เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 149 สัญญาลูกผู้ชาย
ตอนที่ 149 สัญญาลูกผู้ชาย
ซ่งจื่อเซวียนขมวดคิ้วเล็กน้อย มองหวังเฉิงยงดูจากสายตาก็รู้ว่าเก็บซ่อนแผนร้ายอะไรไว้อยู่
แต่เขาก็อยากดูกระทะเหล็กจริงๆ จึงพูดว่า “เสี่ยพูดมาก่อนสิ ข้อแม้อะไร”
หวังเฉิงยงยิ้ม “เรื่องนี้ง่ายมาก ฉันดูๆ เครื่องถมปัด[1]คู่หนึ่งอยู่ แต่ไม่ค่อยสะดวกเอามาเท่าไร นายต้องเป็นหน้าม้าให้ฉัน”
ได้ยินดังนั้น ซ่งจื่อเซวียนก็หัวเราะ “คำพูดของเสี่ยนี่มากไปหน่อยนะ แม้แต่เสี่ยหวังยังคิดว่าไม่ค่อยสะดวกเอามา ผมเป็นหน้าม้าจะมีประโยชน์อะไร”
“เฮ้อ…พูดแบบนี้ก็ไม่ถูกนา ถ้าของทั่วไปฉันคาดว่าเอามาได้แน่ แต่ของชิ้นนี้อยู่ในร้านอาหารตะวันตก นายก็รู้ว่าฉันไม่เข้าใจเรื่องพวกนั้น ถึงต้องหาหน้าม้านี่ไง”
หวังเฉิงยงพูดพลางชนแก้วสุรา ก่อนจะยื่นไปทางซ่งจื่อเซวียน “แล้วนายก็เหมาะสม”
ซ่งจื่อเซวียนเงียบไปครู่หนึ่ง เผยรอยยิ้มออกมา “นี่คือข้อแม้ของเสี่ยเหรอ กระทะเหล็กนั่น…”
“ไม่มีปัญหา ฉันก็จะให้นายไป แต่วันนี้นายแค่ดูก็พอ!”
ซ่งจื่อเซวียนรีบยกมือขึ้น “อย่าๆๆ อย่ารีบสิ เสี่ยลองเล่าให้ผมฟังก่อนว่าเครื่องถมปัดคู่นี้มีดียังไง”
ได้ยินดังนั้น หวังเฉิงยงก็อึ้งไปครู่หนึ่ง อาศัยการคลุกคลีด้วยสองสามครั้ง เขาก็พอเข้าใจซ่งจื่อเซวียนบ้าง เจ้าเด็กคนนี้ชอบของโบราณสุดชีวิต ตอนนี้ควรร้อนรนอยากดูกระทะเหล็กถึงจะถูก แต่จู่ๆ ก็ไม่กระวนกระวายใจแล้ว…
เขามองซ่งจื่อเซวียน เอ่ยว่า “อะไรเนี่ย นี่นึกถึงกระทะเหล็กของฉันหรือว่าเครื่องถมปัดคู่นั้นกันแน่ เฮ้อ เราก็คุยกันเรียบร้อยแล้วนี่ ถ้านายอยากได้ เรื่องนี้ฉันก็ไม่ไปหานายแล้ว”
“โธ่ ผมว่านะ ตาแก่อย่างเสี่ยนี่ทำไมถึงโยงไปเรื่องแบบนั้นได้เล่า ผมก็แค่ถามดู เรียนรู้น่ะ เรียนรู้กับเสี่ยไง”
หวังเฉิงยงมองเขาอย่างสงสัย “ตั้งใจจะเรียนรู้จริงๆ เหรอ”
“ใช่สิ ไม่งั้นจะเป็นอะไรล่ะ”
“อ้อ งั้นฉันจะพูดให้นายฟังแล้วกัน ไอ้หนู เครื่องถมปัดอยู่ในราชวงศ์ไหน”
“ราชวงศ์ชิง สาธารณรัฐจีน”
“โอเค น่าสนใจนิดหน่อย ฉันจะบอกนายไว้เลยนะ ราชวงศ์ชิงมีเครื่องถมปัดเริ่มตั้งแต่สมัยจักรพรรดิเต้ากวง แต่ในยุคหมิงหย่งเล่อก็มีเหมือนกัน เพียงแต่ตอนนั้นไม่ได้ชื่อเครื่องถมปัด”
“เสี่ยหมายถึง…คู่นี้ที่เสี่ยดูไว้คือของราชวงศ์หมิงเหรอ”
“ต้องไม่ผิดแน่นอน แถมยังไม่ใช่เครื่องลายครามด้วย” หวังเฉิงยงพูดอย่างมั่นใจ
“ไม่ใช่เครื่องลายครามเหรอ” ซ่งจื่อเซวียนครุ่นคิด “การลงยาฝ้าหลาง[2]เหรอ”
