เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 140 มีดทำครัวเล่มหนึ่ง
เมื่อได้ยินซางเทียนซั่วร้องขอความช่วยเหลือ ถังหย่าฉีจึงมองไปที่ซ่งจื่อเซวียน “ฉันให้เขาไปหยิบมาเอง ทำไมนายจู้จี้ขนาดนี้ล่ะ ยังเป็นผู้ชายอยู่ไหมเนี่ย”
เวลานี้ใบหน้าของถังหย่าฉีแดงก่ำด้วยความมึนเมาอย่างชัดเจน ไม่ว่าเธอจะคอแข็งสักแค่ไหน ถ้าดื่มเพียวๆ เกินครึ่งไปขนาดนี้ก็ทนไม่ไหวหรอก
ซ่งจื่อเซวียนส่ายหัวอย่างจนใจ “เอาล่ะ ฉันจะไม่ว่าเขาแล้ว เราหยุดดื่มดีกว่าไหม”
“หยุดดื่มเหรอ ไม่ดื่มแล้วฉันจะมาหานายทำไม ถ้าที่นี่ไม่มีเหล้า ฉันจะไปดื่มร้านอื่น!”
ถังหย่าฉีมุ่ยปากเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าคราวนี้เมาแล้ว
ซ่งจื่อเซวียนจะกล้าให้เธอไปดื่มที่อื่นได้อย่างไร ถ้าตอนปกติก็ยังปล่อยไปได้แต่ตอนนี้ดื่มไปมากแล้ว ถ้าเธอไปที่อื่นจะไม่ดื่มเยอะอีกเหรอ แถมเธอยังเป็นเด็กผู้หญิงด้วย ถ้าดื่มเยอะเกินไปแล้วมีคนมาเอาเปรียบ ซ่งจื่อเซวียนจะต้องรู้สึกผิดอย่างแน่นอน
“เอาเถอะ แม่ทูนหัวฉันยอมเธอก็ได้ ดื่มไปเถอะ ถ้าดื่มเยอะฉันจะทิ้งเธอไว้หน้าประตูเลย ให้ทนหนาวสักคืนเธอจะได้เชื่อฟังสักหน่อย!” ซ่งจื่อเซวียนพูดพร้อมกับเทเหล้าให้ถังหย่าฉีอีกเล็กน้อย แต่เขายั้งมือจึงเทไปต่ำกว่าครึ่งแก้วเท่านั้น
ทว่าถังหย่าฉีไม่เกรงใจ เธอหยิบแก้วขึ้นมาดื่มในพริบตา เหล้าต่ำกว่าครึ่งแก้วนั้นไม่เหลือแม้แต่หยดเดียว
“ให้ตายสิ…อย่าดื่มแบบนั้น รีบกินกับแกล้มสักคำด้วยเร็วๆ!”
คราวนี้ซ่งจื่อเซวียนว้าวุ่นขึ้นมาแล้ว ถังหย่าฉียังคงดื่มแบบเดิม ส่วนเขาก็คอยดูแลเธอเหมือนเป็นพี่เลี้ยงเด็ก ไม่เพียงแต่เทเหล้าเท่านั้น ยังต้องคะยั้นคะยอให้เธอกินกับแกล้มด้วย ถ้าถังหย่าฉีไม่กินเขาก็จะป้อนเข้าปากเธอเอง
ถังหย่าฉีเคี้ยวพลางเอ่ย “ทนหนาวสักคืนงั้นเหรอ เป็นไปไม่ได้หรอก ฉันสวยเลิศขนาดนี้จะต้องมีคนมารับฉันไปแน่!””
