่งจื่อเซวียนกล่าว
หวงฟาหัวเราะพลางพยักหน้า “ดีๆ ลูกวัวแรกเกิดไม่กลัวเสือจริงๆ ฉันบอกนายได้เลยว่า จะไม่เป็นอะไร เพราะนี่ไม่ใช่การบังคับ นายคิดว่าแบบนั้นไหม”
“เหอะๆ ผมเดาว่าใช่ครับ เสี่ยหวงแค่ให้คำแนะนำเด็กรุ่นหลังอย่างพวกเราเท่านั้น ผมเชื่อว่าไม่ใช่การบังคับ ไม่อย่างนั้นเสี่ยหวงคงเสียหน้าครับ!”
หวงฟายิ้มแต่ไม่พูดอะไร จากนั้นก็สูบซิกการ์ในมือต่อ
เห็นดังนั้น ซ่งจื่อเซวียนจึงลุกขึ้นพูดว่า “ในเมื่อเป็นแบบนี้ เรื่องในวันนี้พวกเราคุยเสร็จแล้วใช่ไหมครับ”
หวงฟาหัวเราะเบาๆ หนึ่งที “ไม่ต้องรีบ ซ่งจื่อเซวียน ฉันจำได้…นายพูดว่ามีสองเรื่อง”
ขณะพูด หวงฟาก็หุบยิ้ม จากสีหน้าสงบนิ่ง กลายเป็นเย็นชาขึ้นมา ถลึงตาคู่นั้นมองไปข้างหน้า
“อ้อ ผมเกือบลืมไป แต่ผมรู้สึกว่าถ้าแก้ปัญหาเรื่องแรกได้ เรื่องที่สองก็จะไม่เกิดขึ้น ไม่ใช่เหรอครับ” ซ่งจื่อเซวียนถาม
“งั้นเหรอ แต่…ฉันอาจจะอายุมากแล้ว ลืมไปแล้วว่าเรื่องที่สองที่นายพูดคืออะไร ซ่งจื่อเซวียน นายพูดอีกรอบสิ” เสี่ยหวงพูดพลางขยี้ซิกการ์ในมือลงในที่เขี่ยบุหรี่ โดยใช้แรงขยี้อย่างเห็นได้ชัด
ซ่งจื่อเซวียนลังเลพักหนึ่ง เอ่ยว่า “เหอะๆ เรื่องเล็กครับ แค่หวังว่าเสี่ยหวงจะใจดีมีเมตตา อนุญาตให้ร้านเล็กๆ ของผมดำเนินกิจการต่อไปได้”
เสี่ยหวงฟังแล้วจึงพยักหน้า “นายไม่ใช่คนในวงการ ฉันยอมให้นายพูดจามั่วซั่วต่อหน้าฉันได้ แต่…กลับไปบอกเฉิงปาว่า ฉันให้เวลาเขาสามวัน รื้อร้านอาหารร่ำรวยเสีย ไม่อย่างนั้นฉันจะทำให้เขานอนอยู่บนเตียงไปตลอดชีวิต!”
