เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 152 ฉันไม่เห็นด้วย
ตอนที่ 152 ฉันไม่เห็นด้วย
ดูเหมือนว่าทั้งซ่งจื่อเซวียนและซางเทียนซั่วต่างก็คาดไม่ถึงว่าท่านเป้ยเล่อจะได้ยินคำพูดนี้ ยิ่งไม่คิดไม่ฝันว่าเขาจะเข้ามาพูดแบบนี้ตรงๆ
แต่ซ่งจื่อเซวียนกลับแค่นหัวเราะเบาๆ และพูดตามคำพูดของท่านเป้ยเล่อ “ไม่ใช่เหมาะสมหรือไม่เหมาะสมหรอก แค่เห็นแล้ววิจารณ์นิดหน่อย มองที่เหตุการณ์ไม่ได้มองที่คน”
เมื่อท่านเป้ยเล่อได้ยินก็พยักหน้า “มองที่เหตุการณ์ไม่ได้มองที่คน…แล้วที่นายบอกว่าเรื่องนี้ไร้ศีลธรรมก็เป็นฉันที่ไร้ศีลธรรมน่ะสิ”
ซ่งจื่อเซวียนค่อยๆ เงยหน้าขึ้นแล้วมองท่านเป้ยเล่อ ชายหนุ่มทั้งสองประจันหน้ากันราวกับว่าไม่มีใครยอมใคร
ซางเทียนซั่วที่อยู่ด้านข้างรู้สึกตื่นตระหนกอยู่บ้าง อย่างไรท่านเป้ยเล่อก็ค่อนข้างมีชื่อเสียงในเขตปักกิ่งและตู้เหมิน แม้ว่าซ่งจื่อเซวียนจะมีศักยภาพ ทว่าเมื่อเทียบกับท่านเป้ยเล่อ…ก็อยู่คนละชั้นกันจริงๆ
“ทั้งสอง” ซ่งจื่อเซวียนยกยิ้ม
ได้ยินคำพูดนี้ สีหน้าของท่านเป้ยเล่อก็เย็นชาอย่างเห็นได้ชัด อย่างน้อย…ก็ยังไม่มีใครกล้าพูดกับเขาแบบนี้
สิ่งที่น่าหงุดหงิดยิ่งกว่านั้นคือซ่งจื่อเซวียนยังยิ้มไปด้วยในขณะที่พูด
สิ่งนี้ทำให้ท่านเป้ยเล่อไม่ชอบใจเป็นที่สุด ราวกับอีกฝ่ายไม่เห็นเขาอยู่ในสายตาเลย
ไม่ว่าจะเป็นปักกิ่งหรือตู้เหมิน เมื่อท่านเป้ยเล่อมาถึง มีที่ไหนที่จะไม่เข้ามาต้อนรับเขาจากระยะไกลบ้าง ไม่ต้องพูดถึงความรู้สึกเหมือนดวงจันทร์ที่ถูกรายล้อมไปด้วยหมู่ดาว อย่างน้อยก็ไม่มีใครทำกับเขาแบบนี้
ท่านเป้ยเล่อยังไม่ทันได้เปิดปาก ชายคนหนึ่งในชุดสูทที่อยู่ด้านหลังเขาก็เข้ามาคิดจะคว้าคอเสื้อซ่งจื่อเซวียน แต่ก่อนที่เขาจะมาแตะตัว ซางเทียนซั่วก็ลุกขึ้นยืนทันทีและวางมือสกัดไว้ข้างหน้าซ่งจื่อเซวียน
แม้ว่าจะรู้ว่าอีกฝ่ายคือท่านเป้ยเล่อ แต่ซางเทียนซั่วก็ยังจ้องชายชุดสูทอย่างดุดัน อีกฝ่ายก็มีสีหน้าเกรี้ยวกราดเช่นเดียวกัน
“เหอะๆ ท่านเป้ยเล่อแห่งปักกิ่งผู้สง่าผ่าเผย ได้ยินคำพูดที่ไม่อยากฟังก็คิดจะลงมืองั้นเหรอ คงไม่ถึงขั้นนั้นหรอกมั้ง” ซ่งจื่อเซวียนยังคงไม่แยแสเช่นเดิม กอดอกพร้อมรอยยิ้มบนใบหน้าแล้วเอนตัวพิงเก้าอี้
ท่านเป้ยเล่อมองชายชุดสูทที่อยู่ข้างๆ และส่งสัญญาณให้อีกฝ่ายมายืนข้างหลังเขาทันที ขณะที่ตัวเองก็นั่งลงข้างซ่งจื่อเซวียน
