เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 127 เรียกเถ้าแก่ของนายออกมา
ตอนที่ 127 เรียกเถ้าแก่ของนายออกมา
ถ้าหากจะพูดว่าเมื่อครู่ซ่งจื่อเซวียนไม่รู้จุดประสงค์ที่เคอซานมาหาตัวเอง ถึงขนาดไม่รู้ว่าทำไมอีกฝ่ายถึงชงชาให้ตัวเอง เช่นนั้นตอนนี้ เขาเข้าใจแล้ว
เคอหงเทาปากบอกว่าอยากร่วมมือด้วย ไม่ใช่การร่วมมือธรรมดา แต่คือเขาต้องการแทนที่เฉิงปา!
สำหรับเรื่องที่ทำไมซ่งจื่อเซวียนถึงร่วมงานกับเฉิงปา อันที่จริงเคอหงเทาก็มองออกทะลุปรุโปร่ง ตัวซ่งจื่อเซวียนอยากเกาะต้นไม้ใหญ่ชั่วคราว ถ้าหากผ่านช่วงนี้ไปได้ เมื่อเขาแข็งแกร่งแล้ว เฉิงปาจะโดนเขาเตะออกไป
และเคอหงเทาอยากทะลวงช่องว่างนี้เข้าไป ยอมร่วมงานกับซ่งจื่อเซวียน เป็นต้นไม้ใหญ่ให้เขา
เวลานี้ซ่งจื่อเซวียนก็มองออกเช่นกัน จริงๆ แล้วถ้าหากจะพูดว่าเขาต้องการต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง เคอซานมีความมั่นคงกว่าเฉิงปาอย่างไม่ต้องสงสัย
แต่หากพูดถึงนิสัย…เขาไม่กล้าเลือกเคอซาน
เฉิงปามีนิสัยหยาบกร้าน โมโหง่าย แต่ไร้สมอง ซ่งจื่อเซวียนสามารถควบคุมเขาได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่เคอซานไม่เหมือนกัน
เคอซานนอกจากมีกำลังแข็งแกร่งกว่าเฉิงปา เขามีความคิดที่ห้าวหาญมากกว่า ลองคิดดูถ้าหากถึงวันที่ร้านอาหารดำเนินการไปได้ดี ยังไม่แน่ใจเลยว่าใครจะเตะใครออกไป
ซ่งจื่อเซวียนสูดลมหายใจเข้าลึกๆ หนึ่งที ทันใดนั้นเขาก็ยกถ้วยน้ำชาขึ้นมาดื่ม “เสี่ยซาน ชาถ้วยนี้…รสชาติดีนะครับ ฤดูหนาวเข้ากับชาแดง ทำให้กระเพาะอุ่น”
เห็นซ่งจื่อเซวียนจงใจหลีกเลี่ยงหัวข้อ เคอหงเทาจึงไม่รีบร้อน พยักหน้า “งั้นเหรอ เหอะๆ ฉันไม่เข้าใจหรอก สงสัยน้องชายมีความสุนทรียะจริงๆ เข้าใจเรื่องชา”
“ไม่ถึงขั้นสุนทรียะขนาดนั้น ผมดื่มชาราคาสิบกว่าหยวน แพงขนาดนี้ผมดื่มไม่ไหวหรอก” ซ่งจื่อเซวียนดื่มน้ำชาพลางพูด
“ไม่ใช่ปัญหา ต่อไปพวกเราก็เป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว น้ำชานี้ฉันสั่งจะให้เขาห่อหนึ่งกิโลกรัมให้นายเอากลับบ้าน”
เคอหงเทายิ้ม เขาพูดประโยคนี้เพื่อยืนยันว่าทั้งสองคนเป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว จุดประสงค์ชัดเจนมาก พูดเหมือนซ่งจื่อเซวียนตกลงร่วมงานกับเขาแล้วอย่างไรอย่างนั้น
ซ่งจื่อเซวียนหัวเราะ “อย่าเพิ่งครับ เสี่ยซาน คุณพูดแบบนี้ผมรับไม่ไหวครับ พวกเราคนหนึ่งแซ่เคอ คนหนึ่งแซ่ซ่ง จะเป็นครอบครัวเดียวกันได้ยังไงถูกไหมครับ”
“ฮ่าๆๆ น้องชาย ในจุดนี้นายพูดผิดแล้ว ตั้งแต่สมัยโบราณแซ่เดียวกันคนละศาสนา ศาสนาเดียวกันคนละแซ่ ไม่แน่ว่าย้อนกลับไปสองสามร้อยปี พวกเราอาจจะเป็นครอบครัวเดียวกัน”
ซ่งจื่อเซวียนได้ยินแล้วจึงส่ายหน้าหัวเราะ “เสี่ยซานบ้านอยู่ที่ไหน”
มประโยคนี้ทำเอาเคอหงเทาตกตะลึงทีเดียว แน่นอนว่าเขาเข้าใจ จุดประสงค์ของซ่งจื่อเซวียนคือพวกเขาไม่ใช่คนบ้านเดียวกันเลยด้วยซ้ำ และไม่ใช่ครอบครัวเดียวกัน
เมื่อตะลึงอยู่พักหนึ่ง เขาจึงหัวเราะออกมา “ไม่พูดเรื่องนั้นดีกว่า เหอะๆ น้องชาย โลกนี้กว้างใหญ่ พวกเราได้นั่งดื่มน้ำชาด้วยกัน ก็คือพี่น้องกัน ให้เงินได้ให้ชีวิตได้ นั่นก็คือครอบครัว!”
