เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 148 พูดถึงข้อแม้
ตอนที่ 148 พูดถึงข้อแม้
มีลูกค้าข้าวผัดจักรพรรดิมาตั้งแต่เช้าสิบสามคน นี่ก็ทำให้รายได้ของร้านอาหารร่ำรวยพุ่งขึ้นสูงกว่าที่ผ่านมา ต้องรู้ว่านี่ยังไม่ถึงช่วงพีคตอนเที่ยง ก็มีรายได้ล้วนๆ หมื่นกว่าแล้ว
ส่วนซ่งจื่อเซวียนก็ตั้งใจรักษาจังหวะผัดข้าวให้ช้า เพื่อไม่ให้ลูกค้ากินเสร็จแล้วก็ไป รักษาสภาพที่ชั้นหนึ่งมีลูกค้าเต็ม แบบนี้ก็จะสามารถกระตุ้นการหมุนเวียนลูกค้าในช่วงพีคตอนเที่ยงได้แล้ว
ถึงอย่างไรเรื่องอย่างการกินข้าวก็เป็นการให้ความสำคัญกับการรวมกลุ่มกัน ใครเห็นร้านอาหารคนเยอะก็ยินยอมเข้าไปลองชิมรสชาติดู เห็นร้านที่เงียบสงัดก็ไม่ยินยอมเข้าไป นี่จึงเป็นความคิดด้านธุรกิจอย่างหนึ่งของร้านอาหารสมัยนี้ พอคนเยอะก็จะเยอะขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งเงียบก็จะเงียบลงเรื่อยๆ
เป็นไปตามคาด ซ่งจื่อเซวียนรักษาจังหวะไว้ จนถึงสิบเอ็ดโมง ลูกค้าที่ชั้นหนึ่งก็เต็ม อีกทั้งเมื่อถึงตอนเที่ยง ห้องส่วนตัวชั้นสองก็เหลือว่างอยู่แค่ห้องเดียว
ขณะเดียวกัน ข้าวผัดจักรพรรดิก็ถูกสั่งเพิ่มอีกสามที่ ตอนเที่ยงก็เสิร์ฟข้าวผัดจักรพรรดิไปแล้วสิบหกที่ โถงด้านหน้าครัวด้านหลังยุ่งจนไม่สามารถปลีกตัวออกมาได้เป็นประวัติการณ์
พวกหยางกังแม้แต่เวลาจะพูดคุยกันก็ไม่มี รับลูกค้า ยกอาหาร ทำความสะอาดโต๊ะ แทบจะไม่ได้หยุดเลย
จนเกือบบ่ายโมง ซ่งจื่อเซวียนถึงได้ว่างนั่งพักสักครู่ แต่เพราะอาหารด้านนอกยังเสิร์ฟไม่ครบ ครัวด้านหลังยังต้องวุ่นวายกับงานต่อ ดังนั้นซ่งจื่อเซวียนจึงพักได้แค่ครู่เดียว แล้วทำหน้าที่เป็นพนักงาน วิ่งเข้าด้านหน้าออกด้านหลัง
“อาจารย์ วันนี้ออร์เดอร์ทะลักจริงๆ สิบแปดที่แล้วเนี่ย” ซางเทียนซั่วเอ่ย
“เหอะๆ ลองดูว่าจะมีอีกสองที่ไหม เดาว่าเสี่ยปาก็น่าจะยิ้มหน้าบานเป็นดอกไม้แล้ว”
ซางเทียนซั่วยิ้มพูด “ดูท่าอีกไม่นานเราก็คงเหมือนกับตอนที่อยู่ต้าสือไต้แล้วล่ะ ที่เลิกงานหลังเที่ยง”
“นั่นก็ไม่แน่หรอก ถึงขนาดของร้านอาหารร่ำรวยจะเล็ก ใช่ว่าจะดังไม่ได้ แต่ต้องใช้เวลานานกว่าต้าสือไต้ สถานการณ์วันนี้น่าจะเป็นเรื่องที่เหนือความคาดหมาย ตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไปถึงจะพัฒนาตามอัตราปกติได้” ซ่งจื่อเซวียนพูด
“หา? แล้วอาจารย์ยังให้ผมออกไปแปะไอ้นั่นข้างนอกอีกเหรอ ถึงเวลาออร์เดอร์ไม่ทะลักจะไม่ขายขี้หน้ามากหรือไง”
ซ่งจื่อเซวียนยิ้ม “นั่นเป็นไม่ได้หรอก ถึงเราจะออร์เดอร์ทะลักทันทีทุกวันไม่ได้ แต่เรื่องวันนี้ก็อธิบายได้ว่าในอนาคตจะมีคนมากินข้าวผัดตั้งแต่เช้าตรู่ ถึงเวลาคนอื่นเห็นว่าร้านเรามีคนมาต่อแถวรอกินทุกวัน ก็ย่อมเป็นการโฆษณากลายๆ ไง”