“พี่ชาย นายรู้จักฉันเหรอ”
“เคยเจอแค่ครั้งเดียว แต่ได้ยินชื่อเสียงมานานแล้ว” ซ่งจื่อเซวียนตอบ
ท่านเป้ยเล่อพยักหน้าแล้วยิ้ม “อย่างนี้นี่เอง…เคยเจอที่ไหนล่ะ”
“เดรนท์”
ท่านเป้ยเล่อครุ่นคิด “อ๋อ…ที่แท้ก็ครั้งนั้น เหอะๆ แต่ฉันไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับนายเลย”
“แน่นอน คุณคือดวงจันทร์ เราต้องแหงนหน้าขึ้นมองคุณ!” ซ่งจื่อเซวียนกล่าว
เมื่อมองซ่งจื่อเซวียน ท่านเป้ยเล่อก็มีความรู้สึกที่อธิบายออกมาไม่ได้
เด็กชายที่อยู่ตรงหน้าเขามีใบหน้าน่ามอง แต่ก็เป็นเพียงคนธรรมดาอย่างยิ่ง ทว่ารัศมีที่เปล่งออกมาตอนนี้…ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ
โดยทั่วไปแล้วแม้แต่เจ้าพ่อท้องถิ่นก็ยังต้องเกรงใจเมื่อพบท่านเป้ยเล่อ นับประสาอะไรกับคนธรรมดา หากเป็นการอวดเก่งเพื่อดึงดูดความสนใจจากเขา จุดประสงค์ก็คือการได้ใกล้ชิดและผูกมิตรกับเขา แต่คนคนนี้ที่อยู่ตรงหน้าเขา…กลับไม่ได้มีวี่แววแบบนั้น
“ไม่หรอก เป็นแค่ดวงจันทร์ เทียบไม่ได้กับดวงอาทิตย์ บางทีสักวันหนึ่งนายอาจจะได้เป็น” ท่านเป้ยเล่อกล่าว
ซ่งจื่อเซวียนส่ายหัว “ผมไม่สนใจเรื่องนั้น การทำตัวให้สง่าผ่าเผยเป็นเรื่องดี แต่ให้สง่าผ่าเผยจริงๆ…ดูเหมือนจะยากมาก”
ท่านเป้ยเล่อหรี่ตาลงเล็กน้อย “นายจะบอกว่าสิ่งที่ฉันทำมันไม่สง่าผ่าเผยอย่างนั้นเหรอ”
“นั่นมันเรื่องของคุณ ผมไม่รู้หรอก”
“แต่นายก็พูดไปแล้ว เมื่อกี้เพิ่งจะบอกว่าฉันเป็นท่านที่…ไร้ศีลธรรม” ท่านเป้ยเล่อพูดขณะเอนตัวพิงเก้าอี้แล้วไขว่ห้าง รัศมีที่มองไม่เห็นก็เผยออกมาในฉับพลัน
“ผมก็บอกแล้วว่ามองที่เหตุการณ์ไม่ได้มองที่คน แต่…คุณเล่นสนุกกับผู้หญิงของคนอื่นแล้วแกล้งทำเป็นหวังดีให้คนเขามาติดตามคุณ นี่มัน…ต่ำช้าจริงๆ!”
ซ่งจื่อเซวียนพูดประโยคนี้ออกมาซางเทียนซั่วก็สะดุ้งเฮือก ต้องรู้ไว้ว่าอีกผ่ายคือท่านเป้ยเล่อเชียวนะ
ธุรกิจการโรงแรมในทางเหนือของตระกูลซางนั้นโดดเด่นมาก ทว่าถึงเป็นอย่างนั้น แม้แต่พ่อของเขา ‘ซางเจิ้งเยี่ย’ ยังต้องเกรงใจเมื่อพบท่านเป้ยเล่อ ซ่งจื่อเซวียนทำเกินไปแล้วจริงๆ
แน่นอนว่าต่อให้เป็นเช่นนี้ หากอีกฝ่ายอยากจะทำอะไรซ่งจื่อเซวียน ซางเทียนซั่วก็จะไม่มีวันนั่งเฉยๆ แน่ อย่างไรนั่นก็คืออาจารย์!
