เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 136 ฉันจะฟังลูกชายฉัน
ตอนที่ 136 ฉันจะฟังลูกชายฉัน
ซ่งจื่อเซวียนและทุกคนต่างก็ตกตะลึงกับการลงมือฉับพลันของปู่กุ่ยคนนี้ รวมถึงฟางรุ่ยด้วย
ฟางรุ่ยกำลังจะลงมือ แต่เมื่อเขาเห็นการเคลื่อนไหวของปู่กุ่ย เขาก็แทบจะอึ้งค้างอยู่ที่เดิม
ต้องรู้ว่าปฏิกิริยาและความเร็วเช่นนี้เขาก็อาจจะทำได้เช่นกัน แต่ความต่างระหว่างอายุของทั้งคู่อย่างน้อยคือห้าสิบหรือหกสิบปี ถ้าสามารถลงมือตอนอายุเท่าปู่กุ่ยได้ ก็แทบจะนึกออกได้ว่าเขามีฝีมือแบบนี้ตั้งแต่อายุยังน้อย
“ตาแก่ แกแม่งบ้าไปแล้วเหรอวะ รีบปล่อยพี่ชายฉันเดี๋ยวนี้!” ลูกค้าอีกคนหนึ่งยืนขึ้นตะโกน
ปู่กุ่ยมองชายคนนั้นอย่างเย็นชาแล้วกล่าว “หึ วันๆ พวกแกไม่ทำอะไรแถมยังพูดจาจาบจ้วง วันนี้ฉันควรสั่งสอนพวกแกใหม่แทนพ่อแม่ของพวกแก!”
ระหว่างที่พูดปู่กุ่ยก็ออกแรงอีกครั้ง เห็นเพียงว่านิ้วกลางของนักเลงที่อยู่เบื้องหน้าเขาถูกบิดไปหลังข้อมือและขยับเล็กน้อย นิ้วนั้นหักแน่!
ทว่าปู่กุ่ยกลับจัดการได้อย่างง่ายดาย ในขณะที่ทำให้นักเลงคนนั้นรู้สึกเจ็บปวดแสนสาหัส ก็มั่นใจว่าจะไม่หักนิ้วอีกฝ่าย
“โอ้ยแม่งเอ๊ย ไอ้แก่ขอทาน ถ้าวันนี้นิ้วฉันหัก ชาตินี้แกคงชดใช้ไม่ไหว!”
เมื่อได้ยินนักเลงยังพล่ามกันอยู่ ปู่กุ่ยก็ปล่อยนิ้วกลางของเขาทันที แต่ไม่รอให้นักเลงได้ใจ ก็คว้าจับนิ้วนางของเขาอีกครั้งและบิดกลับ เสียงกรีดร้องราวกับเชือดหมูก็เปล่งออกมาอีกครั้ง
“อย่าๆ…เจ็บ…”
“เวลาเจอคนอายุแบบฉัน อย่างน้อยก็ควรเรียกว่าท่านนะ”
“ใช่ๆๆ ท่านผู้เฒ่า ท่านปล่อยก่อนได้ไหมครับ” ในที่สุดนักเลงก็พูดอ่อนน้อม เจ็บปวดจนเหงื่อออกท่วมหน้าในฤดูที่หนาวเหน็บนี้ จะไม่กล้าพูดอ่อนน้อมได้อย่างไรกัน
พวกฟางรุ่ยกับหยางกังแค่นหัวเราะออกมา คาดไม่ถึงจริงๆ ปกติปู่กุ่ยคนนี้เจอใครก็จะมีรอยยิ้มเจียมเนื้อเจียมตัวบนใบหน้าอยู่เสมอ แต่เมื่อเดือดขึ้นมากลับมีเลือดนักสู้จริงๆ!