หลังจากที่อัดอั้นมานาน ในที่สุดเสี่ยหวงก็ทนไม่ไหว เผยใบหน้าของคนในวงการใต้ดินออกมาในที่สุด
แต่กลับอยู่ในความคาดเดาของซ่งจื่อเซวียน ฟางจิ่งจือเคยบอกว่า คนในวงการใต้ดินที่อยู่รอดมาได้ ล้วนเป็นสุภาพบุรุษ ไม่มีใครเอาตัวเองไปตีตราว่าเป็นนักเลงอันธพาล ต่างคนต่างปีนป่ายขึ้นมา
อันที่จริงไม่เพียงแต่หวงฟาเท่านั้น แม้แต่เฉิงปา เคอซานก็เช่นกัน หลังจากต่อสู้จนมีหน้ามีตาแล้ว จึงเริ่มแสวงหาความสูงส่งและสง่างาม อย่างไรมนุษย์ก็มักจะเดินขึ้นที่สูง ไม่ว่าใครก็ไม่อยากให้ตัวเองเป็นนักเลงหัวไม้ คนอันธพาลตลอดไป
แต่สิ่งเหล่านี้ล้วนเสแสร้งแกล้งทำ คนในวงการใต้ดิน ต่อให้เสแสร้งเท่าไร สุดท้ายก็เหมือนเดิม พอโมโหก็แสดงตัวตนที่แท้จริงออกมา
เสี่ยหวงในตอนนี้ก็เป็นเช่นนี้
“เสี่ยหวงกำลังข่มขู่ผมอยู่เหรอ” ซ่งจื่อเซวียนเอ่ยถาม
หวงฟาเหลือบตาขึ้นมองซ่งจื่อเซวียนหนึ่งที “นายจะเข้าใจแบบนี้ก็ได้ แต่ฉันพูดคำไหนคำนั้น ในอาณาจักรตู้เหมิน ยังไม่มีเคยมีใครไม่เชื่อคำพูดของหวงฟา”
“เหอะๆ ผมก็เชื่อครับ แต่…ผมไม่เข้าใจ ทำไมชอบมีคนประเภทที่ว่า ไม่ตั้งใจทำงานหาเงินของตัวเองให้ดี แต่ดันชอบมาแย่งหม้อข้าวคนอื่นกิน ข้าวบ้านใครหอมก็ไปแย่งบ้านคนนั้น”
“นายอยากจะพูดอะไร” หวงฟาพูดพลางเชิดหน้าเล็กน้อย
“ไม่มีอะไรครับ ผมยังเด็กอยู่ เป็นผู้น้อย แต่ก็รู้สึกว่าคนแบบนี้หน้าด้านไร้ยางอาย ไม่รู้ว่าเสี่ยทุกท่านที่นั่งอยู่ในนี้คิดยังไงครับ” ซ่งจื่อเซวียนเอ่ย
พวกเสี่ยเจียงที่นั่งอยู่ข้างๆ ต่างทำสีหน้ากระอักกระอ่วน พลางพูดในใจว่าซ่งจื่อเซวียนได้คืบแล้วจะเอาศอกอีก คำพูดของเสี่ยหวงถ้านายกลัวก็ทำตามเสีย ไม่กลัวก็รีบไสหัวไป ทำไมต้องพูดทิ้งท้ายก่อนจะไปด้วย หนำซ้ำ..ยังด่าเสี่ยหวงว่าหน้าด้านไร้ยางอายตรงๆ…
“ไอ้หนุ่ม นายกำลังว่าฉันเหรอ” เสี่ยหวงขึงตาใส่ซ่งจื่อเซวียน
ไม่เสียแรงที่เป็นเจ้าพ่อในท้องถิ่น แววตานั่นแฝงความน่าเกรงขามที่ปกคลุมทุกสิ่งไว้ รัศมีจัดเต็ม!
“ไม่กล้าครับ ผมซ่งจื่อเซวียนไม่มีสิทธิ์นั้น แต่ก็พูดไปตามเนื้อผ้า” ขณะพูด ซ่งจื่อเซวียนก็เดินออกไปข้างนอกสองสามก้าว แต่ยังเดินไม่ถึงประตู ก็หันกลับมาพูดว่า “เสี่ยครับ กลางวันแสกๆ เช่นนี้ ผมซ่งจื่อเซวียนชอบพูดสิ่งที่เป็นเหตุเป็นผลครับ”
ได้ฟังคำพูดของซ่งจื่อเซวียนแล้ว ซางเทียนซั่วกับฟางรุ่ยก็รู้สึกเลือดพลุ่งพล่านขึ้นมา
ตอนแรกพวกเขารู้สึกกลัวอยู่บ้าง อย่างไรคนตรงหน้าคือเสี่ยหวง ซ่งจื่อเซวียนกลับพูดจาหาเรื่องเช่นนี้
แต่หลังจากฟังบทสนทนาแต่ละรอบ พวกเขาก็แทบจะเสพติดแล้ว ซ่งจื่อเซวียนโต้กลับเสี่ยหวงแต่ละครั้ง เลือดของพวกเขาพลุ่งพล่านตามทุกครั้ง จนกระทั่งตอนนี้ แทบจะระเบิดออกมา
“ไอ้หนุ่ม นายมั่นใจว่าจะเดินออกจากหอหงเยวี่ยได้งั้นเหรอ”
ซ่งจื่อเซวียนกำลังจะเดินออกจากห้องส่วนตัวในทันที เสี่ยหวงก็พลันพูดออกมา
มือซ่งจื่อเซวียนที่กำลังจะจับลูกบิดประตูจึงหยุดชะงัก เขาเอ่ยยิ้มๆ ว่า “ผมออกไปได้แน่นอนครับ!”
