เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 150 พูดมา เขาเป็นใคร
ตอนที่ 150 พูดมา เขาเป็นใคร!
เห็นหวังเฉิงยงพูดแบบนั้น ซ่งจื่อเซวียนก็รู้สึกมีความสุขจนหน้าบาน เขาคิดในใจว่าวันนี้ไม่ได้มาเสียเปล่าจริงๆ
“ได้ งั้นเราก็ตกลงตามนี้” ซ่งจื่อเซวียนพูด
หวังเฉิงยงได้ยินกลับขมวดคิ้วเล็กน้อย ไม่รู้ว่าทำไม จู่ๆ เขาก็รู้สึกเหมือนโดนหลอก
“นาย…หมายความว่ายังไง เด็กอย่างนายมุบมิบหลอกฉันอีกแล้วใช่ไหมเนี่ย” หวังเฉิงยงก้มหน้าชำเลืองมองพลางพูดกับซ่งจื่อเซวียน
“พูดอะไรเล่า อะไรที่เรียกว่าหลอกคุณกัน อีกอย่างคำว่าอีกแล้วมาจากไหน ผมเคยหลอกอะไรคุณเมื่อไร” ซ่งจื่อเซวียนพูด
หวังเฉิงยงดื่มสุรา พูดว่า “ยังไงฉันก็คิดว่าผิดปกติ จากนี้ฉันต้องระวังนายสักหน่อย”
ดื่มสุราไปอีกหลายอึก ซ่งจื่อเซวียนก็ลุกขึ้นพูดว่าจะไปแล้ว หวังเฉิงยงจึงพูดว่า “เป็นอะไรไป นี่จะไปแล้วเหรอ ยังดื่มเหล้าไปไม่เท่าไรเลยนะ!”
“เอาน่า คุณก็ค่อยๆ ดื่มไป ดูกระทะเสร็จผมก็พอแล้ว ผมต้องรีบไปหามีดเล่มนั้นให้คุณ!” ซ่งจื่อเซวียนพูดพลางเดินออกไปข้างนอก
“โธ่ นายจะรีบร้อนอะไรนักหนา ไม่ง่ายเลยนะกว่าจะหาเพื่อนดื่มได้สักคน นายกลับไปแบบนี้ฉันจะไม่กลายเป็นว่าดื่มเหล้าแก้เครียดอีกเหรอ”
ดื่มสุราก็แบบนี้ ถึงสุราจะดีแค่ไหนแต่ถ้าดื่มคนเดียวมันก็ไร้รสชาติ มีสักคนดื่มเป็นเพื่อน ก็ย่อมดื่มได้มาก ดื่มได้สบายใจ
แต่ซ่งจื่อเซวียนกลับยิ้ม “งั้นคุณก็ค่อยๆ ดื่มเหล้าแก้เครียดไปคนเดียวนะ รอผมเอามีดเล่มนั้นมาได้ เราค่อยดื่มกันต่อ!”