“ใช่แล้ว รูปโฉมงดงามแบบอาจารย์แม่เนี่ยไม่มีปัญหาหรอก ถ้าทิ้งไว้ข้างนอก ไม่รู้ว่าจะมีสักกี่คนที่รีบแย่งมารับกัน ไม่ทันตั้งตัวก็ถูกทุบจนเลือดท่วมหัวได้เลยนะ” ซางเทียนซั่วพูดอยู่ข้างๆ ด้วยรอยยิ้มไร้เดียงสา
ซ่งจื่อเซวียนจ้องมองเขาอย่างดุดัน “นายพูดมากนักใช่ไหม ไปให้พ้นเลย”
ถังหย่าฉีกลับยกนิ้วหยกเรียวยาวขึ้นแล้วชี้ไปที่ซางเทียนซั่ว “นายนี่ยังมีรสนิยมนะ ไม่เหมือนกับซ่งจื่อเซวียนที่เหมือนกับหมู”
พอเธอพูดเช่นนี้ ซางเทียนซั่วกับฟางรุ่ยก็ป้องปากหัวเราะไม่ได้
ซ่งจื่อเซวียนกระแอมสองครั้งแล้วเอ่ย “ใช่ ฉันเป็นหมู เธอดื่มไปเถอะ ไม่ต้องให้ฉันรินแล้วนะ”
ซ่งจื่อเซวียนเทใส่แก้วอีกเล็กน้อย และเป็นเหมือนที่เขาคิดไว้ ถังหย่าฉีไม่เชื่อฟังแม้แต่น้อยและดื่มไปรวดเดียว…
เวลานี้เอง ปู่กุ่ยก็เดินเข้ามาในร้านอาหาร ซางเทียนซั่วก็ตะโกนมาจากระยะไกล “ปู่กุ่ย วันนี้มาสายนะเนี่ย”
ปู่กุ่ยเผยยิ้มมาแต่ไกล ในขณะเดียวกันก็เดินไปคารวะพวกซ่งจื่อเซวียน มารยาทนี้เป็นกิจวัตรประจำวันของเขา
“น้องชาย อย่าแซวฉันเลย วันนี้ฉันน่ะ…”
พูดยังไม่ทันจบ ปู่กุ่ยที่ก้าวขึ้นบันไดประตูร้านอาหารก็สะดุ้งเล็กน้อย เขาสูดจมูกและดมกลิ่น สายตาจับจ้องไปที่น้ำแกงชามนั้น
เขามองชามน้ำแกงด้วยดวงตาเบิกกว้าง จากนั้นรีบสาวเท้าเข้าไปอย่างรวดเร็วและมองดูอย่างละเอียด ในที่สุดก็มองไปที่ซ่งจื่อเซวียน
“ท่านเจ้าของร้าน นี่คือ…น้ำแกงที่นายทำเหรอ”
ซ่งจื่อเซวียนยกยิ้มและพยักหน้า ส่วนซางเทียนซั่วก็เอ่ยว่า “ใช่แล้ว ปู่กุ่ย อาจารย์ของฉันเป็นคนทำเองหอมใช่ไหม”
ปู่กุ่ยเหลือบมองซางเทียนซั่ว จากนั้นจึงจ้องมองไปที่ชามน้ำแกงอีกครั้งด้วยสีหน้าเหลือเชื่อ
“น้ำแกงนี้…หอมจริงๆ พวกนายดมดูสิ กลิ่นนี้ตลบอบอวลทั่วร้านเลย เหลือเชื่อมาก ท่านเจ้าของร้านอายุยังน้อย นึกไม่ถึงว่าจะมีฝีมือแบบนี้ได้ น่าทึ่งมาก น่าทึ่งเกินไปแล้ว”
“ปู่กุ่ยชมเกินไปแล้ว ไม่ได้น่าทึ่งอย่างที่คุณพูดหรอก” ซ่งจื่อเซวียนยิ้มตอบโดยไม่ลืมที่จะถือขวดในมือไว้แน่น เพราะถังหย่าฉีที่อยู่ข้างๆ เริ่มแย่งมันไปแล้ว
“เอ่อ…ท่านเจ้าของร้าน ฉันชิมน้ำแกงนี้สักชามได้ไหม”
“หา?” ซ่งจื่อเซวียนชะงัก ปู่กุ่ยคนนี้น่าสนใจจริงๆ ปกติเขาติดเงินค่าเหล้าเท่านั้น ไม่ได้สนใจอาหารอะไรเลย แต่วันนี้มาแปลก นึกไม่ถึงว่าอยากติดเงินค่าน้ำแกงด้วย
เห็นปฏิกิริยาของซ่งจื่อเซวียน ปู่กุ่ยก็รีบกล่าว “โธ่เอ๊ย ท่านเจ้าของร้านอย่าเข้าใจผิด ฉันรู้ว่าน้ำแกงชามนี้ราคาแพง แต่กลิ่นนี้ช่างคุ้นจริงๆ พอฉันได้กลิ่น ความตะกละในท้องของฉันก็เริ่มกรีดร้องออกมาน่ะ”
