เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 129 คนในแก๊งขอทาน
ตอนที่ 129 คนในแก๊งขอทาน
กู่เสี่ยวเป่าตะโกนแบบนี้ พวกซ่งจื่อเซวียนก็ตกตะลึงเช่นกัน
ก่อนหน้านั้นซ่งจื่อเซวียนวิเคราะห์ว่าชายชราคนนี้กับกู่เสี่ยวเป่าต้องเกี่ยวข้องกันอยู่บ้าง แต่คิดไม่ถึงว่าจะบังเอิญขนาดนี้ กู่เสี่ยวเป่าปรากฏตัวมาจริงๆ
และตามการวิเคราะห์ของซ่งจื่อเซวียนคือพวกเขาอยู่ในแก๊งขอทานเหมือนกัน แต่กลับคิดไม่ถึงว่ากู่เสี่ยวเป่าจะรู้จักชายชรา เพราะว่าแก๊งขอทานนั้นใหญ่มาก มีสมาชิกอยู่มากมาย ไม่อย่างนั้นคงไม่โดนเรียกว่าเป็นแก๊งแรกของจีนแผ่นดินใหญ่ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน
เมื่อได้ยินกู่เสี่ยวเป่าเรียกตัวเอง ชายชราก็ตกตะลึงเช่นกัน สบตากับกู่เสี่ยวเป่าอยู่นาน ตะลึงงันพูดไม่ออกสักประโยค
ทว่าพวกซ่งจื่อเซวียนกลับเห็นว่า เบ้าตาของชายชราคนนั้น…มีน้ำตาซึมเล็กน้อย
ถึงแม้จะไม่เข้าใจว่าทำไม แต่พอมองออกว่า ต้องมีเรื่องราวอยู่แน่นอน
กู่เสี่ยวเป่ารีบเดินไปข้างหน้า ชายชราตัวไม่สูงมาก แต่อย่างไรกู่เสี่ยวเป่าก็ยังเป็นเด็ก จึงตัวเตี้ยกว่าชายชราครึ่งหนึ่ง
เขาใช้สองมือจับมือของชายชรา พูดด้วยใบหน้าดีใจ “ปู่กุ่ย ปู่มาอยู่ที่นี่ได้ยังไง”
ชายชราดีใจพูดไม่ออก น้ำตาในดวงตาไหลออกมาในที่สุด เปื้อนใบหน้าที่ดำคล้ำและเหี่ยวย่น กระทั่งร่วงหล่นลงไปจากใบหน้า
“พวก…พวกนายรู้จักกันเหรอ” ซางเทียนซั่วเดินเข้าไปถามใกล้ๆ
กู่เสี่ยวเป่าพยักหน้าอย่างแรง “เขาเป็น…เพื่อนของพวกเรา”
ซ่งจือเซวียนยิ้มเล็กน้อย กู่เสี่ยวเป่าพูดประโยคนี้น่าจะหมายถึง…เขาเป็นคนในแก๊งขอทานของพวกเรา!
ชั่วขณะนั้น คนอ้วนและกลุ่มนักเลงกลายเป็นเหมือนอากาศธาตุ ไม่มีใครสนใจอีก และด้วยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกะทันหันนี้ ทำให้พวกเขาไม่ได้พูดอะไรเลย ได้แต่มองอย่างเดียว
วันนี้ร้านอาหารร่ำรวยคึกคักจริงๆ เด็กขอทานคนหนึ่งเข้ามาเจอขอทานชราคนหนึ่ง เหมือนเจอญาติของตัวเอง…
“นี่ ฉันไม่สนใจเรื่องของพวกนายหรอกนะ ยังไงไอ้แก่นี่ก็หาเรื่องฉัน ตอนนี้ฉันจะจัดการเขาซะ!”
คนอ้วนเชิดหน้าพูดเล็กน้อย แต่ตัวเขาเองไม่รู้เลยว่า นี่คือคำพูดที่ไร้สมองมากที่สุดในชีวิตของเขา
เมื่อได้ยิน กู่เสี่ยวเป่าก็หันไปมองคนอ้วนในทันใด ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความโกรธเคืองอย่างชัดเจน หน้านิ่วคิ้วขมวด ขบฟันแน่น
และไม่รอให้คนอ้วนพูดตอบ ปู่กุ่ยก็เอ่ยว่า “ไม่เป็นไรๆ”
“ปู่กุ่ย ปู่น่ะใจดี แต่เรื่องนี้…ปู่ไม่ต้องพูดหรอก” ขณะที่พูด กู่เสี่ยวเป่ามองไปทางซางเทียนซั่ว “หลานคนโต นายพูดมา!”