“งั้นเหรอ เสี่ยซานอาจจะไม่รู้ มีคนเคยเรียกผมว่าน้องชาย แต่ตอนหลังกลับจะฆ่าผม คุณคิดว่า…พวกเรายังเป็นพี่น้องบ้านเดียวกันไหม”
คำพูดนี้ทำให้เคอหงเทาหน้าแดงเป็นระยะ เขาเข้าใจดี ซ่งจื่อเซวียนหมายถึงตัวเอง
“เอ่อ…บางครั้งคนเราอยู่ในวงการก็ไม่เป็นตัวของตัวเอง และอาจจะเชื่อคำพูดของคนอื่น แต่ตอนหลังเข้าใจแล้ว เขาจะไม่ฆ่าพี่น้องของตัวเองเด็ดขาด”
ซ่งจื่อเซวียนแอบหัวเราะ เคอซานนะเคอซาน นายมันจิ้งจอกเฒ่าเจ้าเล่ห์ พูดแบบนี้กับฉันจะมีประโยชน์อะไร ถ้าไม่ใช่เพราะตอนแรกฉันยั้งมือทัน ตอนนี้ฉันยังจะมีชีวิตรอดมานั่งดื่มน้ำชากับนายไหม
ไม่ต้องพูดถึงว่าเขากลัวเคอซานข้ามแม่น้ำแล้วจะรื้อสะพานทิ้งหรือเปล่า ลำพังแค่จุดนี้ เขาก็ไม่อยากร่วมงานด้วยเด็ดขาด
“เสี่ยซาน เรื่องนี้…คุณช่วยให้เวลาผมพิจารณาก่อน ยังไงเสี่ยปาก็ยังอยู่ มีบางอย่างผมไม่สะดวก”
เคอหงเทาฟังแล้วจึงพยักหน้า “ได้ น้องชาย ฉันจะให้เวลานาย แต่…ฉันขอพูดความจริงกับนาย ฉันรอได้ แต่ใครบางคนรอไม่ไหวแล้ว”
เมื่อได้ยินดังนั้น ซ่งจื่อเซวียนจึงตระหนักถึงบางอย่าง “เสี่ยหวงเหรอ”
“ถูกแล้ว ฉันคิดว่า…เสี่ยหวงจะลงมือแล้ว น้องชาย แม้แต่เรื่องนี้พี่ชายก็ยังบอกนาย เรื่องความจริงใจนั้นไม่ต้องสงสัยแล้วใช่ไหม”
ซ่งจื่อเซวียนแอบหัวเราะ ความจริงใจ ถ้าหากไม่ใช่เพราะวิธีทำข้าวผัดจักรพรรดิ นายจะหยิบยื่นความจริงใจให้ฉันไหม
“ผมรู้” ซ่งจื่อเซวียนพูดเสียงเรียบ
“สองสามวันมานี้มีเรื่องอะไรต้องระวังหน่อย ถ้ากังวลเรื่องเสี่ยปา นายวางใจได้ เสี่ยซานสามารถปกป้องนายได้ ถ้านายออกจากร้านอาหารนั้นแล้วเสี่ยปากล้ามาหาเรื่องนาย ฉันจะทำให้เขากลับเขตเฉิงตงไม่ได้เลย!” ระหว่างที่เคอหงเทาพูด เขาก็หรี่ตาทั้งสองข้างเล็กน้อย แววตาโหดเหี้ยมสุดๆ
ซ่งจื่อเซวียนหัวเราะพลางลุกขึ้น ดื่มชาถ้วยนี้หมดรวดเดียว แล้วจึงหมุนตัวเดินออกไป
“น้องชาย ถ้านายชอบชานี้ ฉันจะสั่งให้พวกเขาเอามานายสักหน่อย” เคอหงเทาพูดโดยไม่ทิ้งโอกาสสุดท้าย
“ไม่เป็นไร ไม่ชินน่ะ ผมชอบ…ชาดอกมะลิมากกว่า”