“ผู้เชี่ยวชาญนัก นายดูสิ เรื่องแบบนี้ต้องคุยกับผู้เชี่ยวชาญ ถูกต้อง ก็คือการลงยาฝ้าหลาง ทองแดง ทั้งชิ้นไม่มีการซ่อมแซม ฉันดูอยู่เจ็ดแปดรอบ”
ได้ยินดังนั้น ซ่งจื่อเซวียนก็สูดลมหายใจ “ราชวงศ์หมิง เครื่องถมปัดลงยาฝ้าหลาง ทั้งชิ้น…มีมูลค่าเท่าไรกัน”
ที่จริงซ่งจื่อเซวียนมีความเข้าใจเกี่ยวกับวัตถุโบราณอยู่ไม่น้อยจริงๆ แต่ข้อเสียเพียงอย่างเดียวก็คือไม่เข้าใจเรื่องราคา ก็เหมือนตอนที่ได้ปี่เซียะหยกของเคอซานมา รู้แค่ว่าเป็นของชั้นเยี่ยมที่บริสุทธิ์สุดๆ แต่กลับตีราคาออกมาไม่ได้
“ถ้าของธรรมดาน่ะนะ สองสามร้อย สองสามพัน สองสามหมื่น แต่คู่นี้ ฉันประเมินแล้วหกหลักอย่างต่ำ” หวังเฉิงยงพูดแล้วดื่มสุราอึกหนึ่ง
“แพงขนาดนี้เชียว ดูยังไงน่ะ” ซ่งจื่อเซวียนถาม
“ทั้งชิ้นน่ะนะ ต้องเก็บรักษาเป็นอย่างดี แถมงานฝีมือของคู่นี้เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่ช่วงสาธารณรัฐ ของโบราณของราชสำนัก เดิมก็ทำให้มูลค่าเพิ่มขึ้นอยู่แล้ว แถมลวดลายก็องอาจ สไตล์ราชสำนัก ถึงเวลานายเห็นก็จะรู้เอง” หวังเฉิงยงพูด
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้าหงึกหงัก “เป็นอย่างนี้นี่เอง เสี่ยคิดว่าเท่าไรถึงจะเหมาะสมล่ะ”
ได้ยินดังนั้น หวังเฉิงยงก็ชะงัก พูดว่า “ไอ้เด็กนี่อย่าทำแบบนี้กับฉันสิ มาล้วงข้อมูลงั้นสินะ คิดจะไปเองหรือไง ฉันจะบอกนายให้นะ ฉันจะไม่ขอนายเรื่องนี้แล้ว”
“หยะ อย่าเข้าใจผิดสิ ผมก็แค่อยากเรียนรู้อะไรนิดหน่อยเอง ถือโอกาสเปิดหูเปิดตาไง เราจะไปเมื่อไรล่ะ” ซ่งจื่อเซวียนรีบพูดประดับรอยยิ้มบนใบหน้า
หวังเฉิงยงมองเขาอย่างละเอียด ส่ายหน้าพูด “ไม่ได้ๆ ฉันยังไม่วางใจ เด็กอย่างนายมันน่าเกลียด แค่ดูก็รู้ว่าไม่ใช่คนดี ช่างเถอะ”
“น่าเกลียดยังไง นอกจากผมแล้วเสี่ยจะไปหาใครที่ไว้ใจได้อีกล่ะ พอทำไม่ได้ก็พูดแก้ตัวกับเสี่ย ถูกไหม”
หวังเฉิงยงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง พูดว่า “นี่ก็จริง เอาอย่างนี้ คืนพรุ่งนี้เราไปกันโอเคไหม”
ซ่งจื่อเซวียนครุ่นคิด พรุ่งนี้ตอนบ่ายต้องไปเจอหวงฟา แต่อย่างไรตัวเองก็ไม่ได้สนิทสนมอะไรกับเขา ช่วงค่ำน่าจะปลีกตัวออกมาได้ จึงพยักหน้า
“ได้ ตามนี้ครับ เราเจอกันที่ไหนดี”
“ก็ที่เขตเฉิงหนาน ร้านหวน…” หวังเฉิงยงพูดไปครึ่งหนึ่ง เหมือนจะฉุกคิดอะไรได้ “ไม่ต้องไปเจอที่อื่นหรอก นายมาหาฉันที่นี่แหละ โอเคไหม”
“งั้นตกลงตามนี้ ผมรับปากแล้ว เสี่ยก็เอากระทะเหล็กให้ผมดูหน่อยสิ” ซ่งจื่อเซวียนพูด
“ได้ เป็นคนตรงไปตรงมาซะจริง!”