“ต่ำช้าเหรอ อาจจะใช่ แต่…นายเป็นคนแรกที่กล้าวิจารณ์ฉันแบบนี้” ท่านเป้ยเล่อพูด
ซ่งจื่อเซวียนยักไหล่ “งั้นเหรอ แล้วทำไมพวกเขาถึงไม่กล้าล่ะ”
ท่านเป้ยเล่อไม่รู้จะตอบประโยคนี้อย่างไร เขาไม่สามารถพูดได้ว่าเป็นเพราะฐานะท่านเป้ยเล่อของฉัน แม้ว่าจะทำผิดพวกเขาก็ไม่กล้าบอกฉัน…
ท่านเป้ยเล่อถือโอกาสเปลี่ยนเรื่อง “ที่เดรนท์…คือครั้งนั้นที่เปิดตัวเมนูอาหารใหม่ใช่ไหม”
“ใช่”
“เหอะๆ เชฟหน้าโง่นั่นคิดอยากจะทำอีกเมนูหนึ่งมาเป็นข้าวผัดจักรพรรดิ แต่ว่ามันเกรดต่ำเกินไป” ขณะที่พูดท่านเป้ยเล่อก็หยิบบุหรี่ขึ้นมาหนึ่งซองก่อนจะหยิบออกมาหนึ่งมวน แกว่งมันราวกับถามซ่งจื่อเซวียนว่าต้องการหรือไม่ “นายก็เป็นเชฟด้วยเหรอ”
ซ่งจื่อเซวียนก็ไม่เกรงใจ เขาหยิบบุหรี่ขึ้นมาจุด “ถือว่าใช่ล่ะมั้ง”
“ถือว่าใช่งั้นเหรอ เหอะๆ คำตอบของนายน่าสนใจดีนะ”
“ผัดอาหารไม่เก่งจะถือว่าเป็นเชฟได้หรือเปล่า” ซ่งจื่อเซวียนถาม
ท่านเป้ยเล่อกระตุกยิ้ม “แล้วเก่งเป็นยังไง ไม่เก่งเป็นยังไง ก่อนหน้านี้ตู้เหมินของพวกนายขายข้าวผัดจักรพรรดิจนโด่งดังไปครึ่งฟ้าแต่ก็ดับไปแล้วไม่ใช่หรือไง”
“ดับเหรอ ยังไงล่ะ” ซ่งจื่อเซวียนเริ่มสนใจและซักไซ้
“ยังไงเหรอ เหอะๆ ผัดไม่เก่งนั่นถึงจะเป็นเชฟที่ดี ถ้าผัดเก่งเกินไป…ก็จะผัดไม่ได้แล้ว” ท่านเป้ยเล่อพูดพร้อมยิ้ม
“ผัดไม่ได้แล้วเหรอ เพราะอะไรกัน” ซ่งจื่อเซวียนเอ่ยถาม
ท่านเป้ยเล่อยักไหล่และยิ้ม สูบบุหรี่เข้าลึกๆ แล้วเอ่ย “ไอ้หนู นายยังเด็กเกินไป มีบางเรื่องที่บอกนายไม่ได้ แต่…ฉันคิดว่านายน่าจะเป็นเชฟที่ดี”
พูดจบ ท่านเป้ยเล่อก็ดับบุหรี่และลุกขึ้นยืนคิดจะจากไป แต่ซ่งจื่อเซวียนก็ลุกขึ้นยืนแล้วกล่าว “ถ้าคุณรู้จักเชฟข้าวผัดจักรพรรดิ คุณจะทำอะไร”
ท่านเป้ยเล่อชะงักอยู่ครู่หนึ่ง แต่ก็ยังจัดปกเสื้อแล้วหันหลังกลับเพื่อจากไป
เห็นท่านเป้ยเล่อจากไป ซ่งจื่อเซวียนก็เผยความงงงวยออกมา ไอ้หมอนี่…เย็นชาจริงๆ
แต่เมื่อท่านเป้ยเล่อเดินออกไปได้ไม่กี่เมตร เขาก็หันกลับมาแล้วเอ่ย “เฮ้!”
