เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 144 ฉันจัดการเอง
ตอนที่ 144 ฉันจัดการเอง
มองดูซ่งอวิ๋นฮั่นร้องไห้ หานหรงก็ร้องไห้ตามเช่นกัน แต่เทียบกับก่อนหน้านี้ กลับไม่ตื่นเต้นมากแล้ว
เธอเช็ดน้ำตา ลุกขึ้นเดินไปข้างหน้าประคองซ่งอวิ๋นฮั่นขึ้นมา “คุณลุกขึ้นก่อน ใต้เข่าลูกผู้ชายมีทองคำ ฉันเองก็ไม่อยากให้สักวันหนึ่งเจ้ารองต้องคุกเข่าให้ใครแบบนี้”
ได้ยินคำพูดนี้ ซ่งอวิ๋นฮั่นจึงพยักหน้าลุกขึ้นแล้วนั่งลงบนโซฟาข้างๆ แต่ยังก้มหน้าเหมือนเดิม ในใจของเขา ตัวเองเงยหน้าไม่ขึ้นเมื่ออยู่ต่อหน้าหานหรง
“ที่จริงแล้วน่ะ เหตุผลที่คุณจากไปฉันก็รู้ดี” ขณะพูด หานหรงกลับไปนั่งอีกครั้ง และนั่งลงตรงมุมโซฟาคนละด้านกับซ่งอวิ๋นฮั่นพอดี “แต่ที่ฉันไม่รู้คือ…พอคุณจากไป จะนานหลายปีขนาดนี้ ฉันก็ครุ่นคิด เรื่องราวผ่านไปแล้ว ควรจะกลับมาได้แล้วไม่ใช่เหรอ”
ซ่งอวิ๋นฮั่นพยักหน้า “ตอนผมกลับมาที่ตู้เหมิน ที่จริงแล้วอยากกลับบ้าน แต่ว่า…”
พูดถึงตรงนี้ จู่ๆ ซ่งอวิ๋นฮั่นก็ไอขึ้นมา ไอติดต่อกันไม่หยุด ไอจนหน้าแดงก่ำ
เห็นดังนั้น หานหรงจึงรีบพูด “คุณเป็นอะไร ใจเย็นๆ นะ ดื่มน้ำก่อน”
ซ่งอวิ๋นฮั่นโบกมือ ทุกครั้งที่เขาไอจะเป็นแบบนี้ สุดท้ายต้องไอจนมีเลือดถึงจะหยุด ดังนั้น เขาจึงรีบลุกขึ้นเดินไปที่ห้องน้ำ
ถึงแม้จะอยู่ในห้องน้ำ เสียงไอก็ยังดังออกมา หานหรงมองด้วยสีหน้ากังวล แต่กลับทำอะไรไม่ได้
ประมาณหนึ่งนาทีกว่า ซ่งอวิ๋นฮั่นก็เดินออกมาจากห้องน้ำ ถึงแม้จะไม่ไอแล้ว แต่ใบหน้ายังคงแดงอย่างชัดเจน เห็นได้ชัดว่าเป็นผลจากการขาดออกซิเจน
ซ่งอวิ๋นฮั่นหยิบกระดาษทิชชูมาเช็ดปาก กลัวว่าหานหรงจะสังเกตเห็นคราบเลือด
ทันใดนั้นเขาพลันนั่งลงบนโซฟา เอ่ยว่า “ตอนที่ผมกลับมาผมอยากกลับบ้านจริงๆ แต่พอเห็นคุณไปรับจื่อเซวียนตอนเลิกเรียน ผมก็ไม่กล้าเข้าใกล้ ผมเห็นคุณแก่ลงมาก ต้องลำบากมามากแน่นอน ตอนนั้นผมรู้สึกว่าตัวเองมีความผิด และอ่อนแอนัก”
“ฉันรู้ว่าคุณเคยโผล่มา แต่ว่าหาคุณไม่เจอ ฉันก็รู้ว่าของเล่นในมือของเจ้ารองตอนนั้นคุณเป็นคนซื้อให้”