ได้ยินดังนั้น ซางเทียนซั่วก็พยักหน้า “มีเหตุผล ให้ตายสิอาจารย์ ถ้าไม่บอกว่าอาจารย์ไม่ได้จบแม้แต่มัธยมปลาย จะต้องมีคนเชื่อแน่ว่าอาจารย์จบการจัดการจากมหา’ลัยดัง ฮ่าๆ”
“ฉันไม่ได้เข้าใจการจัดการอะไรนั่นหรอก แต่ฉันรู้ว่าเราต้องดูแลร้านดีๆ อย่างแรกต้องทำอาหารของตัวเองให้ดี ไม่ว่าจะเป็นข้าวผัดจักรพรรดิหรืออย่างอื่น อย่างที่สองก็คือต้องทำการโฆษณาให้ดี ไม่ว่าจะเป็นการเอาไปบอกต่อหรือว่าจะเป็นสื่อออนไลน์ สรุปคือยิ่งขอบเขตการโฆษณากว้างเท่าไร อิทธิพลของพวกเราก็ยิ่งใหญ่มากเท่านั้น ด้วยเงื่อนไขแรกอย่างด้านคุณภาพอาหารและตำราอาหาร ก็สามารถโด่งดังไปทั้งเมืองตู้เหมินได้!”
“พูดได้ดี สมแล้วที่เป็นนายท่านรอง รู้เรื่องเยอะจริงๆ!” หูเจิ้นได้ยินก็แหกปากอยู่ข้างๆ
ซ่งจื่อเซวียนหันไปยิ้มน้อยๆ “ลำบากหัวหน้าเชฟแล้ว รอร้านเราดังเมื่อไร ฉันจะเลี้ยงเหล้าพวกนาย!”
“เอาสิ นายท่านรอง ใจกว้างจริงๆ ฮ่าๆ มีเถ้าแก่แบบคุณ พวกเราถึงทำงานได้อย่างสบายใจ!”
“ไม่สิ นายท่านรอง ผมก็อยากกินน้ำแกงแสนอร่อยที่คุณทำด้วย”
“ใช่ๆๆ ผมก็อยากกิน นายท่านรอง รอมีโอกาสค่อยทำให้พวกพี่ๆ สักครั้งเถอะ!”
พวกเชฟพูดกัน
ซ่งจื่อเซวียนยิ้มพูด “ไม่มีปัญหา ขอแค่ร้านพวกเราดัง นี่ไม่นับเป็นเรื่องอะไรเลย!”
เวลานี้ ซ่งจื่อเซวียนแทบจะสนิทสนมกับครัวด้านหลัง ทุกคนไม่เพียงแต่ให้ความร่วมมือกันอย่างดีมากเท่านั้น ทั้งยังหล่อเลี้ยงความรู้สึกดีๆ ขึ้นมาไม่น้อย
อย่างไรก็เป็นร้านอาหารของตัวเอง ไม่ว่าโถงด้านหน้าหรือครัวด้านหลัง ซ่งจื่อเซวียนก็ต้องการทีมที่ยอดเยี่ยม และเงื่อนไขในการเป็นทีมที่ยอดเยี่ยมก็คือความสามัคคี
เวลาประมาณบ่ายสอง ลูกค้าส่วนใหญ่ในร้านก็ออกไปแล้ว เหลือแค่สองโต๊ะที่ยังดื่มเหล้านั่งแช่กันอยู่
ซ่งจื่อเซวียนกำชับหยางกังให้บริการสองโต๊ะนี้ให้ดี ขณะเดียวกันก็พูดว่า “หยางกัง วันนี้ถ้ายังมีคนสั่งข้าวผัดอีก ก็บอกพวกเขาไปนะว่าเสิร์ฟครบแล้วยี่สิบที่ ถ้าจะกินเชิญพรุ่งนี้เช้า”
“หา? นายท่านรอง ทำไมล่ะครับ ไม่ใช่ว่ายังเหลืออีกสองที่เหรอ เราจะปล่อยสองพันหยวนไปไม่สู้ต่อเหรอครับ” หยางกังถามอย่างไม่เข้าใจ
ซ่งจื่อเซวียนหัวเราะ “เหอะๆ บางทีก็ต้องให้ความสำคัญกับเรื่องกับกลยุทธ์หน่อย ให้พวกเขากินได้ตลอด ก็ไม่รู้จักคุณค่าสิ”
ซางเทียนซั่วข้างๆ พูดว่า “ใช่แล้วอาจารย์ เป็นแบบนี้จริงๆ คนรอบนี้เคยกินไปแล้ววันนี้ อีกสองสามวันคงไม่มาอีกแน่ พรุ่งนี้เป็นไปได้มากว่ามีไม่กี่ออร์เดอร์หรอก พวกเราต้องอุบพวกเขาไว้”
“ถูกต้อง เทียนซั่วมีการพัฒนาแล้ว”