ความจริงตอนที่ซ่งจื่อเซวียนพูดประโยคนี้ เขาก็บอกผลสรุปออกไปแล้ว แต่เคอหงเทาไม่เข้าใจ
เพราะครั้งที่แล้วซ่งจื่อเซวียนดื่มน้ำชาที่ร้านอาหารเหล่าปา ครั้งนั้นเขาดื่มชาดอกมะลิกับเฉิงปา ความหมายประโยคนี้ของเขา…ก็คือฉันเลือกร่วมงานกับเฉิงปา
หลังจากซ่งจื่อเซวียนออกไปแล้ว เคอหงเทานั่งดื่มน้ำชาอยู่ตรงที่เดิมอีกพักหนึ่ง ในใจรู้สึกผิดหวังอย่างบอกไม่ถูก
“บางที…หมากตัวที่แล้วอาจจะเดินผิด” เคอหงเทาส่ายหน้า
ที่จริงตอนนั้นเขาอาจจะคิดถูกแล้ว เขามองว่าอีกไม่นานซ่งจื่อเซวียนก็จะรุ่งโรจน์ในตู้เหมิน ดังนั้นถ้าหากไม่เป็นเพื่อนกับเขา ก็ต้องกำจัดเขาให้สิ้นซาก
ทว่า…เขาไม่เคยพิจารณาว่าซ่งจื่อเซวียนจะสำคัญขนาดนี้ บันทึกหย่งซั่น…ของที่หวงฟานอนหลับฝันก็ยังอยากได้ กลับไปอยู่ในมือของซ่งจื่อเซวียนเสียอย่างนั้น
เมื่อนึกถึงตรงนี้ เคอหงเทาพลันถลึงตาทั้งสองข้าง ลุกขึ้นเดินพุ่งออกไป
ตอนที่วิ่งไปถึงหน้าร้านน้ำชา พวกซ่งจื่อเซวียนเดินออกไปได้ไม่ไกล เคอหงเทารีบตะโกนเรียก ก่อนจะวิ่งตามทันที
“เสี่ยซาน มีอะไรอีกครับ” ซ่งจื่อเซวียนหมุนตัวมาถาม
“น้องชาย พี่ชายอยากถามหนึ่งประโยค นายช่วยพูดความจริงกับฉันได้ไหม” เคอหงเทาพูดพลางหายใจหอบใหญ่
“คุณลองพูดมา”
“นายเคยได้ยินสิ่งที่เรียกว่าบันทึกหย่งซั่นไหม” ระหว่างที่เคอหงเทาพูด ดวงตาทั้งสองข้างก็จ้องมองดวงตาคู่นั้นของซ่งจื่อเซวียน ดูเหมือนอยากจะรีบยืนยันว่าซ่งจื่อเซวียนโกหกหรือไม่
แต่ซ่งจื่อเซวียนแววตานิ่งเฉย เขามองไม่เห็นเบาะแสใดๆ
“ไม่เคย”
“ไม่เคยงั้นเหรอ”
“มีอะไรอีกไหมครับ”
เคอหงเทายืนตกตะลึงอยู่กับที่เล็กน้อย เอ่ยว่า “ถ้างั้นสูตรข้าวผัดจักรพรรดิ…”
“เสี่ยซาน อันนี้เกรงว่าจะไม่เกี่ยวกับคุณแล้วครับ”
พูดจบ ซ่งจื่อเซวียนจึงหมุนตัวเดินออกไป
เคอหงเทาไม่ได้เดินตามอีก แต่ยืนอยู่ที่เดิม นานอยู่พักหนึ่ง…
เนื่องจากร้านน้ำชาอยู่ใกล้ย่านเมืองเก่ามาก พวกซ่งจื่อเซวียนจึงเดินกลับไปเรื่อยๆ แต่เขาก็ครุ่นคิดไปตลอดทาง บันทึกหย่งซั่นนี้…เขาไม่เคยได้ยินมาก่อนจริงๆ
เดิมทีเขาอยากไปถามฟางจิ่งจือ แต่พอคิดว่าตอนนี้ดึกแล้วจึงไม่ไป เพราะอย่างไรตอนนี้ชายชราคงนอนหลับไปแล้ว