ครั้งนี้ซางเทียนซั่วไม่คัดค้าน เขาเอ่ยว่า “คนพวกนี้เข้ามาก่อกวนในร้าน เมื่อกี้ท่านผู้เฒ่าช่วยพูดให้อย่างเป็นธรรม พวกเขากลับจะโยนท่านผู้เฒ่าออกไป!”
คำพูดเหล่านี้ไม่ได้ตอกไข่ใส่สี เพียงแต่ซางเทียนซั่วก็มองบางอย่างออกเช่นกัน ไม่ได้เรียกตาแก่อีก แต่เปลี่ยนไปเรียกว่าท่านผู้เฒ่าแทน
คนอ้วนพยักหน้าพูด “เรื่องก็เป็นแบบนี้แหละ แล้วจะทำไม เชื่อไหมล่ะว่าฉันจะโยนขอทานเด็กและแก่อย่างพวกแกออกไปนอกร้านพร้อมกัน!”
คนอ้วนไม่รู้ว่าซ่งจื่อเซวียนกับกู่เสี่ยวเป่าสนิทกันแค่ไหน ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่พูดขนาดนี้ ลำพังแค่ฟางรุ่ยก็สามารถโยนพวกเขาออกไปได้เหลือเฟือ
กู่เสี่ยวเป่าหัวเราะ “ได้ นายพูดถูก อวี่เหวินเซี่ยว ทำตามที่เขาพูด!”
อวี่เหวินเซี่ยวได้ยินแล้วจึงเดินเข้าไป ประจันหน้ากับคนอ้วน เห็นอวี่เหวินเซี่ยวคนตรงหน้าดูเย็นชายิ่งกว่าฟางรุ่ย คนอ้วนอดไม่ได้ที่จะกลืนน้ำลาย “ฉันว่านะ เอ่อ…เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับนาย อย่ามายุ่งเรื่องของคนอื่น ฉันแค่…เฮ้ๆๆ…นายจะทำอะไร…”
เขายังพูดไม่จบ อวี่เหวินเซี่ยวก็จับคอเสื้อของเขาขึ้นมา คนอ้วนที่ตัวหนักเกือบเก้าสิบห้ากิโลกรัม กลับเหมือนลูกไก่ในมือของอวี่เหวินเซี่ยวอย่างไรอย่างนั้น โดนจับยกขึ้นมาในทันที
คนอื่นที่เหลืองงเป็นไก่ตาแตก อยากจะเข้าไปแต่ก็ไม่กล้า มองอวี่เหวินเซี่ยวลากคนอ้วนออกจากร้านไป
เมื่อเดินมาถึงหน้าประตู อวี่เหวินเซี่ยวออกแรงดึงไปข้างหน้าเล็กน้อย คนอ้วนถูกโยนออกไป กลิ้งไปกับพื้นสองทีแล้วจึงหยุด
ตอนที่ลุกขึ้นมานั่ง คนอ้วนก็เลือดกำเดาไหล หน้าดำเคร่งเครียด
“พวกนายแม่งบ้าไปแล้วเหรอ รู้ไหมว่าฉันเป็นใคร วันพรุ่งนี้ฉันจะทำให้พวกนายปิดร้านให้ได้!” คนอ้วนตะโกนปาวๆ พลางสะอึกสะอื้น
อวี่เหวินเซี่ยวเดินกลับไปโดยไม่สนใจ พลางมองนักเลงคนอื่นที่เหลือ “พวกนายจะเดินออกไปเอง หรือว่าจะให้ฉันโยนออกไป”
นักเลงพวกนั้นตกใจจนหน้าซีด แต่ละคนไม่กล้าพูดและเริ่มเดินออกไปข้างนอกเอง
ซางเทียนซั่วหัวเราะ “เยี่ยมมากเด็กขอทาน ถือว่านายโหดมาก จับพวกมันโยนออกไปเลย”