ขณะที่คุยกันอยู่ เห็นเพียงประตูหลักของร้านมีผู้ชายอายุห้าสิบกว่าปีเดินเข้ามา แต่งตัวมอมแมม เดินทีจะล้มแหล่ไม่ล้มแหล่ เดินลากรองเท้าผ้าใบ ส้นเท้าก็ไม่ต้องพูดถึง
“เฮ้อ ตาเฒ่านี่อีกแล้ว…” หยางกังพูดหน้าเศร้า
ซ่งจื่อเซวียนเห็นเข้าก็เดินเข้าไปต้อนรับ “โอ๊ะ เสี่ยหวัง ลมอะไรพัดเสี่ยมาล่ะเนี่ย”
เสี่ยหวังประสานหมัดด้วยรอยยิ้ม “จะว่าไป ไม่ใช่ว่าคุยกันแล้วเหรอว่าวันนี้จะไปดื่มอะไรนิดๆ หน่อยๆ ที่บ้านฉันน่ะ เราต้องรักษาคำพูดสิ สามวันแล้ว วันนี้ฉันมาเชิญนายท่านรองไง”
หวังเฉิงยงก็ไว้หน้าซ่งจื่อเซวียนอย่างเห็นได้ชัด ทั้งสองคนอายุห่างกันเกือบสามสิบกว่าปี สามารถเรียกว่านายท่านรองได้ก็เป็นเพราะสนิทกันมาก อีกทั้งเขาก็ชอบซ่งจื่อเซวียนมากๆ จากใจจริง
“ฮ่าๆๆ เสี่ยหวังก็พิถีพิถันไปแล้ว ผมไม่มีเรื่องอะไรพอดี เราไปกันเลยไหม” ซ่งจื่อเซวียนยิ้มพูด
“เอาสิ แต่ว่า…วันนี้ทางฉันมีแค่เหล้านิดหน่อยกับถั่วลิสง นายก็เอาเนื้อไปหน่อยโอเคไหม” หวังเฉิงยงพูด
ซ่งจื่อเซวียนกลอกตาใส่เขา “เฮ้อ ผมว่าไม่น่าจะมีเสี่ยอย่างคุณนะ เสี่ยเลี้ยงผมยังต้องให้แขกเอาอาหารแห้งไปเองอีกเหรอ ไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย…”
“โธ่ ลดได้ก็ลดหน่อยสิ เฮ้อ ฉันว่านะ ตรงๆ แล้วกัน วันนี้ฉันให้นายสนับสนุนหน่อย เอาเป็นข้าวผัดจักรพรรดิสักที่เป็นไง ฉันก็ไม่ได้กินมาหลายวันแล้ว คิดถึงรสชาตินั้นจัง” หวังเฉิงยงเอ่ยยิ้มๆ
ซ่งจื่อเซวียนได้ยินก็มองหยางกังแวบหนึ่ง คนหลังก็เข้าใจทันที พูดว่า “เรื่องนั้น…นายท่านรอง วันนี้ข้าวผัดจักรพรรดิของเราขายครบยี่สิบที่แล้ว เสิร์ฟอีกไม่ได้ครับ”
ซ่งจื่อเซวียนมองหวังเฉิงยงทันที ยักไหล่ สีหน้าจนปัญญา เหมือนกำลังพูดว่าขายหมดแล้ว ผมก็หมดหนทาง
“ใช้ได้นี่ ขนาดฉันวันนี้ยังไม่ได้กินเลยเหรอ งั้นนายก็เอาอย่างอื่นมาหน่อยแล้วกัน ดื่มเฉยๆ มันน่าเบื่อ” หวังเฉิงยงพูด
ซ่งจื่อเซวียนเก็บหมวกเชฟและผ้ากันเปื้อน ลากหวังเฉิงยงออกไปข้างนอก “น่าเบื่ออะไร ผมคิดว่าดีออก มีถั่วลิสงก็พอแล้ว”
เห็นได้ชัดว่าหวังเฉิงยงยังไม่ยอมแพ้ โดนลากเดินไปก็พูดว่า “เฮ้อ อย่างน้อยก็เอาเนื้อตากแห้งมาสักหน่อยเถอะ เนื้อรมควันก็ได้”
“เอาล่ะๆ ถั่วลิสงก็ดีมากแล้ว” ซ่งจื่อเซวียนพูดพลางลากเขาไปนอกร้านต่อ
เขารู้ว่าหวังเฉิงยงเป็นคนตระหนี่ ตั้งแต่ครั้งแรกที่กินข้าวก็ไม่จ่ายเงิน ครั้งนี้หายากที่เขาจะเลี้ยง ซ่งจื่อเซวียนถึงไม่ได้เอาพวกของแห้งไปเอง
ก็เหมือนอย่างที่หวังเฉิงยงพูด บางทีถ้าซ่งจื่อเซวียนคิดเล็กคิดน้อยขึ้นมา ก็หลักแหลมอย่างกับลิง
ซางเทียนซั่วเห็นก็มีความสุข ร้องเรียก “อาจารย์ ให้ผมไปส่ง…”
“ไม่ต้อง พวกนายอยู่นี่ดูร้านสักหน่อย วันนี้ฉันจะไม่กลับมาแล้ว”
“ครับ!”