เห็นชายคนนั้นก้มหน้าลง ปู่กุ่ยก็ปล่อยตัวแล้วเดินสาวเท้าเข้าไปในร้านอาหาร ระหว่างที่เดินผ่านพวกนักเลงไปหลายคนก็ไม่มีใครกล้าพูดจาอะไร
“ท่านเจ้าของร้าน เหอะๆ เอาเหมือนเดิม”
ซ่งจื่อเซวียนยิ้ม “ได้เลยครับปู่กุ่ย วันนี้คุณช่างน่าเกรงขาม เทียนซั่ว เข้าไปในครัวแล้วเอาไส้อ่อนมาให้ปู่กุ่ยเพิ่มจานหนึ่ง”
ปู่กุ่ยรีบโพล่งออกไป “โธ่ ไม่ได้สิ คืนนี้ฉันคำนวณมาจ่ายค่าเหล้าคืนเท่านั้น ถั่วลิสงก็พอแล้ว”
“ฮ่าๆ ปู่กุ่ย คุณอย่าล้อเล่นสิ ผู้เฒ่าหวังคนนั้นเลี้ยงคุณได้แล้วผมเลี้ยงไม่ได้เหรอ แล้วก็นะ วันนี้คุณต้องกินข้าวบนโต๊ะ”
“เอ๋”
ปู่กุ่ยมองไปที่โต๊ะเหล่านั้น อันที่จริงเขาอยู่ในวงการมานานหลายสิบปีแล้ว มองแวบเดียวก็รู้ทันทีว่าคนพวกนี้มาเพื่อก่อความวุ่นวาย
“ท่านเจ้าของร้าน นายอยากให้ฉันจัดการเด็กเมื่อวานซืนพวกนี้หรือเปล่า”
“หากคุณช่วยได้ก็ดีเลยครับ คนในร้านพวกเราจัดการไม่สะดวก อีกสักพักถ้ามีลูกค้ามาก็อย่าให้พวกเขาก่อเรื่องก็พอครับ”
ปู่กุ่ยคลี่ยิ้ม “นายดีกับฉัน ฉันจัดการให้ได้อยู่แล้ว”
ปู่กุ่ยพูดพลางหยิบเหล้าและถั่วลิสงมานั่งที่โต๊ะ
โต๊ะนั้นเดิมทีมีนักเลงอยู่สองคน แต่เมื่อเห็นปู่กุ่ยมา ก็ไม่กล้าเปล่งเสียงใดๆ เอาแต่มองหน้ากัน นับว่ากระอักกระอ่วน อับอายเกินกว่าจะหยิบแก้วมาดื่มอีกครั้ง…
ทว่าปู่กุ่ยกลับไม่สนใจ เขาหยิบแก้วขึ้นมาดื่มช้าๆ
ต่อมามีลูกค้าสองสามคนเข้ามา พวกนักเลงเหล่านี้ไม่ได้เอะอะโวยวายอะไร ยอมให้หยางกังพาพวกเขาทั้งหมดไปที่ห้องส่วนตัวบนชั้นสอง จากมุมมองคนภายนอกก็คิดว่าร้านอาหารร่ำรวยยุ่งกันมาก ยังไม่ถึงช่วงเที่ยง ชั้นแรกก็เต็มแล้ว
ในเวลาเดียวกันนั้นเอง รถยนต์เจ็ดที่นั่งสีเทาก็มาจอดเทียบปากซอยในเขตเมืองเก่า
ประตูรถเปิดออก เคอหงเทาก้าวออกไปมองซ้ายมองขวาแล้วถอนหายใจ “เฮ้อ เลี่ยงขั้นนี้ไปไม่ได้จริงๆ สินะ ต้าลี่ นายถือของแล้วตามฉันมา ส่วนคนอื่นๆ พักรออยู่ข้างนอกก็ได้”
“ครับเสี่ย”
เมื่อทั้งคู่พูดจบก็เดินเข้าไปในตรอกเล็ก
ตรอกเล็กๆ แห่งนี้เป็นสถานที่ที่ซ่งจื่อเซวียนอาศัยอยู่
เมื่อนานมาแล้ว เคอหงเทาเคยส่งคนไปติดตามซ่งจื่อเซวียน เคอหงเทาจึงรู้ทุกอย่างว่าเขาอาศัยอยู่ที่ไหน ทำงานที่ไหน ไปจนถึงเรื่องที่ต่อมาได้เปิดร้านอาหารร่ำรวย
เดินถึงหน้าประตู เคอหงเทามองบ้านซ่งจื่อเซวียนที่มีประตูไม้ทาสีเขียวที่ชำรุดทรุดโทรมแล้วแสยะยิ้ม “น่าเสียดาย ฐานะไม่ดี จะยังไงก็เป็นได้แค่ตัวหมาก”
พูดจบ เขาก็เคาะประตู
ไม่นานนัก ประตูก็เปิดออกด้วยหญิงวัยกลางคน เธอเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม “คุณมาหาใครคะ”
