เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 128 ปู่กุ่ย!
ตอนที่ 128 ปู่กุ่ย!
พอได้ยินเช่นนี้ ซางเทียนซั่วก็โมโหทันที รีบเดินไปที่โต๊ะนั้น
“คุณพูดจาเกรงใจหน่อย คนเยอะแยะกำลังกินข้าวอยู่ คุณจะตะโกนทำไม!” ซางเทียนซั่วตะโกนพูดกับคนอ้วนคนนั้น
“อ้าว ไอ้หนุ่ม แม่งพูดกับใครอยู่”
คนอ้วนพูดแบบนี้ ผู้ชายที่ใส่เสื้อแจ็คเก็ตหนังคนหนึ่งจึงลุกขึ้น “ไอ้หนุ่ม แกรู้ไหมว่าเขาเป็นใคร”
ซางเทียนซั่วเหลือบตามองหนึ่งที “ฉันแม่งไม่สนใจหรอกว่าแกเป็นใคร!”
“เชี่ย แกแม่งอยากตายใช่ไหม!”
คนอ้วนพูดพลางจับขวดเหล้าบนโต๊ะคิดจะฟาดใส่ซางเทียนซั่ว
ซางเทียนซั่วเห็นแล้วกำลังจะหลบ แต่ในขณะเดียวกันนั้น ฟางรุ่ยก็พุ่งเข้ามาแล้ว ยกมือคว้าข้อมือของคนอ้วนไว้
“แม่งเอ๊ย แกปล่อยฉันนะ!” คนอ้วนขึงตาพูดกับฟางรุ่ย
ฟางรุ่ยไม่สนใจ พลางออกแรงที่มือทันที คนอ้วนคนนั้นใบหน้าบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวด
ต้องรู้ไว้ว่ากำลังมือของกองกำลังพิเศษ คนทั่วไปทนไม่ไหวแน่นอน
“โอ๊ย…โอ๊ยๆ แม่งปล่อยฉันนะ ไม่งั้นฉันจะไล่แกออกเลยเชื่อหรือเปล่า”
คำพูดของคนอ้วนยังคงไม่ยอมอ่อนลงเหมือนเดิม แต่ฟางรุ่ยไม่สนใจเลย เขาออกแรงอีกครั้ง และบิดข้อมือของคนอ้วนไปอีกทางหนึ่ง
คนอ้วนตอนนี้หน้าแดงก่ำ เจ็บจนบิดตัวหมุนไปหนึ่งรอบ ท่าทางช่างทรมานนัก และเดิมทีตัวก็อ้วนอยู่แล้ว จึงเจ็บจนหายใจไม่ทัน
“แม่งเอ๊ย จัดการพวกมัน!”
พอสิ้นเสียง นักเลงที่อยู่รอบๆ ทั้งสามคนจึงลุกขึ้น กำหมัดพุ่งตรงไปหาฟางรุ่ย แต่ซางเทียนซั่วอยู่ข้างๆ เมื่อครู่ฟางรุ่ยช่วยเขาไปแล้วครั้งหนึ่ง ครั้งนี้เขาย่อมนิ่งดูดายไม่ได้
ซางเทียนซั่วจึงต่อยหน้าหนึ่งคนในนั้นไปที คนคนนั้นร้องโอดโอย ตัวล้มไปด้านหลัง
เดิมทีซางเทียนซั่วมีแรงอยู่ไม่น้อย บวกกับอีกฝ่ายไม่ทันตั้งตัว หมัดนี้จึงไม่เบาเลยทีเดียว
พอทางนี้เริ่มต่อยตีกัน ลูกค้าอีกสองสามโต๊ะก็ทนนั่งอยู่ไม่ได้แล้ว อย่างไรก็แค่ออกมากินข้าว ไม่ว่าใครก็ไม่อยากมีเรื่องด้วย
เมื่อได้ยินเสียงทะเลาะกันจากด้านนอก ซ่งจื่อเซวียนก็รีบวิ่งออกมาทันที เห็นซางเทียนซั่วกับฟางรุ่ยกำลังฉุดกระชากกับฝ่ายตรงข้าม จึงรีบตะโกนว่า “หยุด หยุดตีกันได้แล้ว!”