เห็นซ่งจื่อเซวียนเดินออกไป หวังเฉิงยงก็ยิ้ม “ไอ้เด็กนี่…ถ้านายหามีดนั่นได้ก็แปลกแล้ว”
แต่ไม่นานนัก รอยยิ้มบนใบหน้าของเขาก็ค่อยๆ หายไป สีหน้าปรากฏร่องรอยสงสัยมากขึ้น
เขาเกาหัวขมวดคิ้วพูดกับตัวเองว่า “ทำไมฉันถึงเอาแต่คิดว่าไอ้เด็กนี่จะขุดหลุมแล้วให้ฉันกระโดดลงไปนะ…”
เดินออกมาจากบ้านหวังเฉิงยง ซ่งจื่อเซวียนคิดคำพูดเมื่อครู่ตลอดทาง ตอนที่ถึงปากซอย เขาก็หยิบโทรศัพท์ออกมาโทรหาซางเทียนซั่ว
“เทียนซั่ว เขตเฉิงหนานมีร้านอาหารตะวันตกที่ชื่อว่าหวนอะไรนั่นไหม”
ถึงแม้เมื่อครู่หวังเฉิงยงพูดได้ครึ่งเดียวก็เหมือนฉุกคิดอะไรได้ แต่ซ่งจื่อเซวียนก็ได้ยินคำว่าหวนอยู่ดี ดังนั้นเขาจึงรีบถามซางเทียนซั่ว อย่างไรตามปกติคุณชายท่านนี้ก็ไปที่แบบนี้มากมาย อาจจะรู้ก็ได้
การเก็บสะสมก็แบบนี้ ขอแค่มีข่าวคราว ก็ต้องชิงไปเก็บมาก่อน ของแบบนี้ไม่ได้ให้ความสำคัญกับการมาก่อนได้ก่อนอะไรหรอก ถ้าซื่อสัตย์หรือใจกว้างเกินไป คุณก็อยู่ในวงการนี้ไม่ได้
ตอนนี้ซ่งจื่อเซวียนคิดแบบนี้ ได้ฟังหวังเฉิงยงบรรยายถึงเครื่องถมปัดทรงตังกวยนั่นก็โลภ จะยังต้องรอไปกับคุณเหรอ ผมก็ไปจัดการก่อนสิ!
“หวนเหรอ ร้านอาหารตะวันตกของเขตเฉิงหนาน…หวนรำลึกเหรอ ร้านนั้นคุณภาพสูงมากนะ อาจารย์อยากไปเหรอ” ซางเทียนซั่วพูด
“ใช่ นายรู้จักเหรอ”
“รู้จักสิครับ ก่อนหน้านี้เคยพาสาวๆ ไปอยู่ ที่นั่นเป็นที่ที่จีบสาวได้ดีแน่นอน สถานที่สร้างภาพชั้นดี”
ซ่งจื่อเซวียนเห็นได้ชัดว่าไม่ได้สนใจประโยคหลังที่เขาพูด เขาเอ่ยว่า “โอเค อย่างนี้แล้วกัน นายให้รุ่ยจื่อดูร้านไป นายขับรถมาที่บ้านฉัน เราสองคนไปเตร็ดเตร่กันสักรอบ”
“ได้ เดี๋ยวไปครับ!”
จากนั้น ซ่งจื่อเซวียนก็เดินเตร่ไปที่บ้านของตนเอง เนื่องจากไม่ไกลอยู่แล้ว สองสามนาทีจึงถึงหน้าปากซอย
สูบบุหรี่ไปสองสามมวน รถของซางเทียนซั่วก็มาถึง เขาลดกระจกรถโบกมือ “อาจารย์ ขึ้นรถ!”
เดิมทีเขตเฉิงซีกับเขตเฉิงหนานไม่ไกลกัน บวกกับหวนรำลึกอยู่ใกล้ๆ กับจุดกึ่งกลาง ขับรถสิบกว่านาที ซางเทียนซั่วก็ชี้ไปด้านหนึ่งแล้วพูดว่า “อาจารย์ดูทางนั้นสิ ตอนงานกีฬาโอลิมปิกมีสร้างสนามกีฬากับถนนคนเดินไว้ด้านนี้ ตอนนี้งานกีฬาโอลิมปิกผ่านพ้นไปแล้ว แต่ถนนคนเดินกลับโด่งดังมากมาตลอด”