รุ่งเช้าวันถัดมา พวกซ่งจื่อเซวียนสามคนตรงไปยังร้านอาหารร่ำรวย และเนื่องจากช่วงนี้ซางเทียนซั่วกับฟางรุ่ยคอยเฝ้าอยู่ที่ร้าน ซ่งจื่อเซวียนจึงปล่อยให้เสี่ยเฉิงปาเรียกเหลยจื่อกลับไป
แต่เนื่องจากสัญญากันแล้วว่าเสี่ยเฉิงปาจะส่งคนมาช่วย ทั้งสองคนตกลงกันแล้ว ขอเพียงซ่งจื่อเซวียนโทรไปหาบอกว่าต้องการคน เสี่ยเฉิงปาก็ส่งคนมาให้ได้ตลอดเวลา
สถานการณ์ของร้านอาหารพอๆ กับเมื่อวันก่อน จนกระทั่งตอนกลางวันร้านก็ยังปกติ ลูกค้ามีกะปริบกะปรอยสองสามคน และสั่งแค่อาหารจานเดียว เพราะอย่างไรตอนกลางวัน ทุกคนต่างกินอาหารจานด่วนกันทั้งนั้น
แต่ชายชราที่ติดเงินไว้กลับมาตรงเวลา ตอนเที่ยงเพิ่งผ่านไปก็มาขอเหล้ากิน ถึงแม้หยางกังจะไม่ค่อยยินดีแต่ซ่งจื่อเซวียนบอกกล่าวไว่แล้ว เขาก็ไม่กล้าไม่ให้เหล้า จึงรินสุรากลั่นให้ชายชราหนึ่งแก้ว
ชายชรายังคงนั่งยองๆ ดื่มเหล้าอยู่ที่มุมหนึ่งในร้านเหมือนเดิม ถึงแม้ตอนดื่มจะรู้ว่าเหล้านี้เปลี่ยนจากเอ้อร์กัวโถวเป็นสุรากลั่นก็ตาม เขาก็ไม่ว่าอะไร ยังคงดื่มอย่างเพลิดเพลินเหมือนเดิม
จนกระทั่งมื้อเย็น ชายชราก็มาอีกครั้ง เหมือนกับเมื่อวานทุกกระเบียดนิ้ว คืนเงิน จากนั้นก็ติดเงินอีกหนึ่งแก้ว
ซ่งจื่อเซวียนเห็นแล้ว กลับรู้สึกว่าสนุกดี ที่ร้านมีลูกค้าประจำเพิ่มหนึ่งคน
“ท่านเจ้าของร้าน ฉันจ่ายเงินค่าเหล้าตอนกลางวันแล้ว แก้วนี้ขอติดเงินใหม่”
เมื่อเจอซ่งจื่อเซวียน ชายชราไม่ลืมที่จะอธิบายหนึ่งประโยค กลัวว่าคนอื่นจะคิดว่าเขาเอาเปรียบ
ซ่งจื่อเซวียนยิ้มให้ “ท่านผู้เฒ่า คุณดื่มได้เลย ผมบอกแล้วนี่ว่าไม่ต้องรีบคืน”
“เหอะๆ ไม่ได้หรอก นั่นไม่เคารพกฎ”
ซ่งจื่อเซวียนไม่พูดอะไรอีก เพียงแค่ยิ้มให้จากนั้นก็ชูนิ้วโป้งขึ้นมาให้ชายชรา
ลูกค้าสองสามคนเริ่มกินข้าว ชายชราจึงนั่งลงยองๆ ที่มุมร้าน ไม่รบกวนซึ่งกันและกัน ซ่งจื่อเซวียนมองอย่างมีความสุข ลูกค้าโต๊ะหนึ่งก็เดินเข้ามา
พวกเขาแต่งตัวสีสันฉูดฉาด แต่ละคนดูหัวรุนแรง คนอ้วนที่เป็นหัวหน้ากำลังดูเมนูอาหาร