“งั้นเหรอ นายหยุดรอฟังฉันพูดอีกหนึ่งประโยคก่อน”
ซ่งจื่อเซวียนได้ยินแล้วจึงหันตัวมา “เสี่ย เชิญพูดครับ”
หวงฟาพยักหน้า ทันใดนั้นจึงลุกขึ้น เดินไปตรงหน้าซ่งจื่อเซวียนช้าๆ
“ไอ้หนุ่ม วันนี้นายทำตัวกำเริบเสิบสานต่อหน้าฉัน แต่ฉันเห็นค่านาย เมืองตู้เหมินไม่มีซ่งจื่อเซวียนคนที่สอง” เสี่ยหวงพูด
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้า “เสี่ย คุณให้เกียรติผมมากแล้วครับ”
“แต่…ฉันอยากตอบนายใหม่อีกครั้ง นายถามฉันว่าถ้านายปฏิเสธแล้วจะเป็นยังไง ฉันตอบไปแค่ครึ่งเดียว”
“ได้โปรดแนะนำด้วยครับ!” ซ่งจื่อเซวียนกำหมัดคารวะ
“ถ้ารับปากฉัน ก็จะเป็นคนของฉัน รับรองว่านายจะมั่งคั่งร่ำรวย แต่ถ้าปฏิเสธ…ฉันย่อมรู้สึกไม่พอใจ ต่อไปหากเจออันตรายอะไรในตู้เหมิน แล้วกลับมาขอร้องฉัน…ก็จะถือว่าสายไปแล้ว!” หวงฟาเชิดหน้าพูด
ได้ยินหวงฟาพูดขู่อย่างตรงไปตรงมา ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้าพลางยิ้มให้ “เสี่ยครับ ผมขอมอบหนึ่งประโยคให้คุณเหมือนกัน ผมมีข้าวผัดจักรพรรดิอยู่ในมือ ถ้าอยากจะหาต้นไม้ใหญ่คอยปกป้อง ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ ประธานหลินเทียนหนานจ้งอันกรุ๊ปก็เป็นตัวเลือกหนึ่ง แต่ผมไม่ได้ทำแบบนั้น”
เมื่อได้ยินชื่อของหลินเทียนหนาน หวงฟาแอบใจสั่น อย่างไรแม้ว่าเขาจะเป็นเจ้าพ่อผู้มีอิทธิพลมากในวงการใต้ดิน แต่หลินเทียนหนานเป็นนักธุรกิจที่มีชื่อเสียง หากใช้เส้นสายขึ้นมา คงรับมือยากจริงๆ
“ทำไมล่ะ”
“เพราะว่าผมเกลียดคนที่พูดเงื่อนไขกับผมที่สุด” ระหว่างที่ซ่งจื่อเซวียนพูด เขาเชิดหน้าเล็กน้อยมองหวงฟาที่สูงกว่าตัวเอง แต่สีหน้ากลับเคร่งขรึมอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ รัศมีที่แผ่ออกมาไม่ยอมแพ้แม้แต่นิดเดียว
ทั้งสองคนสบตากันเกือบสี่ห้าวินาที บรรยากาศตึงเครียดทำให้หัวใจของทุกคนแทบถลนออกมา ทันใดนั้น ประตูก็ถูกผลักออก
หลี่ม่านหงที่กำลังเดินเข้ามา เห็นหวงฟากับซ่งจื่อเซวียนสบตากันอยู่ก็ตกตะลึงทันที
ในสายตาของเธอ ตำแหน่งของเสี่ยหวงนั้นไม่ต้องสงสัย แต่ซ่งจื่อเซวียนซึ่งเป็นผู้น้อยก็ไม่ด้อยไปกว่ากัน แต่อย่างไรเธอกลับคาดคิดไม่ถึงว่าซ่งจื่อเซวียนจะกล้าสบตากับเสี่ยหวงตรงๆ แววตานั้นเหมือนการต่อสู้ของผู้ชายสองคนไม่มีผิดเพี้ยน