ซ่งจื่อเซวียนและซางเทียนซั่วก็มองไปทางเขาอย่างลืมตัว
ซ่งจื่อเซวียนและซางเทียนซั่วมองหน้ากัน ราวกับว่าทั้งคู่ไม่เข้าใจว่าท่านเป้ยเล่อหมายถึงอะไร…
เมื่อละครดีๆ จบลง ทั้งสองคนก็ออกจากร้านอาหารตะวันตกหวนรำลึก
การพูดคุยกับท่านเป้ยเล่อโดยบังเอิญทำให้ซ่งจื่อเซวียนพูดไม่ออกเล็กน้อย และยังดูไม่ค่อยสบายใจนัก แต่สิ่งที่ทำให้เขาหงุดหงิดก็คือเขายังมาเสียเที่ยว ไม่เห็นเครื่องถมปัดลงยาฝ้าหลางลายตังกวยที่หวังเฉิงยงกล่าวถึงเลย
เนื่องจากข้าวผัดจักรพรรดิขายไปสิบแปดที่แล้ว และซ่งจื่อเซวียนทำให้ร้านออร์เดอร์ทะลักแล้ว เขาจึงไม่กลับไปที่ร้านอาหารร่ำรวยอีก แต่ให้ซางเทียนซั่วตรงไปส่งที่บ้าน
ซ่งจื่อเซวียนไม่เคยกินมื้อเย็นที่บ้านมาตลอดเพราะยากที่จะได้กลับมาในช่วงเวลานี้
เมื่อหานหรงเห็นว่าลูกชายกลับมาก็ย่อมดีใจเป็นธรรมดา เธอรีบจัดวางอาหารบนโต๊ะแล้วกล่าว “เจ้ารอง มาเร็ว แม่ทำอาหารที่แกชอบทั้งนั้น ช่วงนี้แกไม่ได้กลับมากินเลย รีบมากินเร็วเข้า”
“ขอบคุณครับแม่”
มองดูอาหารหลายจานที่อยู่ตรงหน้า ซ่งจื่อเซวียนก็รู้สึกอบอุ่นหัวใจ หากเปรียบเทียบกัน สำหรับเขาแล้วอาหารเหล่านี้อร่อยกว่าข้าวผัดจักรพรรดิและน้ำแกงเกล็ดปลาทองห้าสายเสียอีก
ท้ายที่สุดแล้วไม่มีอะไรอร่อยไปกว่ารสมือแม่
เมื่อคีบอาหารไปหนึ่งคำ ซ่งจื่อเซวียนก็เอ่ย “แม่ยังทำอาหารอร่อยเหมือนเดิม อ้อใช่สิ เมื่อวานหย่าฉีเป็นยังไงบ้าง ตื่นกี่โมง แล้วเมื่อคืนพวกแม่นอนกันยังไง”
ได้ยินคำถามรวดเดียวของซ่งจื่อเซวียน ทั้งหานหรงและซ่งอีหนานก็ฟังออกว่าซ่งจื่อเซวียนสนใจถังหย่าฉีอย่างแน่นอน แต่เรื่องเมื่อคืนนี้ทำให้หานหรงไม่สบายใจจริงๆ
ดังนั้นเมื่อได้ยินซ่งจื่อเซวียนถามถึง สีหน้าหานหรงก็หมองลงทันที
ในความคิดของเธอ ตัวเธอเองชอบสาวน้อยถังหย่าฉีคนนั้นจากใจ แต่อีกฝ่ายมีครอบครัวแล้ว เธอจะไม่ยอมให้ลูกชายตัวเองไปทำลายครอบครัวของคนอื่นเด็ดขาด
เมื่อเห็นเช่นนี้ สีหน้าซ่งจื่อเซวียนก็ดูงุนงง “เป็นอะไรไปล่ะ แม่ หย่าฉีเธอ…ทำให้แม่ไม่พอใจเหรอ”
ถึงแม้ว่าเขาจะถามออกไปแบบนี้ แต่ซ่งจื่อเซวียนก็กล้าบอกได้ว่าไม่ใช่แน่นอน แม้เขาจะไม่ได้รู้จักถังหย่าฉีดีมากนัก แต่จากการได้พูดคุยกันมาหลายครั้ง เขาก็ยังมั่นใจว่าถังหย่าฉีเป็นคนมีมารยาทอย่างยิ่ง
จากครั้งก่อนตอนที่เธอได้พบกับตาเฒ่าฟาง ก็บอกได้ว่าถังหย่าฉีเคารพนับถือชายชราเป็นอย่างมาก อีกทั้งถ้าฟางจิ่งจือพูดจาไม่ค่อยเข้าหู เธอก็จะอดทน ไม่เป็นเหมือนหญิงสาวบางคนที่ไม่ได้รับการอบรมสั่งสอน จะไม่ตอบโต้กลับไปแบบไม่รู้จักเด็กไม่รู้จักผู้ใหญ่