“หวนรำลึกอยู่ที่นี่เหรอ” ซ่งจื่อเซวียนหันไปมองทางนั้น
“ใช่ครับ อยู่ด้านในถนนคนเดินนี่แหละ เป็นตึกเล็กๆ สองชั้น มีสไตล์มาก เราจอดรถกันก่อน”
ซางเทียนซั่วชำนาญทาง เอารถตรงเข้าไปจอดในลานจอดรถบริเวณที่ใกล้กับลิฟต์ ลงจากรถก็ขึ้นลิฟต์ไปที่ชั้นหนึ่ง
เห็นคนบนถนนคนเดินที่ไม่นับว่าน้อย ซ่งจื่อเซวียนก็รู้สึกจากใจจริงว่าแนวโน้มธุรกิจในตู้เหมินยังดีมาก อย่างไรตอนนี้ก็เป็นเวลาทำงาน ยังมีคนมากมายขนาดนี้มาเดินเล่นได้ นี่ก็เป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ของเมืองที่เจริญรุ่งเรือง
ไม่นานนัก ทั้งสองก็เดินมาที่หน้าร้านอาหารร้านหนึ่ง ซางเทียนซั่วพูด “อาจารย์ ที่นี่แหละ”
ซ่งจื่อเซวียนเงยหน้ามอง เป็นตึกทำจากอิฐแดงสองชั้น หน้าต่างเป็นสไตล์ยุโรปยุคศตวรรษที่สิบแปด นอกหน้าต่างมีชั้นวางเหล็กสีดำที่วางกระถางต้นไม้พืชดอกสีขาวและสีเหลืองบานอยู่ เห็นแล้วดูเหมือนจะสดใสกว่าสิ่งปลูกสร้างสไตล์จีนรอบๆ ที่อื่น
หน้าต่างแต่ละบานล้วนขัดจนเงาวาว ประตูใหญ่ที่เปิดอยู่ก็เหมือนกัน ประตูกระจกแม้แต่ลายนิ้วมือก็ไม่มีเลย บานประตูเช็ดถูสะอาดเรียบร้อย มองไปก็สะอาดมาก ดูเหมือนสุภาพบุรุษชาวอังกฤษสวมสูทเดินเข้าไปถึงจะเหมาะสมที่สุด
จากนั้น ทั้งสองเดินเข้าไปในหวนรำลึก ไม่นานนักก็มีพนักงานสวมสูทมาต้อนรับ
“สวัสดีครับคุณผู้ชาย ไม่ทราบว่าจองไว้หรือเปล่าครับ”
ซางเทียนซั่วมองคนคนนั้น พูดว่า “ไม่ได้จองครับ อาจารย์ เราไปนั่งตรงนั้นกันไหม”
ซ่งจื่อเซวียนกลับไม่ได้มีเวลาสนใจรูปแบบด้านใน พอเข้าประตูมา ดวงตาทั้งสองข้างก็ตามหาเครื่องถมปัดทรงตังกวยลงยาฝ้าหลางที่หวังเฉิงยงพูดอย่างบ้าคลั่ง
“อาจารย์?”
ซางเทียนซั่วเร่งรัดคำหนึ่ง ซ่งจื่อเซวียนถึงได้สติกลับมา “อ้อๆ ได้หมด ที่นี่มีห้องน้ำไหมครับ”
“อ้อ มีครับคุณผู้ชาย จากตรงนี้เดินเข้าไปด้านใน” พนักงานชี้ไปด้านหนึ่งพลางพูด
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้าเดินไปที่ห้องน้ำ
จุดประสงค์ของเขาง่ายมาก นั่นก็คือใช้เวลาที่ไปห้องน้ำมาดูขอบเขตทั้งหมดในร้านนี้ พยายามหาเครื่องถมปัดทรงตังกวยนั่น