“สวัสดีครับคุณแม่ ที่นี่คือบ้านของซ่งจื่อเซวียนใช่ไหม” เคอหงเทาเอ่ยถาม
อันที่จริงหานหรงยังอายุไม่ถึงห้าสิบปี นับว่ารุ่นราวคราวเดียวกับเคอหงเทา แต่เพราะทำงานหนักมาหลายปี เธอจึงดูแก่กว่าอย่างชัดเจน เมื่อมองแวบแรก เธอดูเหมือนคุณแม่ในวัยห้าสิบกว่าๆ อย่างแน่นอน
“ใช่ๆ แต่เขาไปทำงานแล้ว ค่อยกลับมาตอนเย็นนะ”
“ไม่เป็นไรครับ ผมแค่มาพูดไม่กี่คำ มาหาคุณก็เหมือนกันแหละครับ มา ต้าลี่ เอาของเข้าไป”
“ได้เลยครับ”
ต้าลี่ได้ยินก็ถือถุงเล็กใหญ่เจ็ดแปดใบเดินเข้าไป หานหรงยังไม่ทันถามหาเหตุผลก็เอ่ยว่า “เอ๊ะ…คุณหมายความว่ายังไง ขนของมากมายพวกนี้มาทำอะไรเนี่ย”
เคอหงเทาคลี่ยิ้มแล้วกล่าว “ผมเป็นเพื่อนซ่งจื่อเซวียน มาเยี่ยมคุณครับ”
เมื่อเห็นฉากนี้ หานหรงก็อดนึกถึงตอนที่หยางต้าฉุยมาที่บ้านไม่ได้ บางทีอาจเป็นคนที่อยากประจบประแจงลูกชายของเธอ
“เอาเถอะ งั้นเข้าบ้านก่อน ข้างนอกมันหนาว” หานหรงพูดขณะเดินเข้าไปในบ้านและมองไปที่ซ่งอีหนาน “ลูกแม่ รินน้ำมาสองแก้วหน่อย”
“รับทราบ!”
“ในบ้านมันแคบ พวกคุณอย่ารังเกียจเลยนะ”
เคอหงเทาคลี่ยิ้ม นั่งหน้าโต๊ะและมองดูสภาพแวดล้อม “เฮ้อ คิดไม่ถึงนะเนี่ยว่าบ้านจื่อเซวียนจะเล็กขนาดนี้ พี่สาว หลายปีมานี้พวกคุณลำบากแล้วนะ”
“ไม่เป็นไรหรอก ที่ที่อาศัยอยู่ก็แค่รัง ใหญ่โตไปจะมีประโยชน์อะไร ก็นอนเตียงหลังเดียวไม่ใช่หรือไง”
ได้ยินประโยคนี้ ในใจเคอหงเทาก็อึ้งไป ผู้หญิงคนนี้พูดแบบนี้…ราวกับเธอเป็นเจ้านายที่ไม่ชอบเงิน แต่เมื่อครุ่นคิดอีกครั้งเขาก็แอบยิ้มกริ่ม ใครบ้างล่ะที่จะไม่ชอบเงินจริงๆ
เหตุผลที่หลายๆ คนไม่ได้ชอบเงินเพราะไม่มีความสามารถที่จะหาเงินเพิ่มได้เลย หากนำภูเขาทองภูเขาเงินมาวางตรงหน้าเธอจริงๆ ไม่มีใครไม่ใจเต้นหรอก
“เหอะๆ พูดแบบนั้นไม่ได้นะครับ สิ่งที่คนสมัยนี้ให้ความสนใจคือคุณภาพชีวิต และสภาพที่อยู่อาศัยก็ต้องมีคุณภาพดีที่สุด บ้านหลังใหญ่กว่าดูแล้วสะดวกสบายกว่านะครับ” เคอหงเทากล่าว
เวลานี้ ซ่งอีหนานยกน้ำมาแล้วเอ่ย “นั่นสิแม่ รอทางเจ้ารองดีขึ้น เราก็จะย้ายไปอยู่บ้านหลังใหญ่ด้วย บ้านหลังใหญ่ตอนที่ลูกอยู่หลานหยวนกว้างขวางกว่าอีก”
หานหรงได้ยินก็ชายตามองซ่งอีหนาน “นั่นเป็นสิ่งที่ดีเรอะ ยังจะพูดออกมาได้อีก”
เห็นว่าแม่ดุ ซ่งอีหนานก็ก้มหน้าลงไม่พูดไม่จาทันทีและเดินไปดูของที่เคอหงเทานำมา
ทว่าเมื่อเห็นเธอก็ตกใจจริงๆ นี่ไม่ใช่ของขวัญธรรมดาๆ ทั่วไป