แต่ด้วยประสบการณ์มากมาย เมื่อเห็นดังนั้น หลี่ม่านหงจึงยิ้มออกมาทันที
“ไอ้หยา จะแยกย้ายกันแล้วเหรอคะ จะพูดยังไงดี เสี่ยคะ ไฉ่อวิ๋นเฟยเพิ่งใช้เสร็จ ฉันกำลังจะเก็บห้องไว้ให้คุณพอดีเลยค่ะ”
หวงฟาหัวเราะเบาๆ หนึ่งที ยังคงไม่ละสายตาจากซ่งจื่อเซวียน เขายิ้ม “งั้นเหรอ แต่วันนี้ฉันอาจจะไม่ได้ใช้แล้ว ทางนี้กำลังจะแยกย้ายกัน”
หลี่ม่านหงได้ยินแล้วจึงมองไปที่ซ่งจื่อเซวียน “แหะๆ คุณซ่ง คุณรีบกลับขนาดนี้เลยเหรอคะ”
“ขอโทษด้วยครับเจ๊หง ที่บ้านมีธุระพอดี ต้องกลับแล้ว” ซ่งจื่อเซวียนก็เหมือนกัน ถึงแม้จะมีรอยยิ้มเย็นชาบนใบหน้า แต่กลับไม่ละสายตาจากหวงฟาเช่นกัน
เมื่อเห็นทั้งสองคนจิกตาใส่กันอย่างชัดเจน หลี่ม่านหงก็เริ่มตึงเครียดขึ้นมา เพราะเธอไม่อยากให้หอหงเยวี่ยของตนเกิดเรื่องที่ชวนให้ไม่สบายใจแต่อย่างใด
ทั้งสองคนที่อยู่ตรงหน้า เธอไม่อยากผิดใจกับใครสักคน แต่มีเพียงจุดเดียวที่เธอมั่นใจ นั่นก็คือหากเทียบตามอิทธิพลในตอนนี้ เสี่ยหวงอยากจะรับมือกับซ่งจื่อเซวียน คงไม่ต้องลงแรงเยอะเท่าไร
เมื่อคิดถึงตรงนี้ ในใจของหลี่ม่านหงรู้สึกเสียดายขึ้นมา ซ่งจื่อเซวียนเป็นคนเก่งมีความสามารถยอดเยี่ยม แต่เสียที่เป็นคนโผงผาง ไม่รู้จักการพูดอ้อมค้อม ผิดใจกับคนอย่างเสี่ยหวง เกรงว่า…คงจะตายตั้งแต่ยังหนุ่มอย่างเลี่ยงไม่ได้
แต่ขณะที่กำลังยืนประจันหน้ากันอยู่ กลับมีเสียงหนึ่งดังมาจากนอกประตู
“เจ๊หง ถ้างั้นพวกเราขอตัวก่อนนะครับ เถ้าแก่พอใจห้องส่วนตัวในวันนี้มาก สั่งให้ผมมาขอบคุณการจัดการของคุณครับ”
หลี่ม่านหงได้ยินแล้วจึงหมุนตัว “อ้อๆ ค่ะ คุณอวี่เหวิน คุณเกรงใจเกินไปแล้ว หวังว่าวันหลังคุณจะมีเวลามาที่ร้านอีกนะคะ”
ขณะที่หลี่ม่านหงพูด ซ่งจื่อเซวียนกับหวงฟาแทบจะมองไปข้างนอกพร้อมกัน ซ่งจื่อเซวียนมองเพราะรู้สึกคุ้นหูกับเสียงนี้ แต่หวงฟาอยากจะดูว่าใครกันแน่ที่แย่งไฉ่อวิ๋นเฟยกับเขา
แต่วินาทีที่ซ่งจื่อเซวียนหันหน้าไป คนที่อยู่ข้างนอกคนนั้นก็มองเขาเหมือนกัน ก่อนจะตะโกนว่า “นายท่านรอง”
คำคำนี้ทำให้หวงฟา หลี่ม่านหงและเสี่ยคนอื่นในห้องส่วนตัวนี้ล้วนตกตะลึง