เพราะอย่างไรร้านอาหารมีไว้เพื่อค้าขาย และที่นี่มีลูกค้าที่ยังไม่ได้ชำระเงิน ซ่งจื่อเซวียนต้องทนไม่ได้อยู่แล้ว
“นายท่านรอง พวกเขามาหาเรื่อง!” ฟางรุ่ยตะโกนพลางเดินถอยหลัง หาจังหวะดึงตัวเองออกมา
ประมาณเจ็ดแปดวินาที ฟางรุ่ยกับซางเทียนซั่วก็ถอยกลับมาแล้ว คนพวกนั้นยังอยากจะต่อยตีอีก แต่เมื่อเห็นซ่งจื่อเซวียนแล้วก็หยุดมือ
ไม่ใช่เพราะกลัวซ่งจื่อเซวียน ประเด็นหลักคือตอนที่ต่อยตีกันเมื่อครู่ พวกเขาต้านทานไม่ไหวอย่างเห็นได้ชัด พอเห็นคนออกมาห้ามจึงย่อมไม่อยากลงมืออีก
“แม่ง แกเป็นใครวะ!” คนอ้วนเดินเข้าไปจิ้มไปที่หน้าอกของซ่งจื่อเซวียนขณะพูด
ซ่งจื่อเซวียนมองคนอ้วนอย่างเย็นชา เอ่ยว่า “ถ้านายกล้าทำอะไรฉัน ฉันจะสั่งให้พวกเขาอัดพวกนายให้เละ!”
คนอ้วนได้ยินดังนั้นก็รู้สึกกระอักกระอ่วนเล็กน้อย ถึงแม้จะไม่อยากยอมรับว่ากลัว แต่ถ้าไอ้หนุ่มทรงผมหวีเสยคนนั้นคิดจะจัดการตัวเองจริงๆ ดูเหมือนจะไม่ใช่เรื่องยาก อีกฝ่ายต่อสู้เก่งเกินไปแล้ว
เห็นอีกฝ่ายไม่พูด ซ่งจื่อเซวียนจึงถามว่า “เกิดอะไรขึ้น”“นายท่านรอง พวกเขากินข้าวผัดจักรพรรดิกันน่ะ พอกินเสร็จแล้วก็ด่ากราด”
“ใช่ ผมกำลังจะเข้าไปพูดกับพวกเขา แต่ดันมาหาเรื่องผม หยิบขวดเหล้าคิดจะตีผม แม่งเอ๊ย!” ซางเทียนซั่วก็พูดเหมือนกัน
ซ่งจื่อเซวียนมองไปรอบๆ ลูกค้าจำนวนไม่น้อยต่างตกใจนิ่งอึ้ง เขาพ่นลมหายใจออกมาหนึ่งที เอ่ยว่า “มีเรื่องอะไรก็คุยกับผม”
“พูดกับนายงั้นเหรอ ฉันพูดได้ใช่ไหม ข้าวผัดของพวกนายมีปัญหา ฉันอยากเจอเถ้าแก่!”
“ข้าวผัดมีปัญหา อย่างนั้นยิ่งต้องคุยกับผม ผมเป็นคนทำข้าวผัดจานนี้เอง” ซ่งจื่อเซวียนเอ่ย
“งั้นเหรอ อย่างนั้นก็ได้ ข้าวผัดของนายมีปัญหา ไม่คุ้มกับเงินแปดร้อยเก้าสิบเก้าหยวน นายคิดว่าจะจัดการยังไง!” คนอ้วนตะโกนพูด
ซ่งจื่อเซวียนได้ยินแล้วจึงยิ้มเย็นชา “เหรอครับ มีปัญหาอะไร วันนี้คุณพูดให้ชัดเจน แล้วผมจะให้คุณกินฟรี และชดใช้ให้คุณอีกหนึ่งจาน แต่ถ้าพูดไม่ชัดเจน…”
ขณะพูด ซ่งจื่อเซวียนก็มองไปรอบๆ “ของที่พังในวันนี้ ลูกค้าที่ออกไปยังไม่ได้จ่ายเงิน คุณต้องรับผิดชอบจ่ายเงินพวกนี้ทั้งหมด!”