ของขวัญที่คนนำมาเยี่ยมบ้านส่วนใหญ่จะเป็นไก่ เป็ด ปลา เนื้อ ไข่ และนม เท่านั้นก็ถือว่าดีแล้ว แต่เมื่อซ่งอีหนานมองดูอย่างละเอียด กลับเป็นรังนก หอยเป๋าฮื้ออะไรพวกนั้น นอกจากนี้ยังมีถุงที่เต็มไปด้วยกล่องใส่อัญมณี แค่ตัวอักษรที่เห็นบนกล่องก็คือมาจากแบรนด์ทองคำชื่อดังในตอนนี้
“เครื่องประดับทองนำโชคเหรอ แม่เจ้า มันแพงสุดๆ เลยนะ”
เคอหงเทายกยิ้ม “เป็นสิ่งของเล็กๆ น้อยๆ ที่เถ้าแก่ของเรามอบให้จื่อเซวียนทั้งนั้นครับ”
ได้ยินเคอหงเทาเอ่ยถึงซ่งจื่อเซวียน หานหรงก็ยิ้มพลางถาม “คุณสนิทกับซ่งจื่อเซวียนมากเหรอคะ”
“แน่นอน เราเป็นเพื่อนเก่ากัน จริงๆ เหตุผลหลักที่มาที่นี่ครั้งนี้ก็เพื่อมาเยี่ยมคุณและนำของขวัญเล็กๆ น้อยๆ มาให้น่ะ”
“เอ่อ…เกรงว่าจะไม่ค่อยเหมาะสมนะคะ เรื่องนี้ลูกฉันต้องตัดสินใจ ฉันไม่กล้ารับไว้ ไม่งั้นคุณก็รอเขากลับมาหรือจะนัดเขาไว้ล่วงหน้าแล้วค่อยมาก็ได้ ฉันรับของพวกนี้ไว้ไม่ได้หรอกค่ะ” หานหรงกล่าว
เคอหงเทาได้ยินก็ตะลึง คาดไม่ถึงว่าหานหรงก็ยังรับมือยาก โดยทั่วไปผู้หญิงส่วนใหญ่เมื่อเห็นของขวัญเหล่านี้ก็ต้องชอบใจกันทั้งนั้น จนอดรนทนไม่ไหวคิดจะเก็บมันไปทันที แต่เธอกลับปฏิเสธ…
“ฮ่าๆๆ ของเหล่านี้ไม่ได้มีค่าอะไร คุณไม่ต้องเกรงใจหรอก รับไว้ก่อนเถอะครับ นอกจากนี้คุณเป็นแม่ของจื่อเซวียน ไม่จำเป็นต้องให้ลูกชายยินยอมเสียหน่อย”
ซ่งอีหนานเอ่ย “แม่ ดูสร้อยข้อมือทองเส้นใหญ่นี้ดีๆ สิ น่าจะหนักร้อยกว่ากรัมเชียวนะ”
“วางลงซะ!” หานหรงจ้องเขม็ง ซ่งอีหนานจึงรีบวางของกลับที่และนั่งลงบนเตียงโดยไม่พูดอะไร
“เหอะๆ ขอโทษนะคะคุณผู้ชาย ของพวกนี้ของคุณแพงเกินไป ครอบครัวเรารับไว้ไม่ได้ค่ะ”
เคอหงเทาคลี่ยิ้มเมื่อได้ยิน “คุณแม่เกรงใจไปแล้วครับ อันที่จริงนี่คือความจริงใจของเราด้วย ประเด็นหลักคือเถ้าแก่ของเราอยากร่วมมือกับจื่อเซวียนครับ ทางนั้นเขาก็ยุ่งกัน พวกเราไม่ได้มาเพื่อเยี่ยมคุณหรอกเหรอครับ หวังว่าคุณจะเป็นสื่อกลางให้หน่อยน่ะครับ”
“หา? ไม่ได้หรอก จุดนี้ครอบครัวเราไม่ใช่ระบบเจ้าขุนมูลนาย เรื่องของลูกๆ ต้องตัดสินใจด้วยตัวเองค่ะ ถึงฉันจะเป็นแม่ก็ตาม แต่จะไม่มีทางไปควบคุมความคิดของพวกเขา” หานหรงตอบอย่างหนักแน่น
เคอหงเทาไม่รู้จะตอบอย่างไรอยู่ครู่หนึ่ง ครุ่นคิดว่า ‘ไม่แปลกที่ซ่งจื่อเซวียนมีนิสัยแข็งกร้าวขนาดนี้ ที่แท้แม่ของเขาก็ไม่ใช่คนธรรมดา’
คุณแม่คนนี้ดูแล้วธรรมดามาก แต่มันสมองนี่…ซับซ้อนจริงๆ
“เอ่อ…เหอะๆ คุณแม่ เถ้าแก่พวกเราพูดมาแล้ว หวังว่าคุณจะช่วยอีกแรง พวกเราจะตอบแทนให้แน่นอน เอ่อ…คุณลองดูสิ ในบ้านยังขาดอะไรบ้าง ห้องนอนสามห้องหรือรถยนต์ ทั้งหมดนี้คุยกันง่ายครับ!”