“โอ๊ะ ข้าวผัดจักรพรรดิเหรอ เมนูใหม่นี่ ฉันได้ยินว่าเขตเฉิงซีมีร้านอาหารร้านหนึ่ง ข้าวผัดจักรพรรดิต้องต่อแถวกิน ร้านนี้ก็มีเหรอ”
“งั้นเหรอ ฉันก็รู้จักนะ ที่นั่นชื่อว่าต้าสือไต้ ร้านดังมาก”
“แม่งเล่นเกาะกระแสเหรอ จานหนึ่งแปดร้อยกว่าหยวน” คนอ้วนพูดพลางมองไปที่พนักงาน “ข้าวผัดนี่น่าสนใจมาก ร้านโน้นขายแปดร้อยกว่าหยวน พวกนายก็ขายแปดร้อยกว่าหยวนเหรอ”
หยางกังยิ้มพูดพลางอธิบาย “ใช่ครับ ราคานี้เหมือนกัน คุณลองสั่งมากินสักจานไหมครับ”
“แม่ง ถ้าหากไม่คุ้มราคาแปดร้อยเก้าสิบเก้าหยวนจะทำยังไง”
“เอ่อ…” หยางกังพูดไม่ออก
ซางเทียนซั่วเดินเข้ามาพูดว่า “ไม่คุ้มราคาจะคืนเงินให้คุณเอง สั่งหรือไม่สั่งครับ”
คนอื่นไม่รู้ แต่ซางเทียนซั่วรู้ เมื่อก่อนอยู่ต้าสือไต้ ซ่งจื่อเซวียนดูดีมากแค่ไหน ที่ขายข้าวผัดมาตลอด ไม่มีลูกค้าคนไหนที่พูดคำว่าไม่
“แม่ง เก่งเหลือเกิน งั้นเอามาหนึ่งจาน ถ้าไม่อร่อยฉันจะพังร้านของพวกแกซะ!”
ซางเทียนซั่วไม่สนใจ ตรงไปสั่งให้เขาหนึ่งจาน ซ่งจื่อเซวียนที่อยู่ครัวด้านหลังจึงเริ่มทำงาน
ในไม่ช้า ข้าวผัดจักรพรรดิกับอาหารสองสามอย่างก็นำมาเสิร์ฟที่โต๊ะพร้อมกัน ยังไม่ทันได้กิน แค่กลิ่นที่กระจายออกมาก็ทำให้คนในร้านจำนวนไม่น้อยต่างมองมา
กลิ่นนี้…หอมมากจริงๆ
โดยเฉพาะชายชราที่อยู่ตรงมุมร้าน ดมกลิ่นจนงงเป็นไก่ตาแตก ไม่กินถั่วลิสงในมือแล้ว เอาแต่ดมกลิ่นแล้วดื่มเหล้า ดื่มเหล้าหนึ่งที แล้วดมกลิ่นต่อ…
ลูกค้าสองสามคนนั้นก็เหมือนกัน สบตากันหนึ่งที ทันใดนั้นคนอ้วนจึงเริ่มชิม พอข้าวผัดเข้าปาก สีหน้าเขาก็เปลี่ยนไปทันที
ชาตินี้ไม่เคยกินของอร่อยแบบนี้มาก่อน เขารีบชี้ไปที่ข้าวผัดจักรพรรดิเพื่อให้คนที่เหลือได้กิน
คนที่เหลือมีการตอบสนองที่คล้ายกัน สีหน้าแต่ละคนล้วนตกใจ ในชั่วพริบตา ข้าวผัดหนึ่งจานก็หมดอย่างรวดเร็ว
ซางเทียนซั่วหัวเราะพรืดอยู่ข้างๆ ในใจพลางพูดว่าเห็นหรือยัง คราวนี้รู้หรือยังว่าทำไมต้องราคาแปดร้อยเก้าสิบเก้าหยวน
แต่เวลานี้ คนอ้วนคนนั้นกลับตบโต๊ะหนึ่งที “แม่ง ของอะไรกันเนี่ย ไปเรียกเถ้าแก่ของพวกนายออกมา!”
………………………………………………..