เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 130 เรื่องนี้ต้องถามเขา
ตอนที่ 130 เรื่องนี้ต้องถามเขา
เห็นสายตาของซ่งจื่อเซวียน เคอหงเทารู้สึกหลังเย็นวาบ
เขาไม่รู้ว่าทำไมช่วงนี้ซ่งจื่อเซวียนถึงเปลี่ยนแปลงไปมากขนาดนี้ จากมาดในตอนนี้ แม้แต่เขาเองก็ต้านทานไม่ไหว
บุคลิกเช่นนี้เหมือนติดตัวมาตั้งแต่เกิด ถึงแม้จะเจอซ่งจื่อเซวียนเป็นครั้งแรก เคอหงเทาก็สัมผัสได้ เพียงแต่…คืนนี้กลับดูแข็งแกร่งมากเป็นพิเศษ
“เรื่องนี้เป็นฝีมือของคุณเหรอ” ซ่งจื่อเซวียนเอ่ยถาม
เคอหงเทารีบอธิบายทันที “เปล่า นายอย่าเข้าใจผิด ฉันแค่ถามเท่านั้น คิดไม่ถึงว่า…จะไม่สงบสุขจริงๆ”
“คุณรู้ว่าคืนนี้เกิดเรื่องอะไรงั้นเหรอ”
“อาจจะใช่ แต่ฉันแค่คาดเดาเท่านั้น น้องชาย ฉันบอกแล้วว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับฉัน นายเชื่อไหม”
ซ่งจื่อเซวียนคิดครู่หนึ่ง “เชื่อครับ ขอแค่เสี่ยซานพูดผมก็เชื่อ ยังไงคุณก็ไม่มีเหตุผลที่ต้องปิดบังผม”
เมื่อได้ยินดังนั้น เคอหงเทาจึงพยักหน้า “ถูกแล้ว ที่จริง…เสี่ยหวงสั่งให้ฉันลงมือกับนาย แต่ฉันไม่ได้ทำ”
“เหอะๆ คุณกำลังรอคำตอบของผม ถ้าผมปฏิเสธคุณ คุณก็จะลงมือทันทีใช่ไหม”
เคอหงเทาเงียบไปครู่หนึ่ง พยักหน้าเอ่ยว่า “ใช่”
“เสี่ยซานคุณก็กล้ายอมรับนะเนี่ย”
“อยู่ในวงการไม่มีอิสระหรอก น้องชาย เสี่ยหวงแทรกอยู่ตรงนั้น เมืองตู้เหมินนี้ใครกล้ามีเรื่องกับเขาบ้างล่ะ ฉันคิดว่าความคิดของเฉิงปาตอนนี้ก็เหมือนกับฉัน ถ้าร่วมงานกับนายแล้วทำเงินก้อนโตได้ ถึงต้องอยู่คนละฝั่งกับเสี่ยหวงก็ถือว่าคุ้มค่า ไม่อย่างนั้น…พวกเราคงไม่กล้า”
ณ จุดนี้ซ่งจื่อเซวียนก็รู้ ไม่อย่างนั้นคงไม่กล้าลองดีต่อหน้าเสี่ยเฉิงปา เขาฉวยโอกาสจากความคิดเช่นนี้ของเสี่ยเฉิงปาได้
“ตามความหมายของคุณ…เรื่องในวันนี้เกี่ยวกับเสี่ยหวงงั้นเหรอครับ” นี่คือการวิเคราะห์ของซ่งจื่อเซวียน ตอนนี้ถามเคอซาน ถือว่าเป็นการยืนยันอย่างหนึ่ง
“ฉันไม่แน่ใจหรอก แต่แปดสิบเปอร์เซ็นต์น่าจะใช่ สองสามวันนี้เสี่ยหวงสั่งให้ฉันช่วยสนับสนุนนาย แต่ฉันไม่ได้ทำ ที่มีคนมาหาเรื่องในวันนี้…บางทีทางเสี่ยหวงอาจจะมีการเคลื่อนไหวแล้ว”
จริงๆ แล้วที่มาในวันนี้ เคอหงเทาอยากมาสืบดูสถานการณ์ของซ่งจื่อเซวียนเช่นกัน ถ้าหากเสี่ยหวงลงมือจริง เช่นนั้นก็สามารถอธิบายได้ว่าอีกฝ่ายไม่เชื่อใจเขาแล้ว
อย่างไรวันก่อนเสี่ยหวงได้มอบภารกิจหนึ่งให้กับเขา ตอนนี้ฝ่ายเสี่ยหวงก็เริ่มลงมือแล้ว ดูจากตอนนี้แล้ว เคอซานก็รู้สึกเขินอายเช่นกัน
“เข้าใจแล้ว แค่อยากยืนยันกับเสี่ยซานก่อน ผมก็รู้ว่าควรต้องทำยังไง”
“น้องชาย อย่างนั้นพวกเรา…”
“เสี่ยซาน มีบางเรื่องผมไม่อยากพูดมากเกินไป ตัวคุณก็รู้อยู่แก่ใจ คุณไม่ต้องรอคำตอบของผมแล้วครับ”
พูดจบ ซ่งจื่อเซวียนจึงเดินเข้าไปในซอย
เคอหงเทายืนอยู่หน้าปากซอยพักหนึ่ง เขากำหมัดแน่น
คืนฟ้าหนาว ไม่ได้ทำให้เขารู้สึกหนาวกาย แต่รู้สึกหนาวใจมากกว่า
ทว่าไม่ใช่เพราะซ่งจื่อเซวียนไม่เลือกที่จะร่วมมือกับเขา แต่เขาอาจจะพลาดโอกาสดีๆ ครั้งหนึ่งไปตลอดชีวิต!