ซ่งอวิ๋นฮั่นพยักหน้า “หลังจากคุณจับได้ ผมก็ไม่กล้าเข้าใกล้เขาอีก ได้แต่มองไกลๆ ความจริงแล้วหลายปีที่ผ่านมานี้…ผมกับจื่อเซวียนเจอกันบ่อยที่สุดแล้ว เพราะผมไม่กล้าเจอหน้าคุณกับอีหนาน”
“อีหนานเป็นเด็กดื้อ แต่คุณก็รู้ เธอเป็นลูกสาว หลายปีมานี้ลูกสาวโตขึ้นแล้ว แต่ไม่มีพ่อ…คุณคิดว่าเธอขาดอะไรไปบ้างล่ะ ช่วงก่อนหน้านั้น ถ้าไม่ใช่เพราะเจ้ารอง…”
หานหรงพูดไปสักพักก็พูดไม่ออกอีก เริ่มน้ำตาซึม
“เกิดอะไรขึ้น อีหนานเป็นอะไร” ซ่งอวิ๋นฮั่นประหม่าขึ้นมาทันที
จากนั้น หานหรงจึงเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นกับซ่งอีหนานที่หลานหยวนให้ฟัง
ซ่งอวิ๋นฮั่นนิ่งไปทั้งตัว เขาเริ่มหายใจสั่น กำหมัดที่ไม่มีแรงทั้งสองข้างขึ้นมา
“ต้องโทษผม ถ้าหากผมอยู่…อีหนานคงไม่พึ่งพาเพศตรงข้ามมากขนาดนี้ แต่เรื่องนี้ผมจะไม่ปล่อยให้ผ่านไปแบบนี้แน่นอน” ซ่งอวิ๋นฮั่นพูดพลางหรี่ดวงตาทั้งสองข้าง
“เรื่องมันผ่านไปแล้วก็ปล่อยให้ผ่านไปเถอะ เพราะงั้นฉันว่า หลายปีที่ผ่านมาคุณไม่อยู่ ถึงแม้ฉันจะลำบากอยู่บ้าง แต่ก็ผ่านมาได้แล้ว แต่คนที่น่าสงสารคืออีหนานลูกสาวเรา”
ซ่งอวิ๋นฮั่นพยักหน้าอย่างเข้าใจลึกซึ้ง ไม่พูดอะไรอีก เป็นเหมือนเมื่อก่อน
เมื่อก่อนตอนที่พวกเขาอยู่ด้วยกัน หานหรงพูดเยอะกว่า ส่วนซ่งอวิ๋นฮั่นจะฟังมากกว่า เมื่อเทียบกันแล้ว เขาพูดไม่ค่อยเป็นมากกว่า
หลังจากผ่านประสบการณ์มากมายหลายปีจึงพูดเก่งขึ้น แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าหานหรง เขายังคงเหมือนเดิม ชอบฟังมากกว่า
“หลังคุณจากไป พวกพ่อก็มาหาฉัน บอกให้ฉันกลับบ้าน แต่ฉันปฏิเสธไป ฉันเลี้ยงพวกเขาสองคนจนเติบโตด้วยตัวคนเดียว แต่พวกพ่อของฉัน…ก็ไม่มาหาฉันอีก น่าจะไม่คิดว่าฉันเป็นลูกสาวแล้ว”
พอฟังถึงตรงนี้ ซ่งอวิ๋นฮั่นก็สูดลมหายใจเข้าลึกๆ ที่จริงตอนแรกเขาคิดว่า บ้านของหานหรงจะมารับพวกเธอกลับไป ถึงแม้จะไม่เป็นเช่นนั้น ก็ต้องช่วยเหลือเรื่องการเงินบ้าง