พูดจบ หวังเฉิงยงก็ลุกขึ้นเดินเข้าไปในห้อง ไม่นานนัก ก็เดินถือกระทะใบหนึ่งออกมา ทั้งยังห่อด้วยผ้าสีเหลืองผืนใหญ่
ผ้าสีเหลืองนั่นสกปรกจนเปลี่ยนเป็นสีเหลืองเข้มแล้ว ทั้งสียังกระดำกระด่าง แต่ต่อให้เป็นแบบนี้ ซ่งจื่อเซวียนก็ยังเบิกตากว้างเต็มไปด้วยความคาดหวัง ถึงอย่างไรนั่นก็ไม่ใช่แค่ของที่หวังเฉิงยงครอบครอง ยิ่งเป็นเครื่องครัวชั้นเยี่ยมอีกด้วย
ที่จริงเครื่องครัวสมัยนี้มีข้อดีมาก แต่เพราะปริมาณการผลิตและวัสดุธรรมดาได้แพ้ให้กับเครื่องครัวที่สืบทอดกันมา เครื่องครัวดีๆ สมัยก่อนชิ้นไหนไม่ใช่งานที่วิจิตรบรรจงบ้างล่ะ
ซ่งจื่อเซวียนรับกระทะมา ก็เลิกผ้าสีเหลืองออกไป หน้าตาที่แท้จริงของกระทะเหล็กก็ปรากฏต่อหน้าเขาทันที
ด้านหน้ากระทะเป็นสีเงินแวววาวทั้งใบ ดูแล้วเหมือนสแตนเลสในสมัยนี้ แต่ขาวกว่า อีกทั้งดูจากเนื้อสัมผัสลวดลายก็เป็นเหล็กเช่นกัน
ถึงแม้พื้นผิวจะมีร่องรอยจากการอ๊อกซิเดชั่น แต่เนื่องจากเวลาผ่านมานานมากแล้ว สีจะไม่ตกใส่และไม่ส่งผลต่อการประกอบอาหาร
เมื่อดูด้านหลังของกระทะ กลับเป็นสีดำปี๋ อีกทั้งไม่มีคราบน้ำมัน อาจจะเป็นเพราะหวังเฉิงยงเช็ดถูอย่างใส่ใจก่อนที่จะเก็บรักษาไว้
ด้ามจับของกระทะเป็นงานไม้ บอกไม่ได้ว่าเป็นไม้ชื่อว่าอะไร แต่น่าจะไม่ใช่ไม้แดง
“นี่คือ…เหล็กเหรอ” ซ่งจื่อเซวียนเบิกตากว้างพูด
หวังเฉิงยงนั่งกอดเข่าบนเก้าอี้ พูดว่า “ถูกต้อง เจ้าเหล็กนี่เกิดมาเพื่อเป็นเครื่องครัวเชียวนา เกิดมาเป็นส่วนประกอบชั้นดี น่าเสียดายที่ฉันมีแค่กระทะ ถ้ามีเครื่องครัวเหล็กทั้งชุด นั่นก็คุ้มค่าแล้ว”
“เครื่องครัวมีอายุนี่แพงมากใช่ไหมครับ” ซ่งจื่อเซวียนถาม
“ไม่ได้พูดถึงเรื่องแพงไม่แพงหรอก ที่สำคัญที่สุดคือขายให้ใครต่างหาก ยอดเชฟที่อยู่ระดับสูงสุดในวงการเชฟจีนแผ่นดินใหญ่พวกนั้นมีคนไหนบ้างไม่เสาะแสวงหาเครื่องครัวดีๆ ถ้านายได้ครอบครองเครื่องครัวเหล็กครบชุดขึ้นมา พวกเขาคงได้แย่งกันเป็นบ้าเป็นหลัง ราคาก็พุ่งสูงขึ้นไปอีกแน่ๆ”
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้า เหตุผลนี้ไม่ผิดเลย ขายหยกพม่าให้คนรักหยก ขายวอลนัทให้กับคนเล่นวอลนัท เครื่องครัวย่อมต้องขายให้กับเชฟ ที่สำคัญที่สุดก็คือตลาด ถึงค่อยคุยกันเรื่องราคา
“เสี่ยหวัง ที่เสี่ยบอกว่าชุดหนึ่งนี่…หมายถึงกระทะกับตะหลิวใช่ไหม” ซ่งจื่อเซวียนพูด
เสี่ยหวังพยักหน้า “ใช่ นอกจากนี้ยังมีฝาปิดก็ครบแล้ว เพราะกระทะเก่าๆ ก็มีฝากันทั้งนั้น แต่งานไม้ไม่โอเคนะ ขายไม่ได้ราคา มูลค่าที่แท้จริงก็ไม่สูงนัก”