ทันทีที่เขาพูดแบบนี้ ซ่งอีหนานก็ตกใจ คิดในใจว่าเจ้ารองนี่ไปโชคดีมาจากไหน ของขวัญยอดเยี่ยมที่สุดที่คนจะมอบให้คือเงินไม่ก็เครื่องประดับเงินทอง แต่นี่ถึงกับมอบบ้านมอบรถให้เหรอ
ทว่าหานหรงกลับส่งยิ้มและกล่าว “ครอบครัวของฉันน่ะไม่ขาดสิ่งใดเลยค่ะ อีกอย่างลูกชายฉันก็หาเงินได้ ไม่ต้องการความช่วยเหลือเหล่านี้จากคุณหรอกค่ะ”
ในใจเคอหงเทาเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก ผู้หญิงคนนี้ยังหัวรั้นอยู่เหรอ
“ก็ได้ ผมเข้าใจแล้ว แต่ในเมื่อเถ้าแก่มอบหมายงานให้ผมมา ผมก็ต้องทำตามคุณว่าไหม เอาอย่างนี้แล้วกัน คุณค่อยๆ ไตร่ตรองดูนะครับ”
พูดจบ เคอหงเทาก็นั่งเงียบๆ อยู่ด้านข้าง ท่าทีราวกับว่า ‘คุณคิดไตร่ตรองเถอะนะ ผมรอคุณอยู่’
ทว่าหานหรงรู้สึกไม่เต็มใจ ในบ้านนี้มีผู้หญิงแค่สองคน พวกเจ้าพ่อสองคนมาอยู่ที่นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่
“ไม่ต้องคิดแล้วล่ะ ฉันไม่รับ ไม่ว่าเรื่องอะไรฉันก็จะฟังความเห็นของลูกชายฉัน” หานหรงเชิดหน้าขึ้นแล้วกล่าว
ซ่งอีหนานก็ยืนขึ้นแล้วพูดเช่นกัน “ใช่แล้ว แม่ฉันก็บอกไปแล้ว พวกคุณเอาของออกไปเถอะ”
แต่เคอหงเทาไม่ได้เอ่ยอะไร ปิดตาลงเล็กน้อยเพื่อหลับตาพักผ่อน
หานหรงขมวดคิ้ว “เอ๊ะพวกคุณเป็นอะไรกันเนี่ย ยังไม่ไปอีกเหรอ จะรังแกเราที่เป็นผู้หญิงสองคนใช่ไหม งั้นฉันจะแจ้งตำรวจ”
ในขณะที่พูด หานหรงก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมา เคอหงเทาก็ยกยิ้มเบาๆ “ต้าลี่!”
ต้าลี่ก้าวไปข้างหน้าและคว้าโทรศัพท์จากหานหรงมา จากนั้นถอยกลับไปด้านหลังเคอหงเทา
“นี่แกทำอะไรฮะ…” ทันทีที่ซ่งอีหนานก้าวไป เธอก็ถูกต้าลี่ผลักไหล่ แค่คิดก็รู้ถึงเรี่ยวแรงที่แตกต่างกันได้
หานหรงเข้าใจทันที นี่มันของขวัญที่ไหนกันล่ะ มาที่นี่เพื่อขู่เข็ญเธอให้ซ่งจื่อเซวียนเชื่อฟังเชียวหรือ
“ได้ พวกคุณเล่นแง่ใช่ไหม ฉันจะบอกให้นะว่าฉันฟังลูกชายฉันคนเดียว แล้วแต่พวกคุณเถอะ ยังไงสาวแก่คนนี้ก็มีเวลาเหลือเฟือ เรามาใช้เวลาให้เต็มที่กันไปเลยเถอะ!”
………………………………………..