ซ่งจื่อเซวียนคลี่ยิ้ม หยิบชามเล็กขึ้นมาแล้วตักให้ปู่กุ่ย “คุณไม่ต้องเกรงใจหรอก ติดแค่ค่าเหล้าเหมือนปกติก็พอแล้ว นั่นคือกฎของคุณผมไม่ทำลายทิ้ง น้ำแกงนี้ติดเงินไว้ไม่ได้ ผมจะให้คุณฟรีๆ นี่คือกฎของผมเช่นกัน เป็นไง”
ปู่กุ่ยได้ยินก็โบกมืออย่างรวดเร็ว “ไม่ได้สิ ฉันทำไม่ได้ ฉันรู้ว่าน้ำแกงชามนี้แพงหูฉี่ ฉันไม่กล้าให้นายมอบให้ฉันฟรีๆ หรอก เอาอย่างนี้เถอะท่านเจ้าของร้าน ถ้าฉันจ่ายเงิน…เกรงว่าคงจะไม่ได้ดื่มเหล้า ฉันให้ของขวัญนายแล้วจะถือว่าหักลบกลบหนี้ได้หรือเปล่า”
ของขวัญเหรอ ได้ยินเช่นนี้หลายคนก็หัวเราะเยาะออกมา เพราะเกรงใจจึงเรียกเขาว่า ‘ปู่กุ่ย’ สุดท้ายเขาก็เป็นเพียงขอทานแก่ๆ คนหนึ่ง เขาจะมอบของขวัญดีๆ ได้อย่างไร
“ยอมเถอะปู่กุ่ย อาจารย์ของฉันให้กินน้ำแกงฟรีๆ ก็กินเถอะ ยังจะให้ของขวัญอะไรอีก”
ฟางรุ่ยที่อยู่ด้านข้างหัวเราะ “เราต้องทิ้งของขวัญที่เขาให้ ยุ่งยากไปอีกนะ”
ซางเทียนซั่วกระซิบเสียงเบา “ใครบอกว่าไม่ใช่ล่ะ พอปู่กุ่ยเข้ามาฉันก็ได้กลิ่นตัวไม่ได้อาบน้ำมาแต่ไกล อย่าเอาอะไรมาให้ที่ร้านเลย กลิ่นไม่หายไปแน่”
ซ่งจื่อเซวียนยังคงยิ้มและกล่าว “ปู่กุ่ยคุณพูดเลยเถิดไปไกลแล้ว ต่อให้ไม่พูดถึงเสี่ยวเป่า แต่คุณยังเป็นลูกค้าประจำที่มาทุกวัน ทำไมผมจะมอบน้ำแกงชามหนึ่งให้คุณไม่ได้ล่ะ”
ทว่าขณะที่ซ่งจื่อเซวียนกำลังพูดอยู่ ปู่กุ่ยก็หยิบมีดเงาวับเล่มหนึ่งออกมาจากกระเป๋า!
เมื่อเห็นมีดสว่างจ้าออกมา การตอบสนองแรกของฟางรุ่ยคือพุ่งเข้าไป เขาไม่อ้อมเคาน์เตอร์แต่กระโดดออกมาด้วยมือข้างเดียว
ซางเทียนซั่วก็รีบตะโกน “แม่ง ตาแก่ขอทาน คิดจะทำอะไร…”
แต่ซ่งจื่อเซวียนกลับอึ้งไปเมื่อเห็นมีดเล่มนั้น จึงยกมือห้ามปรามฟางรุ่ยและซางเทียนซั่วทันที
พื้นผิวของด้ามจับมีดมีส่วนที่ได้รับความเสียหายแล้ว แต่ใบมีดยังอยู่ในสภาพสมบูรณ์ไม่มีตำหนิ แต่มีร่องรอยผ่านการใช้งานมานานอยู่บนพื้นผิวเช่นกันส่วนบนของใบมีดเป็นสีดำเข้มสนิท บนพื้นผิวมีชั้นคราบตามธรรมชาติที่ไม่รู้ติดอยู่มานานเท่าไร หากไม่มีความรู้เกี่ยวกับวัตถุโบราณก็ยากที่จะตัดสินได้ว่าของสิ่งนี้มีประวัติอย่างน้อยเป็นหนึ่งร้อยปี
ขอบคมมีดมีสนิมอยู่บ้างแต่โดยรวมเป็นสีเงินสว่าง หากลับมีดสนิมก็จะหลุดออกได้ง่าย
มีวงแหวนพลอยโมรา[1]เชื่อมต่อระหว่างด้ามมีดและใบมีด เมื่อดูจากรูปแบบการสึกกร่อนบนพื้นผิวจะเห็นได้ว่าอยู่ในช่วงปีเดียวกับคราบบนใบมีด