เรื่องนี้ซ่งจื่อเซวียนก็รู้ ตาเฒ่าฟางเคยพูดเกี่ยวกับเครื่องครัวครบชุดมาก่อน คิดว่ามูลค่าก็เป็นแบบนี้อยู่แล้ว เครื่องครัวราคาแพงมากชิ้นหนึ่ง ถ้าทำออกมาครบชุดจริงๆ มูลค่านั้นจะต้องไม่ใช่เพิ่มแค่สองหรือสามเท่าแน่นอน
“แต่ที่จริงของที่ทำจากเหล็ก หม้อและกระทะไม่ใช่ของดีที่สุด ถ้ามีมีดเหล็ก…จิ๊ๆ ของพวกนั้นทั้งหมดก็สว่างสดใสแล้ว” หวังเฉิงยงพูดพลางทำท่าเหมือนมือกำลังถือมีดเหล็กอยู่ ทั้งยังทำท่าหั่นผัก สีหน้าเปี่ยมไปด้วยความสุข
ซ่งจื่อเซวียนมองออกว่าก่อนหน้านี้หวังเฉิงยงจะต้องไม่ใช่เชฟธรรมดาๆ แน่นอน ไม่ได้อาศัยเพียงแค่คำพูดของคนในวงการเก่าแก่ที่บอกว่าเขาเคยเป็นเชฟหลักของเสี่ยวอวิ๋นซาน ที่สำคัญที่สุดคือแม้แต่จินตนาการว่าทำอาหารก็ยังทำออกมาอย่างมีความสุขได้ นี่เรียกว่าคลั่งไคล้อย่างแท้จริง
แต่ฟังถึงตรงนี้ ซ่งจื่อเซวียนกลับนึกถึงมีดเล่มที่ปู่กุ่ยให้ตัวเอง
ใช้ความทรงจำเปรียบเทียบครู่หนึ่ง วัสดุของมีดเล่มนั้นกับกระทะเหล็กเหมือนกันมากจริงๆ สันมีดดำปี๋ ใบมีดเปล่งประกายสีเงินแวววาว อีกทั้งสี ความวาวและลวดลายก็ใกล้เคียงมาก
ตอนที่ซ่งจื่อเซวียนมองมีดเล่มนั้นก็คิดว่าไม่ธรรมดา หรือว่าจะเป็นมีดเหล็กจริงๆ
“เสี่ยหวัง ลองเล่าให้ฟังหน่อยว่ามีดเหล็กนี่ดียังไง”
หวังเฉิงยงหรี่ตาลงเล็กน้อย พูดว่า “มีดเล่มนั้นตอนที่ถืออยู่ในมือเรียกได้ว่าเติมเต็ม น้ำหนักก็พอดี การลับมีดก็สบาย ถ้าหั่นเนื้อไม่ต้องเฉือนเลย แม้แต่เส้นใยก็ตัดขาดได้แน่นอน”
“แล้วสับขาดเลยไหม” ซ่งจื่อเซวียนอดสงสัยไม่ได้ ตามปกติต่อให้มีดจะดีแค่ไหน เวลาจะหั่นเนื้อก็ต้องหั่นอย่างพิถีพิถัน หรือก็คือลากมีดจากอีกด้านหนึ่งจนถึงอีกด้านหนึ่ง แต่แค่ลงมีดก็ขาดแล้ว…ไม่เคยได้ยินมาก่อนจริงๆ
“ประมาณนั้น แต่สับน่ะไม่แน่นอน ควรจะกดใบมีดลงไปสักหน่อย ก็จะตัดเนื้อได้แล้ว”
“เร็วขนาดนั้นเลยเหรอ ใบมีดนั่นต้องบางแค่ไหนน่ะ” ซ่งจื่อเซวียนถาม
หวังเฉิงยงยิ้มพูด “นายพูดถูกแล้ว มีดธรรมดาถ้าลับจนกลายเป็นอย่างนั้น มีดอาจงอหรือแตกได้ แต่เหล็กนี่ไม่เหมือนกัน ต่อให้มีดเล่มนั้นจะลับจนบางก็ยังตัดกระดูกได้”
ซ่งจื่อเซวียนถอนหายใจ แอบตัดสินใจว่ากลับไปต้องลองดู ถ้าเหมือนกับที่เสี่ยหวังพูดจริงๆ ตนเองก็ได้กำไรครั้งใหญ่จริงๆ
“จริงหรือเปล่าเนี่ย ยังตัดกระดูกได้ด้วย…”
หวังเฉิงยงไม่ได้สนใจ แต่ทำหน้ามีความสุขต่อพูดว่า “น่าเสียดาย ตอนนี้ไม่มีแล้ว ถ้าฉันได้ใช้มีดเล่มนั้นหั่นเนื้อสักครั้ง ฮ่าๆๆ ตายก็คุ้มแล้ว!”