“ไม่หรอก คนแบบนี้อย่าเสียเวลาพูดด้วย จับโยนออกไปก็พอ” พูดจบ เขาจึงหันไปหาปู่กุ่ย “ปู่กุ่ย ผมตามหาปู่อยู่นานมาก ปู่มาที่ตู้เหมินตั้งแต่เมื่อไรเนี่ย”
รอยยิ้มเป็นมิตรมีเมตตากลับมาบนใบหน้าของปู่กุ่ยเหมือนเดิม “เหอะๆ มาได้ไม่นานน่ะ อ้อใช่ สองสามวันที่ผ่านมาพักอยู่ในเขตเฉิงตง ท่านเจ้าของร้านให้ฉันติดเงินกินเหล้าได้ทุกวันเลย”
ซ่งจื่อเซวียนหัวเราะ “ไม่เป็นไรครับ ท่านผู้เฒ่า ผมไม่รู้ว่าคุณเป็นเพื่อนกับเสี่ยวเป่า ถ้ารู้จะเลี้ยงคุณเลยครับ”
“ทำแบบนั้นไม่ได้นะ ตาแก่อย่างฉันชอบกินเหล้า สั่งให้นายเลี้ยงตลอดคงผิดกฎแย่”
“เหอะๆ ไม่ต้องยึดกฎอะไรขนาดนั้นหรอกครับ เสี่ยวเป่า นายกินข้าวหรือยัง”
“กินแล้วพี่รอง พี่ไม่ต้องสนใจฉัน เมื่อวานฉันไปที่ต้าสือไต้มา ทางนั้นบอกว่าพี่ลาออกแล้ว ก็เลยถามทางจนมาถึงที่นี่น่ะ กิจการค้าขายดีไหม” กู่เสี่ยวเป่าถาม
ซ่งจื่อเซวียนพูดในใจ สมกับเป็นคนในแก๊งขอทาน ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน เรื่องสืบข่าวถามแก๊งขอทานต้องได้เรื่องแน่นอน
ไม่อย่างนั้นกู่เสี่ยวเป่าจะตามสืบจนรู้ว่าตัวเองมาเปิดร้านอาหารที่เขตเฉิงตงได้อย่างไร
“พอได้น่ะ เพิ่งจะเปิดร้านได้สองวัน โอเคเลย ถ้างั้นพวกนายคุยกันไปนะ ฉันจะไปดูหลังร้านหน่อย”
จากนั้น ซ่งจื่อเซวียนก็เดินขึ้นไปชั้นบน หาห้องส่วนตัวแล้วนั่งลง
เรื่องเมื่อครู่จัดการเรียบร้อยแล้ว แต่ซ่งจื่อเซวียนยังคงไม่สบายใจ นักเลงพวกนั้นมาก่อกวน ดูเหมือนจะไม่ใช่เรื่องธรรมดา
พวกคนอ้วนเมื่อครู่เหมือนเข้ามาหาเรื่องโดยไม่มีจุดประสงค์อะไร ไม่แจ้งความ ไม่หลอกเอาเงินหรือจะพูดตรงๆ คือมาหาเรื่องอย่างเดียว
ดังนั้นจุดประสงค์มีอย่างเดียวคือ อยากทำให้ร้านไม่สามารถดำเนินการตามปกติต่อไปได้ ถ้าหากเขาเดาไม่ผิด อีกสองสามวันอาจจะมีเรื่องที่คล้ายกันแบบนี้อีก
ตอนแรกซ่งจื่อเซวียนรู้สึกว่าอาจจะเป็นคู่แข่งที่อยู่แถวนี้ แต่พอคิดดูอีกที แถวนี้มีร้านไหนตาบอด กล้าเป็นศัตรูกับเฉิงปาบ้างเล่า
ซ่งจื่อเซวียนไม่สงสัยเคอหงเทา เพราะอย่างไรอีกฝ่ายเพิ่งมาหาตัวเอง เป็นไปไม่ได้ที่จะก่อเรื่องตอนนี้ อย่างนั้นก็ต้องเป็น…
เสี่ยหวง!