ในวงการอาหาร อยากจะบินทะยานต้องมีสามปัจจัย หนึ่งบริหารจัดการดี บริหารร้านอาหารอย่างถูกต้องตามกฎเกณฑ์ สองคือมีเส้นสายในวงกว้าง อาศัยการช่วยเหลือและสนับสนุนจากแต่ละวงการ สามคืออาศัยเมนูเด็ดยอดฮิต
วิธีที่หนึ่งไม่ต้องพูดถึง วันแรกที่เคอหงเทาก้าวเข้ามาในวงการอาหาร ก็ถูกกำหนดให้ไม่สามารถทำกิจการที่ถูกต้องได้
ส่วนวิธีที่สอง ถึงแม้เขาจะใช้ชีวิตได้ไม่เลว แต่เมื่อเทียบกับพวกเสี่ยหวงแล้วต่างกันลิบลับ โดนคนพวกนั้นเหยียบก็จะไม่สามารถบินทะยานได้ตลอดไป
ดังนั้น คนอย่างเคอซานและเฉิงปาจึงต้องอาศัยปัจจัยที่สาม แต่เมนูอาหารรสเลิศที่แท้จริงหนึ่งทศวรรษถึงจะเจอครั้งหนึ่ง ไม่ง่ายเลยที่โอกาสนี้จะมาถึง แต่ดันพลาดไปแล้ว…
นี่คือความพ่ายแพ้ครั้งใหญ่สำหรับคนอย่างพวกเขา
ซ่งจื่อเซวียนเห็นว่าดึกแล้ว จึงตรงไปยังบ้านฟางจิ่งจือ ชายชรากำลังดื่มเหล้าดูงิ้วอยู่เหมือนอย่างที่คิดไว้จริงๆ
“ปู่ สามทุ่มกว่าแล้ว ปู่ยังจะดื่มอีกเหรอ ปู่ดื่มวันหนึ่งสามมื้อยังไม่พออีกเหรอ” ซ่งจื่อเซวียนเดินเข้าไปแย่งขวดเหล้าในมือของฟางจิ่งจือมา ปิดฝาแล้ววางไว้ข้างๆ
ฟางจิ่งจือกวาดตามองซ่งจื่อเซวียนหนึ่งที “เด็กวัยรุ่นอย่างพวกแกชอบกินอาหารมื้อดึก ฉันจะดื่มสักหน่อยไม่ได้เหรอ”
“ก็ไม่ได้บอกว่าปู่ห้ามดื่ม แต่ก็ต้องดูเวลาด้วย พวกเราต้องตั้งกฎขึ้นมาแล้ว ต่อไปห้ามดื่มตอนมื้อเย็น” ซ่งจื่อเซวียนพูด พลางย้ายโต๊ะตัวเตี้ยตรงหน้าชายชราออกไป แล้วหยิบผ้าห่มคลุมให้เขา
อย่างไรฟางจิ่งจือก็ดื่มจนหนำใจแล้ว จึงเอนตัวพิงไปด้านหลัง ฟังเพลงงิ้วอย่างเพลิดเพลินสบายใจ ไม่พูดอะไรอีก
“ฮิๆ ตาแก่อย่างปู่ บ่นแค่สองประโยคก็ไม่พูดแล้วเหรอ”
ซ่งจื่อเซวียนเข้าไปพูดใกล้ๆ
แต่ฟางจิ่งจือยังคงเงียบเหมือนเดิม ส่ายหน้าส่ายหัวฟังงิ้วต่อ ทำเหมือนไม่มีซ่งจื่อเซวียนอยู่
ซ่งจื่อเซวียนมองบน หายใจหอบ เอ่ยว่า “โอเค ผมสู้ปู่ไม่ได้โอเคไหม แต่ผมอยากถามอะไรปู่เรื่องหนึ่ง”
ฟางจิ่งจือยังคงไม่สนใจเหมือนเดิม