ที่จริงซ่งจื่อเซวียนลืมเวลานัดของหวังเฉิงยงไปแล้ว แต่ชายชราคนนี้มาหาตัวเองถึงที่ร้าน อาศัยเพียงแค่จุดนี้ก็พิถีพิถันมากแล้ว
ทั้งสองเรียกรถไปที่บ้านหวังเฉิงยง แต่สิ่งที่ซ่งจื่อเซวียนคาดไม่ถึงคือบ้านของเขาใกล้กับบ้านตัวเองมาก น่าจะห่างกันเพียงสองกิโลเมตร
ในเมื่อใกล้ขนาดนี้ จึงเป็นย่านเก่าเช่นกัน ถึงไม่ได้อยู่ซอยเดียวกัน แต่ดูแล้วก็ไม่ต่างกันมากนัก ล้วนอยู่ในเขตบ้านเก่าชั้นเดียวของเมืองนี้
ลงจากรถเดินเข้าไปในซอย ซ่งจื่อเซวียนรู้สึกว่าคุ้นเคยมากๆ เหมือนกับเดินกลับบ้าน
“เหอะๆ ไม่คิดเลยว่าเสี่ยหวังจะอยู่ที่นี่น่ะ”
“ที่นี่มันยังไง” หวังเฉิงยงเหลือบมองเขา
“ไม่ยังไงหรอก เสี่ยที่สมบัติในมือเยอะขนาดนั้น ผมคิดว่าเสี่ยจะอยู่บ้านเดี่ยวหลังใหญ่เสียอีก” ซ่งจื่อเซวียนพูดหยอกล้อ
“ข้าก็แม่งอยู่ที่นี่ บ้านที่พวกนายอยู่หรูหรามากหรือไง ก็ข้าชอบที่นี่ ติดดินดี นายจะเข้าใจอะไรล่ะวะ”
ซ่งจื่อเซวียนก็ยิ้ม เขารู้สึกว่าหวังเฉิงยงคนนี้พูดจาเหมือนกับตาเฒ่าฟางจริงๆ จะแหย่หรือไม่แหย่ก็พ่นคำหยาบคายออกมาแล้ว
แต่นี่ก็เป็นนิสัยของคนรุ่นก่อนในชุมชน ที่จริงไม่ได้มีเจตนาร้ายอะไร และไม่ได้ตั้งใจด่าไปเรื่อย เป็นคำติดปากเฉยๆ
เดินผ่านสองโค้งด้านในซอย ก็ถึงบ้านของหวังเฉิงยง ซ่งจื่อเซวียนพบว่าที่จริงบ้านเขาไม่เลวเลย ถึงทางจะซอมซ่อมาก แต่กลับมีบ้านเล็กๆ ของตัวเอง
บ้านเล็กๆ ไม่นับว่าใหญ่ แต่ก็มีสามห้อง ทั้งตำแหน่งก็ตรงกลางมาก สำหรับผู้เฒ่าผู้แก่ในเมืองตู้เหมินแล้ว ห้องตรงกลางค่อนข้างสำคัญมาก
ห้องตรงกลางที่อยู่ตรงข้ามประตูเป็นโถงกลาง หวังเฉิงยงเดินตรงไป หยิบกุญแจมาเปิดแม่กุญแจที่อยู่ตรงประตู แล้วเดินเข้าไป
พอซ่งจื่อเซวียนเห็น สุราก็วางอยู่บนโต๊ะเรียบร้อยแล้ว ปักกิ่งเอ้อร์กัวโถวสี่สิบสองดีกรี ขวดใส ข้างๆ ยังวางถั่วลิสงไว้หนึ่งจาน แต่พร่องไปเล็กน้อย มองแวบเดียวก็นับจำนวนได้
“ปัดโธ่ ผมว่าแล้วตาแก่หวัง คุณนี่ขี้งกจริงๆ ถั่วลิสงพวกนี้ผมกินคำเดียวก็หมดแล้ว”
หวังเฉิงยงหรี่ตามองซ่งจื่อเซวียน “ฉันบอกให้นายเอาของมากินนายไม่เอามาเอง ตอนนี้ไม่พอใจเหรอ ทนเอาสิ!”