ซางเทียนซั่วรู้สึกประหลาดใจ วันนี้อาจารย์เป็นอะไรไป ไม่รู้ว่าทำไมถึงถ่อมาที่หวนรำลึกนี่ เข้ามาไม่พูดไม่จาก็พุ่งไปห้องน้ำก่อนเลย…
ตลอดทางจนถึงห้องน้ำ ซ่งจื่อเซวียนเมียงมองสภาพแวดล้อมโดยรอบ ถึงจะวางพวกเครื่องลายครามไว้ แต่ไม่พบเครื่องถมปัดทรงตังกวยเลย อีกทั้งล้วนเป็นงานฝีมือยุคสมัยนี้ ไม่มีของโบราณ
จากนั้นซ่งจื่อเซวียนก็ตรงขึ้นไปที่ชั้นสอง ดูแทบจะทุกซอกทุกมุมไม่ตกหล่น แต่ผลลัพธ์ก็ยังเป็นเหมือนเดิม ไม่ได้พบเจออะไร
เขาขมวดคิ้วเล็กน้อยยืนอยู่ที่เดิม มองไปรอบๆ อีกครั้ง พูดพึมพำ “ไม่น่าจะเป็นอย่างนี้สิ หรือว่า…ไม่ใช่ร้านนี้”
เหมือนไม่พอใจ เขาจึงวนหาอีกรอบ ก็ยังคงไม่ได้อะไร ทำได้แค่กลับไปหาซางเทียนซั่วที่ชั้นหนึ่งอย่างจำใจ
ตอนนี้ซางเทียนซั่วกำลังดื่มชาอยู่ตรงที่นั่งติดริมหน้าต่าง เห็นซ่งจื่อเซวียนมาแล้วจึงพูดว่า “อาจารย์ ทำไมถึงนานขนาดนี้ ท้องเสียเหรอ”
ซ่งจื่อเซวียนก็ไม่ได้สนใจ ทรุดตัวลงนั่งตรงหน้าเขา ขมวดคิ้วอยู่อย่างนั้น
เป็นไปได้ยังไง ตัวเองหาผิดที่เหรอ หรือว่าร้านอาหารที่ชื่อว่าหวนไม่ได้มีแค่ที่นี่ อีกทั้งจากชุดที่ตาแก่หวังเฉิงยงใส่อยู่ก็อาจจะมากินข้าวที่นี่ไม่ได้จริงๆ
“เทียนซั่ว นายลองคิดอีกรอบว่ายังมีร้านอาหารตะวันตกที่ชื่อหวนอีกไหม”
ซางเทียนซั่วหยิบโทรศัพท์มาค้นหาในแอปพลิเคชันจุนเค่อทันที ถึงอย่างไรต่อให้รู้ว่ามีมากแค่ไหน ก็ไม่เท่าค้นหาบนเว็บไซต์วิจารณ์แล้ว
“อาจารย์ ไม่มีจริงๆ นะ ไม่ต้องพูดถึงเขตเฉิงหนานเลย แม้แต่ชานเมืองผมก็หาแล้ว”
ซ่งจื่อเซวียนอดสูดลมหายใจไม่ได้ “ผิดปกติจริงๆ”
ซางเทียนซั่วไม่รู้ว่าหมายความว่าอะไร จึงพูดด้วยสีหน้าไม่เข้าใจ “เรื่องนี้…อาจารย์ ร้านเขาสเต็กเนื้อไม่เลวเลยนะ สั่งมาสักที่ไหม”
ซ่งจื่อเซวียนโบกมือพูดว่า “ไม่ต้องกินแล้ว เรากลับกันเถอะ”
ถึงอย่างไรจุดประสงค์ที่เขามาที่หวนรำลึกก็คือหาเครื่องถมปัดทรงตังกวยลงยาฝ้าหลาง ตอนนี้หาของไม่เจอ เขาก็ไม่จำเป็นต้องจ่ายเงินแพงๆ กินอาหารตะวันตกสักมื้อหรอก
“หา? ทำไมล่ะ อุตส่าห์มาทั้งที เราสองคนศิษย์อาจารย์จะไม่กินอาหารร่วมกันสักมื้อเหรอ” ซางเทียนซั่วยิ้มพูด