“ท่านผู้เฒ่า มีดเล่มนี้…”
“เหอะๆ ฉันเก็บมีดเล่มนี้ได้บนเชิงเขาช่วงที่ฉันอยู่ที่ฉินซีน่ะ เดิมทีไม่ได้อะไรกับมัน แต่พอเห็นว่ามันพอมีอายุอยู่บ้างก็เลยเก็บเอาไว้ ท่านเจ้าของร้านคิดว่ามีดเล่มนี้เหมาะจะใช้งานหรือเปล่า” ปู่กุ่ยถามด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า
ซางเทียนซั่วได้ยินก็หัวเราะออกมา “เหมาะจะใช้งานไหมเหรอ ปู่กุ่ยช่วยเลิกล้อเล่นได้ไหม อายุหลายปีแล้วคิดว่าจะใช้ได้ไหมล่ะ มีดเล่มนี้ขึ้นสนิมแล้วเห็นหรือเปล่า”
ปู่กุ่ยได้ยินสีหน้าก็ดูลำบากใจและเขินอายเล็กน้อย
ทว่าซ่งจื่อเซวียนไม่ได้พูดอะไรสักคำ สายตาจับตาดูมีดอย่างเดียว
“ท่านผู้เฒ่า คุณอยากให้มีดเล่มนี้กับผมเหรอ” ซ่งจื่อเซวียนเงยหน้าขึ้นแล้วเอ่ยถาม
“ไม่ได้ให้สักหน่อย นายคิดว่ามันใช้จ่ายน้ำแกงได้หรือเปล่า ไม่งั้นถ้าให้ฉันติดเงินไว้ก็จะไม่มีเงินซื้อเหล้าอีก”
ความหมายของปู่กุ่ยนั้นง่ายมาก ถ้าติดเงินไว้ เงินที่เขาได้มาอาจไม่เพียงพอที่จะจ่ายค่าน้ำแกงกับค่าเหล้า ดังนั้นจึงนำมีดมาเป็นเงินค่าน้ำแกงแทน เงินค่าเหล้าคิดแยกกันเพื่อไม่ให้รบกวนการดื่มเหล้าของเขา
ซ่งจื่อเซวียนค่อยๆ ยื่นมือไปจับมีดเล่มนั้น ทันทีที่ถือมีดเขาก็มีความรู้สึกว่าด้ามมีดอยู่ในสภาพแย่เพราะคราบโคลนเท่านั้น เนื่องจากปู่กุ่ยเป็นคนเก็บไว้ สีของคราบโคลนจึงเข้มขึ้นจนเหมือนใกล้เคียงกับไม้ ถึงตบตาซ่งจื่อเซวียนเมื่อครู่นี้ได้
ซ่งจื่อเซวียนไม่สามารถมองวัสดุของมีดเล่มนี้ออกได้ในแวบเดียว แต่เป็นเหล็กอย่างดีแน่นอน ส่วนด้ามมีดก็เห็นได้ในพริบตาว่าทำจากไม้พะยูงไหหลำ เป็นไม้ล้ำค่าในสมัยนี้และยังมีคุณค่าสูงในสมัยโบราณ เห็นได้ว่าคนทำมีดเล่มนี้ไม่มีทางเป็นช่างตีเหล็กพื้นบ้านอย่างแน่นอน
“ปู่กุ่ย ถ้าผมไม่คิดค่าเหล้าคุณก็ต้องพูดอีกว่าไม่ใช่กฎ เอาอย่างนี้ ต่อไปถ้าคุณมาที่นี่ก็จ่ายค่าเหล้าแค่ที่เดียว แต่สั่งเหล้ากับเนื้อได้เต็มที่ และบวกเพิ่มค่าน้ำแกงชามนี้ไปด้วยได้ไหมครับ”
ไม่ใช่ว่าซ่งจื่อเซวียนงกและไม่ให้น้ำแกงเกล็ดปลาทองห้าสายกับปู่กุ่ย แต่เป็นเพราะตาเฒ่าฟางได้กล่าวไว้นานแล้วว่าไม่ว่าอาหารจะดีสักเพียงใดก็ไม่สามารถเปิดเผยได้ตามใจ หากมีมากไปมันก็ไร้ค่า ยิ่งไม่ต้องพูดถึงน้ำแกงเกล็ดปลาทองห้าสายที่ยังไม่เปิดขาย ดังนั้นจึงไม่สามารถเอาออกมาได้ตามใจชอบอยู่แล้ว
สำหรับถังหย่าฉีนั้นต้องเป็นข้อยกเว้น ไม่ต้องพูดถึงหนึ่งที่ แม้จะสักสิบที่ซ่งจื่อเซวียนก็ไม่หวง