ซ่งจื่อเซวียนยิ้ม “โธ่ ไม่ถือ เสี่ยเลี้ยง ผมไม่ต้องควักเงินก็พอแล้ว น้อยก็น้อยสิ”
ขณะที่พูด ซ่งจื่อเซวียนก็กวาดตามองรอบๆ ครู่หนึ่ง ในบ้านหวังเฉิงยงคนนี้มีของมีค่าไม่น้อยจริงๆ เก้าอี้กลมสองตัวตรงหน้ามองแวบเดียวก็รู้ว่าอยู่กลางยุคราชวงศ์ชิง แจกันกระเบื้องสีขาวบนโต๊ะก็ไม่ใช่งานฝีมือร่วมสมัย รวมถึงชั้นวางกระถางดอกไม้และแจกันดอกไม้ข้างๆ ก็มีอายุเป็นส่วนใหญ่
“เฮ้อ ผมว่าเสี่ยก็ใช้ได้นะเนี่ย ของโบราณทั้งห้อง หยิบชิ้นไหนออกมาคงไม่ใช่ว่าแลกเป็นบ้านหนึ่งหลังหรือครึ่งหลังได้เลยเหรอ”
หวังเฉิงยงดื่มสุราอึกหนึ่ง โบกมือพูด “ไร้สาระน่า แค่เป็นคนชอบเล่นของสะสมเอง ไม่ได้มีหลักการที่ว่าเก็บแล้วค่อยขายสักหน่อย แบบนั้นแม่งเรียกพ่อค้าเร่”
“นั่นแหละๆ ที่เสี่ยทำน่ะสูงส่งงดงาม จะเหมือนพวกเขาได้ยังไง” ซ่งจื่อเซวียนพูดพลางมองไปในห้องต่อ รู้สึกอิจฉาในใจ “ไม่เลวเลยจริงๆ เสี่ยว่าเสี่ยอายุมากขนาดนี้แล้ว ก็ไม่คิดขาย…งั้นเก็บไว้ให้ใครเหรอ”
“เฮ้ยๆๆ เลิกดูได้แล้ว ถ้าดูอีกจะควักลูกตาออกจากเบ้าแล้วนะ” หวังเฉิงยงหยิบตะเกียบโบกไปมาด้านหน้าซ่งจื่อเซวียน “คนอื่นไม่รู้ฉันจะไม่รู้ได้ยังไง เด็กอย่างนายดูของอันไหน ของอันนั้นก็ตกอยู่ในอันตรายแล้ว ฉันจะบอกนายให้นะว่าของพวกนี้เป็นของฉันทั้งหมด นายเลิกคิดถึงไปได้เลย”
“ใครคิดถึงเล่า พูดอย่างกับผมเป็นขโมย เราพูดตรงๆ เลยดีกว่า กระทะเหล็กนั่น…ให้ผมดูหน่อยสิ”
“อยากดูกระทะเหล็กเหรอ” หวังเฉิงยงเอียงคอมองซ่งจื่อเซวียน พร้อมรอยยิ้มเล็กน้อย
“อยากดูสิ!” ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้าพูด
“อยากดู…ก็ใช่ว่าจะไม่ได้ แต่เรามีข้อแม้อย่างหนึ่ง” หวังเฉิงยงยิ้มพูด
“ข้อแม้? ตาแก่หวังขี้โกง สามวันก่อนคุณไม่ได้พูดถึงข้อแม้เลยนี่” ซ่งจื่อเซวียนพูดหน้าตึงทันที
หวังเฉิงยงยิ้ม “ข้อแม้ง่ายๆ นายรับปากได้แน่นอน”
ขณะที่พูด แววตาของหวังเฉิงยงก็มีประกายเจ้าเล่ห์พาดผ่าน
…………………………………….