ได้ยินดังนั้น คนอ้วนก็ตกตะลึง ถ้าหากยามปกติมีคนกล้าพูดแบบนี้กับเขา คงโดนซัดน่วมไปนานแล้ว แต่วันนี้เจอของจริงเข้าให้…เขาไม่กล้าลงมือจริงๆ โดยเฉพาะฟางรุ่ย อีกฝ่ายสามารถจัดการพวกเขาได้ภายในไม่กี่นาทีด้วยซ้ำ
คนอ้วนพลางครุ่นคิด เอ่ยว่า “ได้เลย วันนี้ฉันจะวิเคราะห์ให้นายฟัง รสชาติอาหารจานนี้ไม่เลว แต่จะคุ้มค่ากับเงินแปดร้อยเก้าสิบเก้าหยวนได้ยังไง”
“ไม่คุ้มค่าตรงไหน ราคาข้าวจานนี้ คุณไปกินที่ต้าสือไต้ก็ราคาเดียวกัน!”
“ฮ่าๆ แกแม่งหน้าด้านจริงๆ ต้าสือไต้เป็นสถานที่แบบไหน ข้าวผัดจักรพรรดิของร้านนั้นเป็นยังไง มีแค่ข้าวกับไข่ไก่เท่านั้นเหรอ นายอย่าคิดว่าฉันไม่เคยกินมาก่อนนะ!”
ซ่งจื่อเซวียนส่ายหน้าพลางยิ้ม “งั้นเหรอ ถ้างั้นคุณก็ลองพูดมา ข้าวผัดจักรพรรดิของต้าสือไต้เป็นยังไง”
“ฉัน…” คนอ้วนตอบไม่ถูกไปชั่วขณะ แต่ในไม่ช้า เขาก็ยืดอกพูด “หึ ข้าวผัดของพวกเขาใส่ของดีไว้ตั้งเยอะ ปลิงทะเลเอย กุ้งเอย หอยเชลล์เอย อยากได้อะไรก็มีหมด!”
“โอ้ว…อย่างนี้นี่เอง ตาอ้วน ถ้างั้นพวกเรามาพนันกัน เดี๋ยวเรานั่งรถไปที่ต้าสือไต้ ถ้าข้าวผัดจักรพรรดิที่นั่นเหมือนอย่างที่นายพูด ฉันจะชดใช้ค่าข้าวผัดให้นายสิบเท่า แต่ถ้าไม่เหมือนอย่างที่นายพูด วันนี้นายต้องทิ้งเงินสองหมื่นหยวนให้ฉันก่อนแล้วค่อยไป!”
ได้ยินประโยคนี้คนอ้วนก็กลัวจริงๆ เขาไม่รู้ว่าทำไมอีกฝ่ายถึงมั่นใจขนาดนี้
อย่างไรเขาก็ไม่เคยกินข้าวผัดจักรพรรดิมาก่อน ในนั้นใส่อะไรบ้างเขาคิดขึ้นมาเองทั้งนั้น จุดประสงค์ที่เขามาในวันนี้ง่ายมาก จริงๆ แล้วคือมาก่อความวุ่นวาย!
“หึ ฉันก็ไม่แน่ใจว่ามีอะไรบ้าง แต่เป็นไปไม่ได้ที่จะมีแค่ข้าวกับไข่ไก่ ทุกคนคิดว่าใช่หรือเปล่า!” คนอ้วนพูด เริ่มเป่าหูผู้คนโดยรอบ
แต่คำพูดของเขาเห็นได้ชัดว่าไม่มีใครตอบสนอง คนที่อยู่ในนี้มองเห็นอยู่ว่าเขามาหาเรื่อง ตอนนี้จะช่วยพูดเสริมได้อย่างไร
ซ่งจื่อเซวียนได้ยินแล้วจึงพยักหน้า “ที่แท้ก็เป็นแบบนี้ โอเค อย่างนั้นพวกเราเปลี่ยนวิธีการพนัน พนันว่าข้าวผัดจักรพรรดิที่ต้าสือไต้มีไข่ไก่กับข้าวเท่านั้นหรือเปล่า!”