ซ่งจื่อเซวียนกลอกตา “แพง พอเลย กลับเถอะ”
ซางเทียนซั่วก็ไม่ได้พูดอะไรอีก ทำได้แค่ลุกขึ้น แต่ตอนนี้เอง ชายคนหนึ่งก็เดินเข้ามาในห้องอาหาร นั่งห่างจากซ่งจื่อเซวียนและซางเทียนซั่วโต๊ะหนึ่งพอดี
เขาไม่ได้มาคนเดียว ยังมีคนที่สวมสูทสีดำตามเขามาด้วย ล้วนสูงใหญ่กำยำ มีชายคนหนึ่งผมทรงสกินเฮดและใส่แว่นดำ ดูแล้วเหมือนบอดี้การ์ด
สายตาของซ่งจื่อเซวียนไปหยุดอยู่ที่ร่างกายของชายคนนั้นทันที ขณะเดียวกันก็ส่งสัญญาณมือไปให้ซางเทียนซั่ว ให้เขานั่งลง
ซางเทียนซั่วไม่เข้าใจ มองตามสายตาซ่งจื่อเซวียนไปทันที “เชี่ย อาจารย์ นี่ไม่ใช่…”
ซ่งจื่อเซวียนมองซางเทียนซั่วทันที “ไม่ต้องพูด ดูพอ”
“อือ”
ชายคนนั้นหน้าขาวเกลี้ยงเกลา องคาพยพหล่อเหลาราวกับมีดแกะสลัก ไว้ผมสั้นเรียบร้อย เห็นได้ชัดว่าสะอาดสะอ้านมาก สวมกางเกงสแลคสีดำ สูทสีเทา สไตล์ชุดสูทค่อนข้างพอดีตัว ขับรูปร่างชายคนนั้นให้ดูโดดเด่นถึงขีดสุด
คอเสื้อเชิ้ตสีม่วงอ่อนด้านในสูทเข้ากันเป็นอย่างดี ปลดกระดุมคอสองเม็ด ด้านในพันผ้าพันคอสไตล์อังกฤษได้อย่างพอเหมาะพอเจาะ
ซ่งจื่อเซวียนก็ไม่ได้จดจ้องไปที่ชายคนนั้นตรงๆ แต่เหลือบมองบ้างไม่มองบ้าง พอช่วยไม่ให้คนเขาจับสังเกตได้ มองขนาดนี้อย่างไรก็ดูไม่มีมารยาทเท่าไร
ส่วนชายคนนั้น ซ่งจื่อเซวียนและซางเทียนซั่วเคยเจอมาก่อน เป็นท่านเป้ยเล่อที่ชื่อเสียงอันโด่งดังในแถบปักกิ่งกับตู้เหมินนั่นเอง!
ตอนที่เดรนท์นำเสนอบะหมี่นึ่งจักรพรรดิตอนนั้น ท่านเป้ยเล่อยืนขึ้นปฏิเสธอาหาร กับเขาแล้ว…ซ่งจื่อเซวียนจำได้แม่น
“เขามาที่นี่ได้ยังไง ไม่ใช่ว่าควรจะอยู่ที่ปักกิ่งเหรอ” ซ่งจื่อเซวียนพึมพำ
แต่ยิ่งคิด ก็ไม่มีอะไรน่าแปลกใจ ปักกิ่งกับตู้เหมินใกล้กันขนาดนี้ ขับรถมานี่ก็ประมาณชั่วโมงกว่า
ขณะที่กำลังคิดอยู่นั้น ก็เห็นหญิงสาวคนหนึ่งสวมชุดสง่างามเดินเข้ามาในห้องอาหาร ในมือยังหิ้วถุงใส่ของหกเจ็ดยี่ห้อ เห็นได้ชัดว่าเป็นเสื้อผ้าไฮเอนด์ทั้งนั้น
พอเธอเดินเข้าประตูมาสายตาก็ไปหยุดอยู่ที่ท่านเป้ยเล่อ เธอเดินส่ายสะโพกเข้ามาทันที
เดินไปใกล้ท่านเป้ยเล่อ เธอก็วางถุงเสื้อผ้าทั้งหลายลงบนเก้าอี้ตัวหนึ่ง เดินไปที่ด้านหลังและสวมกอดท่านเป้ยเล่อทันที