ซ่งจื่อเซวียนหงุดหงิดแล้ว แต่อยู่กับชายชราต่อให้โกรธก็ต้องอดกลั้นไว้ เขาเข้าไปใกล้อีกนิด นั่งลงตรงหัวเตียง พูดเสียงดังข้างหู “ปู่รู้จักบันทึกหย่งซั่นไหม”
ได้ยินประโยคนี้ ฟางจิ่งจือก็ตกตะลึงในทันใด หยุดส่ายหัว ดวงตาคู่นั้นจ้องมองไปข้างหน้า
เขาเงียบไปพักหนึ่ง แล้วค่อยๆ พูด “กวังซวี่ องค์ชายหย่ง…”
ซ่งจื่อเซวียนเบิกตาโตทั้งสองข้าง “อะไรนะ องค์ชายหย่งเหรอ”
ฟางจิ่งจือพยักหน้าช้าๆ “มันเป็นของโบราณ แกมีเหรอ”
“ไม่มีครับ ผมไม่เคยเห็นมาก่อน อ้อไม่สิ ผมไม่เคยได้ยินมาก่อน แต่ตอนนี้มีคนบอกว่ามันอยู่ในมือของผม และอยากได้มันไปน่ะ”
ฟางจิ่งจือค่อยๆ หันมามองซ่งจื่อเซวียน “อ้อ…”
“อ้องั้นเหรอ ปู่ มีคนบอกว่าผมมีแล้วก็ตอนนี้อยากได้มันไป ปู่มาอ้ออะไร”
“ของชิ้นนี้เป็นของดี ถ้าแกได้มาแล้ว ก็เอามาให้ปู่อย่างฉันดูด้วยนะ”
ซ่งจื่อเซวียนส่ายหน้าอย่างจนใจ “โอเค สงสัยคงจะเลอะเลือนแล้ว ยังต้องเอามาให้ปู่ดูเหรอ แล้วผมจะไปหามาจากไหนล่ะ”
พูดจบ ซ่งจื่อเซวียนก็ลุกขึ้นเดินไปด้านข้าง แล้วเริ่มเก็บกวาดทำความสะอาด
ช่วงนี้ หานหรงไม่ได้ทำงาน เธอจึงเป็นคนทำความสะอาดบ้าน ส่วนที่ร้านก็มีพนักงาน ซ่งจื่อเซวียนสามารถพูดได้ว่าไม่ต้องเก็บกวาดอะไร มีแต่บ้านของท่านผู้เฒ่าเท่านั้นที่เขาต้องมาจัดการด้วยตัวเอง นี่คือการแสดงความกตัญญู และเพื่อสร้างกฎเกณฑ์ให้ตัวเอง
ทว่าฟางจิ่งจือกลับนั่งอยู่ที่เดิมเหมือนกับเมื่อครู่ ท่าทางไม่ได้เปลี่ยน เหมือนกำลังครุ่นคิดบางอย่าง…
ซ่งจื่อเซวียนกำลังเช็ดโต๊ะอยู่ ฟางจิ่งจือเอ่ยว่า “อาหารเจ็ดสิบสองจาน อาหารแมนจูสามสิบเจ็ดรายการ อาหารจีนสามสิบห้ารายการ ในจำนวนนั้นเป็นอาหารชาววังสิบหกรายการ อาหารพื้นบ้านห้าสิบหกรายการ เมนูแรกที่ฉันจำได้คือ…ท้องหมูต้มน้ำกระเทียม…”
ซ่งจื่อเซวียนเงยหน้ามองฟางจิ่งจือ ฟังเขาพูดหลายเรื่องอย่างคล่องแคล่ว เหมือนรู้จักบันทึกหย่งซั่นเป็นอย่างดี
“ปู่พูดอะไรน่ะ บันทึกหย่งซั่นคือสูตรอาหารงั้นเหรอ”
ฟางจิ่งจือไม่สนใจคำพูดของซ่งจื่อเซวียน แล้วพูดต่อ “องค์ชายองค์หนึ่ง…วันๆ ไม่ทำอะไร มีอยู่อย่างเดียวคือการกิน!”