“นี่ไม่ค่อยเหมาะนะ ท่านเจ้าของร้าน แค่ขายน้ำแกงชามนี้ให้ฉันก็เรียบร้อย” ปู่กุ่ยกล่าว
ซ่งจื่อเซวียนยกยิ้มโดยไม่พูดอะไรและวางมีดลงบนเคาน์เตอร์
“อาจารย์อยากได้มีดเก่าๆ เล่มนี้ไปทำอะไรน่ะ เพื่อทำทานเหรอ”
ซ่งจื่อเซวียนกระตุกยิ้มแล้วเอ่ย “นายไม่รู้อะไรซะเลย เทียนซั่ว จากนี้ถ้าปู่กุ่ยมาก็เปิดเหล้าดีๆ ให้ไป แล้วมาเก็บเงินค่าเหล้าที่ฉัน”
“ได้ครับ แต่อย่าเก็บที่อาจารย์เลย เก็บที่ผมก็ได้ แต่ต้องสอนผมว่ามีดเล่มนี้มีดียังไงด้วยนะ”
ซ่งจื่อเซวียนจึงนึกได้ว่าซางเทียนซั่วไม่ใช่คนธรรมดาเช่นกัน นั่นเป็นงานมีดชั้นยอด ไม่แปลกใจที่เขาจะอยากซักไซ้เรื่องนี้
“จัดไป พูดแบบนี้ก็แจ่มเลย แต่พูดแล้วนะ ต้องบอกผมนะ”
ซ่งจื่อเซวียนกำลังจะพูดอะไรบางอย่างก็ชะงักค้างไปทั้งตัว เขาห่างไปครู่เดียว ถังหย่าฉีก็ดื่มไปครึ่งขวดอีกครั้ง
เขารีบวิ่งเข้าไปคว้าขวดวางไว้ข้างๆ แทน แล้วเติมน้ำแกงให้ถังหย่าฉี
“แม่ทูนหัว ดื่มเหล้าแบบนั้นไม่ได้สิ เธอไม่ต้องดื่มแล้วรีบกินอะไรเร็วๆ เข้า”
ขณะที่ซ่งจื่อเซวียนยุ่งจนหัวหมุน คนอื่นๆ ก็หัวเราะรวมถึงปู่กุ่ยก็ด้วย แม้ว่าจะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นแต่เขาก็หัวเราะตาม
“เฮ้ ปู่กุ่ยหัวเราะทำไมเนี่ย รู้เหรอว่าเกิดอะไรขึ้นน่ะ” ซางเทียนซั่วแค่นหัวเราะแล้วเอ่ยถาม
ปู่กุ่ยคลี่ยิ้มแล้วส่ายหัว “ไม่รู้หรอก แต่ท่านเจ้าของร้านใจดีมาก เด็กสาวคนนี้…คือคนรักของนายใช่ไหม”
เมื่อปู่กุ่ยพูดแบบนี้ ซางเทียนซั่วก็หัวเราะครืนใหญ่ “ฮ่าๆๆ คนรักเหรอ ก็ใช่อยู่ นี่คืออาจารย์แม่ของฉัน แต่ทุกวันนี้ไม่มีใครเรียกเธอแบบนั้น”
“หา ถ้าไม่ใช่คนรักแล้วจะเป็นอะไร” ปู่กุ่ยเอ่ยถาม
“จะเรียกว่าแฟน คู่รัก ภรรยา สะใภ้ ฮ่าๆ เรียกได้หมดเลย แต่ไม่ได้เรียกว่าคนรัก” ซางเทียนซั่วพูดแล้วอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาอีกครั้ง
ได้ยินเช่นนี้ ปู่กุ่ยก็หน้าแดงก่ำเล็กน้อยแล้วโบกมือ “นั่นไม่ได้สิ เป็นวิธีการเรียกของคนหนุ่มสาวอย่างพวกนาย คนแก่อย่างฉันพูดไม่ออกหรอกนะ”
ได้ยินดังนั้น ซางเทียนซั่ว ฟางรุ่ยและหยางกังก็หัวเราะลั่น แม้แต่…ถังหย่าฉีก็เริ่มหัวเราะตามไปกับเขาด้วย
ซ่งจื่อเซวียนตะลึงงัน “อะแฮ่ม ยังมีกะจิตกะใจจะหัวเราะอีกนะ เทียนซั่ว จัดห้องชั้นสองให้เธอนอนพักสักงีบด้วย!”
………………………………………….
[1] พลอยโมรา (玛瑙) เป็นอัญมณีที่เสมือนเครื่องรางของขลังแต่โบราณของชาวอียิปต์ เชื่อว่าช่วยป้องกันอันตรายให้เจ้าของ และเพิ่มความมั่งคั่ง