ซ่งจื่อเซวียนเบิกตาโตทั้งสองข้างทันที ถูกแล้ว ไม่อย่างนั้นจะมีใครอีก
ดูท่าเขาจะเริ่มลงมือแล้ว มาก่อกวน ไม่มีจุดประสงค์ แผนการนี้ถือว่าแยบยลมาก
เมื่อนึกถึงตรงนี้ ซ่งจื่อเซวียนรู้สึกเสียใจอยู่บ้าง เมื่อครู่น่าจะสั่งให้ซางเทียนซั่วถามคนอ้วนคนนั้น ถ้าหากเขายอมรับว่าเป็นคนของเสี่ยหวง เรื่องนี้ก็จะชัดเจน
แต่พอคิดดูอีกที ซ่งจื่อเซวียนก็หัวเราะออกมา ส่ายหน้าเอ่ยว่า “ถ้าเป็นเสี่ยหวงจริง เขาคงไม่ติดต่อโดยตรง คนอ้วนคนนั้นก็อาจจะไม่รู้ว่าตัวเองกำลังทำงานให้เสี่ยหวงอยู่”
…………………
ในซอยเล็กๆ ซอยหนึ่งที่ห่างจากร้านอาหารไม่มาก ถึงแม้แสงไฟจะสลัว แต่สว่างพอที่จะมองเห็นบริเวณแถวนี้
นักเลงพวกนั้นนั่งสูบบุหรี่อยู่บนพื้น คนอ้วนหยิบโทรศัพท์เดินไปด้านข้าง สีหน้าเคร่งขรึม
“คุณเถียน ในที่สุดคุณก็รับสายเสียที” โทรศัพท์โทรติดแล้ว คนอ้วนพูดด้วยความดีใจ
“อืม จัดการเป็นยังไงบ้าง” เสียงทุ้มต่ำดังมาจากอีกด้านหนึ่งของสาย
“ไม่ราบรื่นครับ ในร้านอาหารมีคนต่อยตีเก่งอยู่สองสามคน แล้วก็…แล้วก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น พวกเขาดูเหมือนจะรู้จักกับพวกขอทานด้วย”
“พวกขอทานงั้นเหรอ” เถียนเหวินคุ่ยถาม
จากนั้น คนอ้วนจึงเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้ให้ฟัง
เถียนเหวินคุ่ยเงียบไปพักหนึ่ง เอ่ยว่า “ฉันเข้าใจแล้ว พวกนายกลับไปก่อนได้เลย”
“หา? คุณเถียน ไม่อย่างนั้นผมจะหาลูกน้องอีกสองสามคน เข้าไปพังร้านมันตอนกลางคืน ดีไหมครับ” คนอ้วนถาม
“ยังไม่ถึงเวลา ถ้านายอยากระบายให้หายโกรธ วันพรุ่งนี้ตอนกลางคืนก็ไปจัดการ” เถียนเหวินคุ่ยพูด
“ได้เลยครับ คุณพูดแบบนี้ผมก็วางใจ อ้อใช่คุณเถียน ถ้าจะทำเรื่องนี้…ขอเพิ่มเงินได้ไหมครับ”
เมื่อได้ยินดังนั้น เถียนเหวินคุ่ยจึงพูดอย่างหมดความอดทน “จะทำอะไรก็ทำ”
พูดจบ แล้วจึงวางสาย
“แม่ง เก่งตายเลยนะ พวกเรากลับกันเถอะ”
“หมายความว่ายังไงพี่เวย ทางโน้นสั่งพวกเราให้พังร้านเหรอ แล้วจะให้เงินเพิ่มไหม” นักเลงคนหนึ่งถาม
คนอ้วนกลอกตาใส่เขา “ให้แม่งอะไรล่ะ เขาพูดว่าจะทำอะไรก็ทำ แต่ไม่ให้เงิน!”
“อย่างนั้น…ยังจะพังร้านไหม”
คนอ้วนคิดครู่หนึ่ง “แม่งเอ๊ย ยิ่งคิดก็ยิ่งโมโห พังสิ วันพรุ่งนี้ตอนกลางคืนพวกเราไปพังร้านกัน วันนี้คนของพวกมันเยอะกว่า คงจะระวังตัว วันพรุ่งนี้พวกเราค่อยไปพังร้าน!”