“ไม่มีอะไรหรอก เธอจะทำให้ฉันไม่พอใจทำไมล่ะ จริงสิเจ้ารอง แกกับแม่หนูคนนั้นไปถึงขั้นไหนกันแล้ว” หานหรงถาม
ซ่งจื่อเซวียนตกตะลึง เขาไม่รู้ว่าทำไมแม่ถึงเมินคำถามของเขาและเปลี่ยนมาถามเรื่องนี้แทน
“ฮะ? ถึงขั้นๆฟนอะไรกัน ไม่ถึงขั้นไหนทั้งนั้นแหละ” ซ่งจื่อเซวียนพูดและมองไปที่ซ่งอีหนานอีกครั้ง แต่อีกคนก็ก้มหน้ากินข้าวทันที ราวกับว่าจงใจจะหลบสายตา
หานหรงพยักหน้า “อ๋อ…ไม่ถึงขั้นไหนสินะ งั้นก็ดี เจ้ารอง แกยังเด็กอยู่ ในอนาคตแกจะมีแต่เรื่องงาน เรื่องความรักน่ะ…ไม่ต้องรีบร้อน เข้าใจนะ ผู้ชายต้องสร้างงานสร้างอาชีพก่อนแล้วค่อยสร้างครอบครัว”
ซ่งจื่อเซวียนได้ยินก็มีสีหน้าจนใจ มองไปทางซ่งอีหนานทันทีก่อนเอ่ยถาม “พี่ เกิดอะไรขึ้นกันแน่ เมื่อวาน…หย่าฉีดื่มเยอะไปแล้วพูดอะไรที่ไม่ควรพูดหรือเปล่า”
นี่คือความเป็นไปได้หนึ่งเดียวเท่านั้น ซ่งจื่อเซวียนไม่เชื่อว่าถังหย่าฉีจะไม่เคารพแม่และพี่สาวของเขา แต่…ยัยนั่นดื่มเยอะเกินไปก็อาจจะเป็นไปได้ อย่างไรเมื่อคืนนี้หลังจากดื่มเยอะไปเธอยังเรียกเขาว่าพ่อด้วยซ้ำ…
ซ่งอีหนานเหลือบมองหานหรงแล้วเอ่ย “หืม? เปล่า เปล่าสักหน่อย เธอก็ดีนะ แต่ยังไง…นายก็ฟังแม่เถอะ”
ซ่งจื่อเซวียนรู้สึกได้ทันทีว่ามีบางอย่างผิดปกติ “ไม่จริง มีบางอย่างเกิดขึ้นที่นี่ มีอะไรที่แม่ไม่ได้บอกลูกใช่ไหม แม่ บอกมานะ”
หานหรงไม่สนใจเขาและกินข้าวต่อไป
ซ่งจื่อเซวียนก็จนปัญญา จึงหยิบโทรศัพท์ออกมาให้รู้แล้วรู้รอด “ได้ ถ้าไม่บอกลูก ลูกจะโทรหาหย่าฉีแล้วถามเธอเองกับปาก!”
เมื่อเห็นเช่นนี้ หานหรงก็คว้าโทรศัพท์ของซ่งจื่อเซวียนทันที “โธ่เอ๊ย อกอีแป้นจะแตก แกจะโทรหาเธอทำไม ตอนนี้ครอบครัวเธอคงกำลังทานมื้อเย็นกันอยู่ แกจะไปจุ้นจ้านทำไมฮะ!”
“ไม่ใช่สิ…ลูกต้องรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นนะ” ซ่งจื่อเซวียนสับสนอย่างเต็มที่ เขารู้ว่าหานหรงคงมีเรื่องไม่สบายใจบางอย่างแน่นอนแต่ไม่ยอมบอก ทำให้เขาร้อนใจจะตายอยู่แล้ว “แม่ ถ้าแม่ไม่บอก ลูกจะออกไปหาเธอแล้วถามให้ชัดเจนตอนนี้เลย”
หานหรงขมวดคิ้วและมองซ่งจื่อเซวียน “แกกล้าเรอะ! เจ้ารอง แกอย่าปฏิเสธเลย แกสนใจแม่หนูแช่ถังคนนั้น แต่วันนี้แม่ขอบอกไว้ตรงนี้ เรื่องระหว่างแกสองคน…ฉันไม่เห็นด้วย!”
………………………………………….