แต่หลังจากนั้นเขาก็เห็นว่าซ่งจื่อเซวียนใส่เสื้อผ้าเก่า ที่ที่พวกเธอพักอาศัยยังเป็นบ้านชั้นเดียวเก่าๆ ตอนนั้นเขาจึงตระหนักได้ว่าตัวเองคิดผิด พวกหานหรงสามคนแม่ลูกใช้ชีวิตอย่างยากลำบากในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
ภายในห้องเวลานี้ ซ่งจื่อเซวียนกับซ่งอีหนานกำลังคุยกัน เนื่องจากเจอซ่งอวิ๋นฮั่น ซ่งอีหนานจึงไม่สนใจความหรูหราและความสวยงามของที่นี่แล้ว ตั้งแต่เดินเข้าประตูจนถึงตอนนี้เธอเอาแต่เงียบ
“เจ้ารอง นายรู้ว่าพ่อกลับมานานแล้วใช่ไหม”
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้า “ใช่ แต่ผมบอกพวกพี่ไม่ได้ ผมกลัวแม่จะรับไม่ไหว”
“ถ้างั้นนายคือลงมือก่อนรายงานทีหลัง นายบอกฉันก็ได้นี่!” ซ่งอีหนานพูด
“อย่าเลย บอกพี่เรื่องยิ่งแย่ ปากพี่เหมือนลำโพง ต้องบอกแม่แน่นอน สู้ทำให้ตกตะลึงตอนนี้เลยดีกว่า ไม่ว่าเป็นยังไงก็ต้องยอมรับความจริง” ซ่งจื่อเซวียนพูด พลางจุดบุหรี่หนึ่งมวน
แต่ซ่งอีหนานกลับแย่งไป ซ่งจื่อเซวียนไม่ว่าอะไร ตอนที่อยู่หลานหยวน เขารู้ว่าพี่สาวสูบบุหรี่เป็นบางครั้ง
ตอนนี้เวลานี้ ซ่งอีหนานอดไม่ได้ที่จะกลัดกลุ้มใจ เช่นนั้นก็สูบสักหนึ่งมวนเถอะ
“นายคิดจะทำอะไรต่อไป ยอมรับเขาเหรอ” ซ่งอีหนานถาม
ซ่งจื่อเซวียนไม่พูดปฏิเสธ แล้วจุดอีกหนึ่งมวน
“พูดสิ”
“พูดอะไรล่ะ ยอมรับไม่ยอมรับต้องแล้วแต่พี่ ตอนเด็กๆ ผมไม่เคยเจอเขาเลยนะ!” ซ่งจื่อเซวียนกล่าว
ซ่งอีหนานสูบบุหรี่เต็มปอดหนึ่งที “ที่จริง…พ่อดีกับฉันมาก จริงๆ นะ แต่หลายปีที่ผ่านมา…ฉันไม่รู้ว่าฉันควรต้องทำยังไงเหมือนกัน”
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้า “ดูท่าทีของแม่ก่อน ผมไม่ได้ยินเสียงอะไรข้างนอกแล้ว ทั้งสองคนน่าจะสงบสติอารมณ์ได้แล้วล่ะ”
“ไม่สงบสติอารมณ์แล้วจะทำยังไง ช่วงที่ผ่านมาต่อให้แม่ลำบากก็ผ่านมาได้ แต่ดูเขาสิ เที่ยวเล่นอยู่ข้างนอก ไม่รู้ว่าตอนนี้มีเมียมีลูกหรือเปล่า ยังไงฉันไม่ยอมรับคนพวกนั้นแน่นอน” ซ่งอีหนานกล่าว
ซ่งจื่อเซวียนส่ายหน้า “ไม่มีครับ เขาอยู่ตัวคนเดียว พักที่นี่มาตลอด แล้วก็…”
ซ่งจื่อเซวียนพูดแล้วก็หยุด ซ่งอีหนานจึงถามว่า “แล้วก็อะไร..”