ได้ยินดังนั้น จู่ๆ ซ่งจื่อเซวียนก็รู้สึกเคารพเชฟอาวุโสที่รักการทำอาหารหัวปักหัวปำเพิ่มขึ้น
“ต้องโอเวอร์ขนาดนั้นด้วยเหรอ แถมยังจะตาย…”
“นายไม่เข้าใจ นายยังเด็กเกินไป ถ้านายสามารถทำอาหารได้ทั้งชีวิต หลังจากนี้ก็จะเข้าใจเอง”
ซ่งจื่อเซวียนยิ้ม “งั้นผมก็จะไม่ยอมตายหรอก”
“เหอะๆ ฉันก็พูดไปขนาดนั้น เหมือนจะเข้าใจแล้วใช่ไหม แต่พูดตรงๆ นะ ถ้าฉันได้จับมีดเหล็กเล่มนั้นได้สักครั้ง กระทะเหล็กใบนี้ฉันก็มอบให้เขาได้!”
ประโยคนี้เหมือนพูดตรงเส้นประสาทของซ่งจื่อเซวียน เขามีชีวิตชีวาขึ้นมาทันที
“หา? นี่พูดจริงเหรอ”
“แน่นอนสิ”
“แต่กระทะนี่อยู่กับคุณมากี่สิบปีแล้ว แถมความรุ่งโรจน์ก่อนหน้านี้ของคุณก็พึ่งมันนี่นา” ซ่งจื่อเซวียนพูดพลางชี้ไปที่กระทะเหล็ก
“นายก็พูดมาแล้วนี่ ว่าเป็นความรุ่งโรจน์เมื่อก่อนน่ะ ตอนนี้ฉันคิดแค่อยากจะสัมผัสมีดเหล็กเล่มนั้น สัมผัสนั้น…ชวนเบิกบานใจนัก!”
ซ่งจื่อเซวียนลอบยิ้ม เอ่ยว่า “พูดแล้วนา ตาแก่หวัง ถ้าสักวันผมเอามีดเหล็กมาได้…ให้เสี่ยหั่นเนื้อสักทีหนึ่ง กระทะนี่ก็ต้องเป็นของผมนะ”
“ไม่มีปัญหา แต่ถ้านายทำไม่ได้ ฉันจะบอกนายให้นะ เครื่องเหล็กในยุคนี้น่ะเทียบกับของโบราณไม่ได้หรอก สังเคราะห์ทั้งนั้น แถมต่อให้นายหามาได้จริงๆ ก็ไม่มีทางเป็นมีด ของนั่นหายากนา”
ซ่งจื่อเซวียนยิ้ม “งั้นคุณก็ไม่ต้องเป็นห่วง เรามาทำสัญญาลูกผู้ชายกัน ถ้าผมเอามาให้คุณถือได้ กระทะของคุณจะให้ผมได้ไหม”
“ลูกผู้ชายคำไหนคำนั้น ฉันยังจะหลอกนายได้เหรอ” หวังเฉิงยงกลอกตาพูด
…………………………………………
[1] เครื่องถมปัด (罐) คือภาชนะเครื่องใช้ ทำด้วยทองแดงที่เคลือบน้ำยาประสมด้วยลูกปัดป่นเป็นผงให้เป็นสีและลวดลายต่างๆ ตามต้องการ
[2] ฝ้าหลาง (珐琅) หรือ การลงยา กำเนิดขึ้นทางโลกตะวันตก โดยใช้ฟริต (Frit : ผงแก้วผสมออกไซด์โลหะต่างๆ) ผสมกับน้ำเป็นยาสี นำมาเขียนลงบนภาชนะโลหะ ถ่ายทอดเข้าสู่เมืองจีนในปลายยุคสมัยหยวน เมื่อถึงยุคสมัยหมิงเทคนิคนี้ได้รับการพัฒนาจนปรับให้เข้ากับท้องถิ่น