นายท่านรองงั้นเหรอ เห็นได้ชัดว่ากำลังเรียกซ่งจื่อเซวียน คนเหล่านี้แทบจะรู้กันหมดแล้วว่าตอนนี้ซ่งจื่อเซวียนมีฉายานี้ แต่อยู่ในหอหงเยวี่ย กลับมีคนเรียกเขาแบบนี้ด้วยเหรอ
“อวี่เหวินเซี่ยวเหรอ” ซ่งจื่อเซวียนมองแวบเดียวก็จำอวี่เหวินเซี่ยวได้
อวี่เหวินเซี่ยวแต่งตัวเหมือนปกติทั่วไป และเป็นทางการอย่างมาก เพียงแต่วันนี้เขาใส่สูทจงซานสีดำ และยังติดกระดุมเม็ดแรกอีกด้วย น่าจะมาร่วมงานที่สำคัญมาก
อวี่เหวินเซี่ยวพยักหน้ายิ้ม “คิดไม่ถึงว่าจะเจอคุณที่นี่ เสี่ยวเป่า…ของพวกเราก็อยู่”
“หืม เขาอยู่ไหนล่ะ”
พอสิ้นเสียงซ่งจื่อเซวียน ประตูก็ถูกผลักออกอีกครั้ง ทันใดนั้นพลันมีศีรษะน้อยโผล่ออกมา
“เฮ้ พี่รอง!”
มองเห็นใบหน้ายิ้มแย้มของกู่เสี่ยวเป่า ซ่งจื่อเซวียนจึงยิ้มออกมาทันที “เหอะๆ เสี่ยวเป่า นายก็มาหอหงเยวี่ยเหมือนกันเหรอ”
ขณะพูด ซ่งจื่อเซวียนสังเกตเห็นว่าใบหน้าของกู่เสี่ยวเป่าสะอาดมาก หวีผมเรียบร้อย เป็นระเบียบเป็นพิเศษ
“ใช่แล้ว มากินขนม จิบน้ำชาน่ะ” ขณะพูด กู่เสี่ยวเป่าก็เดินเข้ามาอย่างเฉิดฉาย
พอเข้ามาในห้องส่วนตัว กู่เสี่ยวเป่ามองไปรอบๆ “ห้องนี้ไม่โอเค ไม่ใหญ่เหมือนห้องเมื่อกี้ของพวกเราเลย!”
พอได้ยินประโยคนี้ หลี่ม่านหงก็กระอักกระอ่วนทันที พลางพูดในใจนายพูดมากจริง เสี่ยหวงเค้นถามว่าใครใช้ห้องไฉ่อวิ๋นเฟยฉันก็ไม่พูด แต่นายกลับอวดดี แบไต๋ออกมา…
แต่ไม่มีใครรู้ว่า กู่เสี่ยวเป่ามองไปรอบๆ อย่างผิวเผินเท่านั้น อันที่จริงเขาแค่มองคนที่อยู่ในห้อง สุดท้าย สายตาก็ตกไปอยู่ที่ตัวหวงฟา
เสี่ยหวงงั้นเหรอ พี่รองไปคุยกับเขาได้ยังไง
ถึงแม้ทั้งสองคนจะไม่รู้จักกัน แต่กู่เสี่ยวเป่าเคยเจอหวงฟามาก่อน และรู้ถึงฐานะของเขา เนื่องจากข้อมูลของแก๊งขอทานมีความฉับไว เขาจะรู้จักหวงฟาก็ไม่แปลก
แต่ซ่งจื่อเซวียนกลับถูกดึงดูดด้วยการแต่งตัวของกู่เสี่ยวเป่า เขาสวมชุดสูทลายตารางเล็กสีครีม และยังผูกเนคไทสีดำ เปลี่ยนสไตล์จากเด็กขอทานยามปกติไปเลย
“เสี่ยวเป่า นายแต่งตัว…”
“ฮ่าๆๆ เปลี่ยนสไตล์บ้าง เป็นยังไง หล่อไหม อ้อใช่พี่รอง พี่มาทำอะไรที่นี่ล่ะ ทำไมมีแต่ตาแก่พวกนี้”
พอกู่เสี่ยวเป่าถาม คนที่เหลือก็รู้สึกเขินอายกับคำว่า ‘ตาแก่’ ทันที…
…………………………………………..