ระหว่างที่พูด ซ่งจื่อเซวียนก็ขึงตาใส่คนอ้วน คนอ้วนโดนถลึงตาใส่ก็รู้สึกกลัวอีกครั้ง เขาไม่เชื่อจริงๆ ว่าข้าวผัดราคาเกือบเก้าร้อยหยวนจะมีแค่ข้าวกับไข่ไก่เท่านั้น แต่มองแววตาของซ่งจื่อเซวียน เขาก็ไม่กล้าพนันจริงๆ
ชั่วขณะนั้น สีหน้าของคนอ้วนเริ่มลนลานอย่างชัดเจน เขาหายใจถี่ มองไปที่โต๊ะ รีบเดินเข้าไป
“หึ ยังไม่ต้องพูดเรื่องนั้น แต่ข้าวผัดของนายมีเส้นผมอยู่ หมายความว่ายังไง”
ซ่งจื่อเซวียนไม่พูดอีก มองคนอ้วนเหมือนกำลังมองตัวตลก มองว่าเขาจะแสดงอะไรต่อไป
“ทุกคนเข้ามาดูสิ มีเส้นผมอยู่ในข้าวผัด แบบนั้นคนจะกินได้ไหม แค่เรื่องนี้ ฉันไปฟ้องนายที่หน่วยงานควบคุมตลาด นายก็ต้องปิดร้านแล้ว!”
ซ่งจื่อเซวียนกอดอกยิ้มแต่ไม่พูดอะไร ซางเทียนซั่วที่อยู่ข้างๆ พูดว่า “แม่งหน้าด้านจริงๆ ไอ้อ้วน เมื่อกี้แกไม่ได้พูดว่ามีเส้นผม เอาแต่พูดเรื่องวัตถุดิบที่อยู่ในข้าวผัดอย่างเดียว!”
“แล้วจะทำไม ฉันอยากพูดตอนไหนก็เรื่องของฉัน ฉันจะบอกพวกนายให้นะ วันนี้ถ้าไม่บอกฉันดีๆ ฉันจะไปฟ้องพวกนาย ทำให้พวกนายต้องปิดร้านหยุดกิจการเลย!”
ฟางรุ่ยส่ายหน้า “นายท่านรอง นี่มันหาเรื่องกันชัดๆ ถ้าอย่างนั้นผมจับพวกมันโยนออกไปดีไหม”
ซ่งจื่อเซวียนครุ่นคิด เอ่ยว่า “เหอะๆ ไม่ต้อง ดูว่าพวกเขาจะโวยวายยังไง วันนี้ถ้าเขาไม่ชดใช้ค่าเสียหายที่นี่ ก็เรียกคนของเสี่ยปาเข้ามา”
“ได้เลย”
ตอนนี้ คนอ้วนกลับไปนั่งเหมือนเดิม นั่งไขว่ห้าง “นายจัดการไม่ได้ใช่ไหม เรียกเถ้าแก่ของนายออกมา!”
“เหอะๆ ทำไมจะจัดการไม่ได้!”
“หืม อย่างนั้นนายจะจัดการยังไง” คนอ้วนพูด
“นายไปฟ้องเลย ตอนนี้หน่วยงานควบคุมตลาดน่าจะเลิกงานแล้ว วันพรุ่งนี้ตอนบ่ายค่อยไป!” ซ่งจื่อเซวียนพูดขณะพิงเคาน์เตอร์
คนอ้วนได้ยินแล้วจึงยักไหล่หัวเราะเย็นชา “ได้ ไอ้หนุ่ม นายแน่มาก แต่ความแค้นนี้ฉันไม่ปล่อยไว้แค่นี้แน่นอน ฉันเป็นผู้บริโภค ทนถูกเอาเปรียบแบบนี้ไม่ได้ ฉันจะนั่งอยู่ที่ร้านของพวกนาย เจอใครก็จะพูดว่าข้าวผัดของพวกนายมีเส้นผม ฉันจะดูว่ามีใครกล้ากินบ้าง!”
“ไอ้หนุ่ม…พอได้แล้ว ฉันเห็นนะว่าพวกนายใส่เส้นผมเข้าไปเมื่อกี้”
เวลานี้เอง เสียงหนึ่งดังมาจากมุมหนึ่งของร้าน คนที่พูดคือชายชราที่ชอบติดเงินค่าเหล้านั่นเอง
คนอ้วนได้ยินดังนั้นจึงหันไป เห็นชายชราตะโกนพูดอยู่ตรงนั้น “ตาแก่ ใครสั่งให้แกพูดไร้สาระ ถ้าพูดอีกฉันจะตัดลิ้นของแก แล้วให้แกดื่มเหล้าซะ!”