“เขาใกล้จะตายแล้ว เป็นโรคที่ไม่มีทางรักษาหายได้”
ได้ยินประโยคนี้ ซ่งอีหนานก็นิ่งอึ้งไป ดวงตาคู่นั้นเบิกโตมองซ่งจื่อเซวียน น้ำตาไหลออกมาทันที
“จริงเหรอ เขากำลังจะตายแล้วจริงๆ เหรอ…” ซ่งอีหนานร้องไห้ไปพลางพูดไปพลาง
ซ่งจื่อเซวียนพ่นควันบุหรี่ออกมา “อืม ผมเรียนวิชาแพทย์แผนจีนกับปู่ฟางมานิดหน่อย ชีพจรของเขาอ่อนแอมาก”
ซ่งจื่อเซวียนพูดประโยคนี้จบ ซ่งอีหนานก็ร้องไห้โฮออกมาเสียงดัง
ดังนั้นในใจของซ่งอีหนานจึงรับไม่ได้จริงๆ พอฟังสภาพร่างกายของซ่งอวิ๋นฮั่น เธอก็ควบคุมตัวเองไม่ได้ร้องไห้เสียงดังขึ้นมามากกว่าเดิม
พอเธอร้องไห้ ซ่งอวิ๋นฮั่นกับหานหรงที่อยู่ข้างนอกก็วิ่งเข้ามาในทันที อย่างไรก็เป็นพ่อแท้ๆ แม่แท้ๆ พอได้ยินลูกสาวร้องไห้ ใครจะนั่งนิ่งไหว
“เป็นอะไรลูก เกิดอะไรขึ้น” หานหรงถามด้วยสีหน้ากังวล
แต่ซ่งอีหนานไม่ตอบหานหรง และพุ่งไปกอดซ่งอวิ๋นฮั่นทันที
“พ่อ…” เสียงนี้เหมือนกำลังตะโกนเต็มแรง แฝงด้วยเสียงร้องไห้และความคิดถึงตลอดสิบแปดปี
ซ่งอวิ๋นฮั่นเหมือนโดนไฟฟ้าช็อตไปทั่วร่าง เขาตกตะลึง แต่ความตกตะลึงเป็นแค่ช่วงเวลาสั้นๆ เท่านั้น วินาทีต่อมาเขารีบสวมกอดลูกสาวของตัวเองไว้แน่น น้ำตาไหลเหมือนสายน้ำ
หานหรงที่อยู่ข้างๆ ก็ร้องไห้น้ำตาอาบหน้า ไม่กล้ามองอีกแล้ว หลายปีที่ผ่านมาซ่งอีหนานต้องน้อยเนื้อต่ำใจมากแค่ไหนเธอรู้ดี ทุกครั้งที่โดนคนนอกล้อเลียนว่าตัวเองไม่มีพ่อ เธอจะวิ่งมาซบอกของแม่แล้วร้องไห้
ใบหน้าของซ่งจื่อเซวียนเผยความปลื้มใจออกมา พี่สาว ยอมรับหรือไม่ยอมรับพ่อคนนี้…ก็คงตัดสินได้แล้วสินะ
ร้องไห้ไปสักพักหนึ่ง ซ่งอีหนานจึงหยุด แต่ยังคงสะอึกสะอื้นอยู่เหมือนเดิม
ซ่งอวิ๋นฮั่นคอยตบหลังของลูกสาวตลอด “อีหนานเด็กดี ไม่ร้องไห้แล้ว พ่ออยู่ตรงนี้ๆ…”
ซ่งอีหนานซบอยู่ในอ้อมอกของผู้เป็นพ่อ เหมือนลูกแมวที่ได้รับความรักความเมตตา แต่เธอรู้ว่าจะได้รับความรักแบบนี้อีกไม่กี่ปีเท่านั้น
จากนั้น สี่คนพ่อแม่ลูกจึงนั่งลงในห้องนั่งเล่น ซ่งอีหนานสวมกอดพ่อตลอดเวลา เหมือนขาดความอบอุ่น ความอ่อนโยนจากอ้อมอกนี้นานเกินไป ทำให้เธอเสียดายไม่อยากจาก
หรืออาจจะเป็นเพราะคำพูดของซ่งจื่อเซวียน เธอรู้ว่าถึงแม้อ้อมอกนี้จะอบอุ่น แต่เป็นเหลือเวลาสั้นมาก