วันนี้กิน วันพรุ่งนี้กิน กินตลอดทั้งปี กินจนได้ชื่อเสียงเรื่องการกิน ทำสูตรอาหารออกมา เขาคนนั้น…มีทางที่สามารถเดินผ่านได้เสมอ
ซ่งจื่อเซวียนพยายามนำคำพูดที่ไม่ปะติดปะต่อของชายชรามาร้อยเรียงกัน ดูเหมือนจะเข้าใจเรื่องราวเกี่ยวกับบันทึกหย่งซั่นแล้ว
เรื่องมีอยู่ว่าในสมัยราชวงศ์ชิงของจักรพรรดิกวังซวี่มีองค์ชายนามว่าหย่ง ไม่ทำงานแต่ชอบกินมาก ต่อมาจึงสร้างชื่อเสียงขึ้นมา น่าจะหมายถึงบันทึกหย่งซั่น
“แต่ทุกคนไม่รู้ว่าองค์ชายหย่งมีความเคยชินอีกอย่างหนึ่ง…”
“หืม”
“ไอ้หมอนี่พอใจในความสำเร็จของตัวเองมาก สูตรอาหารสองสามอย่างในบันทึกหย่งซั่นมีชื่อเสียงได้รับการสืบทอดต่อไป แต่สูตรอาหารส่วนใหญ่ไม่ได้เรื่องหมดเลยน่ะสิ”
“หา ทำไมล่ะครับ ในเมื่อทำทั้งทีทำไมไม่ทำสูตรอาหารที่จะสืบทอดต่อไปล่ะ” ซ่งจื่อเซวียนถาม
ฟางจิ่งจือหัวเราะ “เขาก็อยากให้เป็นแบบนั้น แต่เขามีฝีมือแบบนั้นที่ไหน ยิ่งไปกว่านั้นอาหารรสเลิศที่แท้จริงอาจจะไม่ได้ปรากฏภายในไม่กี่ชั่วอายุคน จีนแผ่นดินใหญ่จนถึงตอนนี้ มีอาหารที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นอาหารรสเลิศสักกี่จานกัน”
“แต่ว่า…เขาใส่สูตรอาหารธรรมดาเข้าไปแล้วจะมีประโยชน์อะไรล่ะครับ”
“มีประโยชน์อะไรงั้นเหรอ จักรพรรดิกวังซวี่ชอบน่ะสิ ถ้าทำอาหารสองสามอย่างมากสุดก็ได้รับความโปรดปรานจากองค์จักรพรรดิเท่านั้น แต่ถ้าทำเป็นตำราสูตรอาหาร นั่นก็จะเป็นงานใหญ่ของราชวงศ์ องค์ชายหย่งคนนี้ก็ย่อมได้รับรางวัลและการชื่นชม”
ซ่งจื่อเซวียนหัวเราะ “คิดไม่ถึงว่าองค์ชายเกิดมาจะชอบอาหารเป็นพิเศษ แต่ก็หลีกเลี่ยงทางโลกไม่พ้น สร้างตำราอาหารปลอมครึ่งหนึ่ง”
“พูดถูก จะพูดว่ามันปลอมครึ่งหนึ่งก็ไม่ผิดเลยสักนิด อาหารครึ่งหนึ่งเป็นอาหารราชวงศ์ชิงยุคต้นๆ หรือไม่ก็เป็นอาหารพื้นบ้าน กินง่าย ไม่ได้มีจุดแย่อะไร ทว่าในนั้นมีเมนูอาหารจานเด็ดหกอย่าง”
“หกอย่างงั้นเหรอ สูตรอาหารทั้งหมดเจ็ดสิบสองรายการ มีอาหารจานเด็ดแค่หกอย่างเท่านั้นเหรอ”
“เหอะๆ อาหารหกอย่างนี้เรียกว่าหาที่เปรียบไม่ได้ ฉันจำได้ว่ามี…เต้าหู้ทอดกรอบผัดซอสพริก ปลาตะลุมพุกนึ่ง ปลาลิ้นหมานึ่ง อาหารเจห้ามงคล ขนมเปี๊ยะเผือกฝอยทอดกรอบกับ…” ฟางจิ่งจือขมวดคิ้วครุ่นคิดเล็กน้อย “อ้อใช่ แล้วก็โต้วหลงเหมิน!”