………………………
ตอนที่ซ่งจื่อเซวียนเดินลงมา พวกกู่เสี่ยวเป่าก็กลับไปแล้ว พนักงานสองสามคนกำลังเก็บร้านเตรียมเลิกงาน
“อาจารย์ลงมาแล้วเหรอ พวกขอทานเพิ่งจะกลับไปน่ะ”
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้า “พวกเขาคุยอะไรกัน”
“ไม่รู้ พวกเขาพูดหลายอย่างที่ผมฟังไม่เข้าใจ เหมือนภาษาต่างประเทศ” ซางเทียนซั่วพูด
ซ่งจื่อเซวียนขมวดคิ้วเล็กน้อยพลางครุ่นคิด “พวกเขาพูดภาษาชุนเตี่ยนของแก๊งเหรอ”
“ภาษาชุนเตี่ยนเหรอ” ซางเทียนซั่วถาม
ฟางรุ่ยที่อยู่ข้างๆ กล่าวว่า “ที่นายท่านรองพูดหมายถึงภาษาลับในวงการ ซึ่งหมายถึงภาษาสแลงของคนเฉพาะกลุ่ม นานมาแล้วพวกนักเลงในวงการชอบนำมาใช้ แต่เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยมีคนใช้กันแล้ว”
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้า คนที่สามารถใช้ภาษาลับได้ต้องเป็นแก๊งที่สืบทอดกันมารุ่นต่อรุ่น หรืออาจจะเป็นศิลปินที่เกี่ยวข้องกับประเพณีนิยม ตอนนี้ดูแล้ว…พวกเขาน่าจะเป็นแก๊งขอทาน
“โอ้โหถ้าอย่างนั้นก็แย่สิ แก๊งขอทานเหรอ ผมคิดว่าตอนนี้ไม่มีแล้วเสียอีก”
ซ่งจื่อเซวียนหัวเราะ “ไม่ว่าปีไหนเดือนไหน ต่อให้แก๊งอื่นๆ จะโดนควบคุมไปหมดแล้ว แต่แก๊งขอทานจะไม่เป็นแบบนั้น”
“หือ ทำไมล่ะ เป็นเพราะแก๊งขอทานมีกำลังยิ่งใหญ่เหรอ”
ฟางรุ่ยได้ยินก็ยิ้ม “แกโง่เหรอ ใครจะอยากควบคุมแก๊งขอทานล่ะ”
พูดจบ แม้แต่ซางเทียนซั่วก็ยังหัวเราะออกมา
หลังจากปิดร้านเลิกงานแล้ว ซ่งจื่อเซวียนก็ตรงไปที่บ้านฟางจิ่งจือ เพราะเสี่ยหวงต้องการบันทึกหย่งซั่น แต่เขาไม่รู้ว่าคืออะไร
แม้แต่คำนี้ก็ไม่เคยได้ยินมาก่อน อาจจะต้องไปถามชายชรา
แต่เพิ่งเดินถึงหน้าปากซอย ก็ได้ยินเสียงแตรรถสองที เขาหันไปมอง รถเก๋งสีน้ำเงินคันหนึ่งจอดอยู่ด้านข้าง เคอหงเทากำลังเดินลงมา
“น้องชาย ฉันรอนายนานมาก” เคอหงเทายิ้มพูดเล็กน้อย
เมื่อเห็นเคอหงเทามาหาตัวเอง ซ่งจื่อเซวียนรู้สึกรำคาญใจอยู่บ้าง แต่เขาก็ยังเดินเข้าไปหา
“เสี่ยซาน สองวันนี้คุณมาหาผมบ่อยนะครับ”
“เหอะๆ หวังว่าจะไม่ทำให้น้องชายรำคาญ เรื่องเมื่อวาน…”
ซ่งจื่อเซวียนหัวเราะไปที “เสี่ยซานคุณไม่ให้เวลาผมหน่อยเหรอ เพิ่งจะผ่านไปหนึ่งวันเอง”
เคอหงเทาพยักหน้า “ใช่ ฉันรู้ แต่…น้องชาย เสี่ยหวงเร่งหนักมาก ถ้าพวกเราร่วมมือกัน ฉันยินดีช่วยนายต้านทานเสี่ยหวง ไม่อย่างนั้น…เกรงว่าฉันต้องทำงานให้เสี่ยหวงเหมือนกัน”
ซ่งจื่อเซวียนได้ยินแบบนั้นจึงขมวดคิ้วเล็กน้อย อันที่จริงเขาก็นึกถึงจุดนี้ อย่างไรที่เคอซานมาก่อกวนในงานวันเปิดร้านของตัวเอง ก็แสดงตัวแล้วว่าเกี่ยวข้องกับเสี่ยหวง
เห็นซ่งจื่อเซวียนไม่พูดอะไร เคอหงเทาจึงพูดว่า “น้องชาย วันนี้ที่ร้านไม่ค่อยสงบใช่ไหม”
เมื่อได้ยินประโยคนี้ ดวงตาทั้งสองข้างของซ่งจื่อเซวียนก็มองไปที่เคอหงเทา ถึงแม้สีหน้าจะเรียบเฉย แต่แววตานั้นกลับเย็นชาอยู่บ้าง
………………………………………………