มองดูครอบครัวสี่คนนั่งด้วยกัน ในใจของซ่งอวิ๋นฮั่นรู้สึกอบอุ่นอย่างหาได้ยาก เขามองซ่งจื่อเซวียน เอ่ยว่า “จื่อเซวียน ขอบใจนะ เพราะการตัดสินใจของแก ฉันถึงได้รับความอบอุ่นของการกลับบ้านอีกครั้ง”
ซ่งจื่อเซวียนโบกมือ “ผมแค่ทำในสิ่งที่ควรทำ ไม่ต้องขอบคุณครับ”
“ใช่ อย่างนั้นดูห่างเหินไป ตอนนี้แม่ของแกก็อยู่ที่นี่ จื่อเซวียน ฉันอยากคุยกับแกอีกครั้ง หวังว่าแกจะรับช่วงต่อบริษัทของพ่อ”
ซ่งจื่อเซวียนหัวเราะเบาๆ “พี่สาวตัดสินใจแบบนั้น แต่ระหว่างเรา…อย่าเพิ่งเรียกว่าพ่อลูกกันดีกว่าครับ”
พอพูดประโยคนี้จบ บรรยากาศในห้องนั่งเล่นเริ่มกระอักกระอ่วนขึ้นมา
“เจ้ารอง…” หานหรงอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่เธอรู้จักนิสัยของลูกชายตัวเองดี สุดท้ายจึงไม่พูดออกมา
“อวิ๋นฮั่น เรื่องของเจ้ารอง…ฉันปล่อยให้เขาตัดสินใจเองตลอด เพราะงั้น…”
เมื่อได้ยินดังนั้น ซ่งอวิ๋นฮั่นจึงพยักหน้า “แบบนี้ก็ดี ยังไงก็เป็นเด็กผู้ชาย ต้องมีความคิดเป็นของตัวเอง หานหรง สองสามปีที่ผ่านมาผมมีบริษัทแห่งหนึ่ง พอมีกิจการอยู่บ้างในตู้เหมิน แต่สุขภาพร่างกายตอนนี้ไม่ค่อยดี ผมต้องการคนสนิทที่สุดมาดูแลต่อ ถ้างั้นคุณคิดว่า…”
“ฉันเข้าใจค่ะ แต่เด็กๆ ก็โตแล้ว คุณปล่อยให้พวกเขาตัดสินใจเองเถอะค่ะ”
ซ่งจื่อเซวียนเอ่ย “แม่พูดถูกครับ เอาอย่างนี้ดีไหม พวกเราน่าจะหิวกันแล้ว ผมสั่งอาหารไว้แล้ว พวกเรากินไปคุยไปดีไหมครับ”
พวกเขาต่างเห็นด้วย
เนื่องจากซ่งจื่อเซวียนสั่งอาหารที่โรงแรมแล้ว ดังนั้นผ่านไปไม่นานนัก อาหารจึงยกเข้ามาเสิร์ฟ
เดิมทีซ่งอวิ๋นฮั่นมีหุ้นส่วนในโรงแรมข่ายอ้อ เมื่อพนักงานได้ยินว่าห้องนี้สั่งอาหาร จึงจัดการให้โดยไม่มีค่าใช้จ่าย
ครอบครัวกินข้าวด้วยกัน พูดคุยกัน สำหรับพวกเขาแล้ว เป็นค่ำคืนที่ไม่กล้าจะคาดหวัง
ถึงแม้ซ่งอวิ๋นฮั่นจะกินได้ไม่เยอะ แต่รู้สึกเพลิดเพลินกับบรรยากาศแบบนี้ เพราะเคยมีแต่ในความฝันและความทรงจำเท่านั้น
เขานำน้ำแกงห้าสายที่ซ่งจื่อเซวียนพกมาด้วยไปอุ่นก่อน แล้วจึงซดน้ำแกงหลายคำจนหมด
“อ้อใช่จื่อเซวียน เรื่องที่แกพูดครั้งก่อนฉันคิดมาสองคืนแล้ว ฉันคิดว่าจัดการได้” ซ่งอวิ๋นฮั่นวางตะเกียบพลางพูด
“คุณหมายถึงเรื่องของหวงฟาเหรอ”
ซ่งอวิ๋นฮั่นพยักหน้า “ใช่ เรื่องนี้ฉันจัดการเอง แกไม่ต้องกังวล”
…………………………………………….