ตอนที่ได้ยินชื่ออาหารหลายอย่างนั้น ซ่งจื่อเซวียนไม่มีการตอบสนองอะไร แต่ตอนที่ได้ยินโต้วหลงเหมิน เขารู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาเล็กน้อย
“โต้วหลงเหมิน ปู่ เป็นสูตรอาหารที่สามในตำราของปู่นี่!”
ท่าทางฟางจิ่งจือกลับนิ่งเฉย เขาพยักหน้าเบาๆ “ถูกต้อง ดังนั้นสรุปได้ว่า…ตำราอาหารล้ำค่าในโลกนี้ต้องมีปะปนกันบ้าง โดยเฉพาะบันทึกหย่งซั่น แทบจะปะปนกับหลายสูตรอาหารมาก แกว่าอาหารจานที่สามสิบเก้าในบันทึกหย่งซั่น หมูเส้นผัดเปรี้ยวหวานน่ะ แค่นี้ก็ไม่ต้องให้ฉันพูดเยอะแล้วใช่ไหม”
เมื่อได้ยินดังนั้น ซ่งจื่อเซวียนจึงหัวเราะออกมา “ใช่ครับปู่ มีปนกับอาหารในร้านของพวกเราด้วย”
ซ่งจื่อเซวียนพูดเช่นนี้ ฟางจิ่งจือจึงหัวเราะเช่นกัน
“ใช่แล้ว ไอ้หลานเวร แกฝึกโต้วหลงเหมินถึงไหนแล้วล่ะ”
“ปู่ น้ำแกงเกล็ดปลาทองห้าสายผมยังทำไม่คล่องเลย แล้วจะทำโต้วหลงเหมินได้ยังไงครับ”
ฟางจิ่งจือพยักหน้าช้าๆ “อ้อ…อย่างนี้นี่เอง ก็ใช่ ฉันจำได้…เมื่อก่อนพ่อครัวคนนั้นใช้เวลาสี่ปีเรียนรู้การทำจานที่สามในส่วนแรกของสูตรอาหาร ส่วนแก…ใช้เวลาไม่นานก็…”
“สี่ปีเหรอ ปู่ โต้วหลงเหมินยากมากเลยเหรอ”
ฟางจิ่งจือหัวเราะ “ก็ต้องดูว่าแกมีความอดทนมากแค่ไหน”
ปู่หลานสองคนคุยกันสักพักหนึ่ง ซ่งจื่อเซวียนก็บอกให้ชายชรารีบพักผ่อน แล้วจึงเก็บกวาดทำความสะอาดอีกหนึ่งรอบ เอาขยะออกไปทิ้ง แล้วออกจากบ้านของฟางจิ่งจือไป
หลังจากกลับบ้าน ซ่งจื่อเซวียนพลิกตัวนอนตะแคง พลางคิดในใจถึงจานที่สามของสูตรอาหาร ขณะเดียวกันก็กังวลว่าในอนาคตเสี่ยหวงคิดจะทำอะไรอีก สงสัยวันพรุ่งนี้ต้องคุยเรื่องนี้กับเสี่ยปาแล้ว ไม่อย่างนั้นเกรงว่าช่วงนี้ร้านอาหารร่ำรวยคงไม่สงบสุขแน่
แต่สิ่งที่เขากังวลยิ่งกว่าคือสภาพของตัวเองในตอนนี้ เสี่ยหวงบอกชัดเจนว่าตัวเองมีบันทึกหย่งซั่น แต่ตัวเองกลับไม่รู้จักเสี่ยหวงคนนั้น อยากจะอธิบาย ก็ไม่มีที่ให้ไปพูด
“เรื่องนี้…สงสัยต้องไปถามเขาถึงจะได้ความ…” ซ่งจื่อเซวียนพูด พลางมองแม่กับพี่สาวที่นอนหลับอยู่บนเตียง เห็นพวกเขานอนหลับสนิทก็ยิ้มออกมาเล็กน้อย รอยยิ้มเปี่ยมไปด้วยความพึงพอใจ
……………………………………….