“ที่รักคะ ฉันซื้อของเสร็จแล้ว ซื้อเสื้อโค้ทมาสองตัว แล้วก็กระโปรงสามตัว แล้วก็พวกเสื้อผ้าอย่างอื่นอีกนิดหน่อยค่ะ”
ท่านเป้ยเล่อยิ้ม ตีที่มือของหญิงสาวเบาๆ “ซื้อไปเถอะ มีความสุขก็ดีแล้ว นั่งลงกินอะไรสักหน่อยสิ”
“แต่ว่า…ฉันใช้ไปแสนสี่กว่าเลยนะคะ คุณคงไม่โกรธใช่ไหม”
“เหอะๆ ตามใจเถอะ สองสามวันมานี้เธออยู่กับฉัน เป็นสิ่งที่เธอควรได้แล้ว” ท่านเป้ยเล่อพูดพลางจับมือของหญิงสาวออกจากหน้าอกตนเอง ดึงเธอให้มานั่งข้างกาย
ซ่งจื่อเซวียนลอบยิ้ม คนรวยนี้ปากหวานกันทั้งนั้นเลยนะ คิดไม่ถึงว่าท่านเป้ยเล่อที่ดูเหมือนอายุแค่ยี่สิบกว่าปีก็จะควงสาวเป็นว่าเล่นแล้ว
ที่พูดว่าควง เป็นเพราะบนใบหน้าของเขาไม่ได้มีความรักอยู่เลย มีแค่รอยยิ้มขี้เล่นเท่านั้น
หลังจากหญิงสาวนั่งลง ก็ไม่ลืมจุ๊บท่านเป้ยเล่อไปหนึ่งที พูดว่า “ท่านเป้ยเล่อดีจริงๆ จากนี้ฉันจะเชื่อฟังคุณแน่นอนค่ะ”
“เหอะๆ สั่งอาหารเถอะ”
หญิงสาวถอดเสื้อโค้ทขนมิงค์ เผยให้เห็นเสื้อรัดรูปสีดำด้านใน ถึงจะไม่ได้เปิดเผย แต่ก็ยังเห็นได้ว่าเสื้อรัดเนินเนื้ออวบอัดที่นูนออกมาจนแน่นไปหมด
“ให้ตายสิ…อาจารย์ ดูนั่นสิ ท่านเป้ยเล่อไม่จุกตายเหรอ” ซางเทียนซั่วพูดพลางทำมือขยำอากาศสองสามที เหมือนกับรู้สึกได้อย่างไรอย่างนั้น
ซ่งจื่อเซวียนไม่ได้สนใจ พูดว่า “ดูอยู่ ไม่ต้องพูด เราก็ลองดูชีวิตส่วนตัวของขาใหญ่แห่งปักกิ่งคนนี้สักหน่อย เหอะๆ”
แต่ตอนที่หญิงสาวกำลังดูเมนูอาหารอยู่นั้น ด้านนอกประตูก็มีชายคนหนึ่งเดินเข้ามา
ชายคนนั้นไว้ผมยาวพ้นหู สวมแว่นตากรอบดำ สวมกางเกงยีนและเสื้อขนเป็ดสีเทา เสื้อโค้ทรูดซิปเปิดไว้ครึ่งหนึ่ง เผยให้เห็นเสื้อเชิ้ตลายตารางด้านใน
พอเข้ามา ชายคนนั้นก็ตามหาอะไรบางอย่างอย่างเคร่งเครียด ไม่นานนักสายตาก็ไปหยุดอยู่ที่หญิงสาวข้างกายท่านเป้ยเล่อ
เห็นหญิงสาว ชายคนนั้นก็พุ่งเข้าไปหาเหมือนกับเสียสติ
“ถิงถิง ฉันหาเธอมาหลายวันแล้ว ที่แท้เธอก็อยู่กับผู้ชายคนอื่นเหรอ พูดมา เขาเป็นใคร” ชายคนนั้นพูดพลางชี้ไปที่ท่านเป้ยเล่อ เสียงนั่นเปี่ยมไปด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจ
…………………………………………..