“หึ พ่อหนุ่มพูดจาโอหังมากนะ ที่บ้านไม่มีพ่อแม่คอยสั่งสอนใช่ไหม” ชายชราวางแก้วเหล้า ชี้ไปที่คนอ้วน
ซ่งจื่อเซวียนกลับยิ้มเล็กน้อย ชายชราคนนี้น่าสนใจมากจริงๆ ปกติจะยิ้มแบบเป็นมิตรและถ่อมตัว แต่พอเจอเรื่องที่ไม่เป็นธรรมกลับกล้าที่จะพูด เยี่ยมจริงๆ!
“โอ้ให้ตายเถอะ คนร้านนี้ไม่กลัวตายกันหรือไง จับไอ้แก่คนนี้โยนออกไปซะ!”
คนอ้วนพูดจบ ผู้ชายสองคนที่อยู่ข้างๆ จึงเดินไปหาชายชรา ท่าทางเหมือนจะฉีกคนเป็นชิ้นๆ
“รุ่ยจื่อ!”
ซ่งจื่อเซวียนตะโกนเบาๆ ฟางรุ่ยรู้ทันที รีบเดินเข้าไปขวางทางผู้ชายสองคนนั้น
“ไอ้หนุ่ม นายอยากยุ่งเรื่องคนอื่นใช่ไหม ฉันจะบอกนายให้นะ เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับนาย!” คนอ้วนพูด
ซ่งจื่อเซวียนเชิดหน้าเล็กน้อย “ต่อยคนในร้านของฉันไม่เกี่ยวกับฉันเหรอ เหอะๆ คนแก่อายุมากแล้วพวกนายก็ยังกล้าลงมือ พวกนายทำให้นักเลงด้วยกันขายหน้าชัดๆ”
คนอ้วนอารมณ์เสียแล้ว ถึงแม้จะเป็นนักเลง แต่ไม่มีนักเลงคนไหนชอบโดนเรียกว่านักเลงหรอก…
ยิ่งไปกว่านั้น ยังโดนคนบอกว่าทำให้นักเลงด้วยกันต้องขายหน้า
“แม่งเอ๊ย ฉันไม่เชื่อหรอก วันนี้ฉันขอสู้ตายกับพวกนาย ยังไงถ้าพวกนายกล้าทำอะไรฉัน ฉันรับรองว่าพวกนายต้องได้ปิดร้านแน่นอน!”
ขณะพูด คนอ้วนก็หยิบขวดเหล้าขึ้นมา พุ่งไปหาซ่งจื่อเซวียน
ซ่งจื่อเซวียนไม่แม้แต่จะขยับ จ้องมองคนอ้วนด้วยแววตาเย็นชา คนอ้วนกลับพึมพำในใจขึ้นมา มาดแบบนั้นทำให้เขาตกใจจริงๆ
เขาหยุดเดิน โยนความขัดแย้งนี้ไปที่ชายชรา เอ่ยว่า “ไม่ต้องสนใจคนคนนั้น ลากไอ้แก่คนนี้ออกไป!”
สองคนนั้นก็ไม่สนใจ ยื่นมือจับชายชราทันที แต่ฟางรุ่ยยกสองมือขึ้นมาขวางทางสองคนนั้นไว้
และในเวลานี้เอง ตรงหน้าประตูก็มีเด็กขอทานคนหนึ่งเดินเข้ามา เห็นซ่งจื่อเซวียนก็เผยรอยยิ้มออกมาทันที “พี่รอง ฮิๆ ฉันตามหาพี่เจอแล้ว!”
ซ่งจื่อเซวียนตกตะลึง “เสี่ยวเป่า นายมาได้ยังไง”
พูดจบ ซ่งจื่อเซวียนก็ยิ้มออกมาเหมือนกัน เดินตรงไปหากู่เสี่ยวเป่าโดยไม่มองคนอ้วนเลยด้วยซ้ำ
กู่เสี่ยวเป่าเดินเข้าไปในร้าน อวี่เหวินเซี่ยวที่อยู่ข้างหลังก็เดินตามเข้ามา แต่ยังไม่ทันเดินถึงซ่งจื่อเซวียน เขากลับเห็นชายชราคนหนึ่งที่อยู่ข้างๆ
ทั้งสองคนสบตากัน แววตาเปี่ยมไปด้วยความประหลาดใจ
“ปู่…ปู่กุ่ยเหรอ”
………………………………………………